#AndroidStudio ตอนที่ 1 การพัฒนา app สำหรับใช้งานบน Smart Phone ที่ลง Android

ตอนที่ 1 การพัฒนา app สำหรับใช้งานบน Smart Phone ที่ลง Android

<introduction>
หลังจากผมได้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค แล้ว IT Clinic ลง Windows 10 Home 64Bit (OEM=Original Equipment Manufacture)
ก็นำมาลองสร้างแอพ (App = Application) สำหรับ Moveable Device ด้วย Android Studio
ซึ่งมีผู้พัฒนา คือ บริษัทกูเกิ้ล (Google.com) เริ่มต้นก็คิดว่าจะลงโปรแกรมแล้วเขียนโปรแกรม Hello World ไป Run บน Smart Phone ที่ใช้อยู่
</introduction>

<process>
กระบวนการในการพัฒนา APP
เพื่อให้ได้ .apk ไปใช้งาน
ซึ่ง Google พัฒนา Android Studio เป็น IDE ที่มี everything และใช้งานง่ายกว่าเดิม
มีขั้นตอน ดังนี้

1. Download : Java (jdk-8u144-windows-i586.exe หรือรุ่นใหม่กว่า)
จาก https://java.com/en/download/
เพราะเครื่องมือสำหรับพัฒนาโปรแกรม ต้องใช้ Java Runtime Environment (JRE)
แต่ใน Android Studio รุ่นที่ผมใช้เป็นแบบ Portable
มี JRE Embeded ติดมาให้ด้วย ไม่ต้องติดตั้ง เพราะเรียกใช้งานจากในแฟ้มที่คัดลอกมาได้เลย
ดังนั้นในเครื่องที่ผมใช้พัฒนา Android App จึงไม่ติดตั้ง JAVA ด้วยตนเอง
เพราะมีมาพร้อม Android Studio แล้ว

project structure in android studio
project structure in android studio

2. Download : Android Studio (android-studio-ide-162.4069837-windows32.zip)
จาก https://developer.android.com/studio/
ของผมได้รุ่น Android Studio v2.3.3 (June 2017) ซึ่งใหม่สุด ณ ตอนนี้
ซึ่ง Include Everything มาแล้ว
ทั้ง IDE (Integrated Development Environment) + SDK (Android Software Development Kit) + Emulator
ผมเลือกรุ่น .zip ไม่เลือกแบบ install
เพราะคลาย zip แล้ว เรียกให้โปรแกรม Folder> android-studio\bin\studio.exe ทำงานได้เลย
ทำงานแบบ Portable ที่ไม่ต้องติดตั้งก่อน
และผมไม่เลือกใช้ Eclipse เพราะ sdk-tools-r2602_windows-3859397.zip
จะไม่มี SDK Manager มาให้ ต้องใช้ SDK Manager ใน Android Studio
และ Google ประกาศเลิกสนับสนุน SDK ให้ Software ภายนอกแล้ว

Android Studio can be the portable software
Android Studio can be the portable software

3. เมื่อสั่งให้ studio.exe ทำงาน
ก็สั่ง Menu Bar, File, New, New Project
Application name : My Application
Company domain : www.thaiall.com
Minimum SDK : API 19: Android 4.4 (KitKat)
อาจเลือก API 25: Android 7.1.1 (Nougat)
หรือ API 26: Android 8 (O) ก็แล้วแต่ชอบนะครับ แต่ผมชอบของเก่า
Add an Activity to Mobile
เป็น Template ให้เลือก 12 แบบ แบบแรกที่เลือก คือ Basic Activity
แล้วก็ Finish อะไรไม่แจ้งไว้ แสดงว่าไม่ได้เปลี่ยน

Default Activity on Android Studio
Default Activity on Android
Studio
Default Activity on Android Studio
Default Activity on Android
Studio
Default Activity on Android Studio
Default Activity on Android
Studio

4. เข้าสู่ส่วนของ IDE มีหน้าต่างย่อยเพียบ
เห็นคำว่า Hello World! ใน content_main.xml
พบช่อง Text ด้านขวา สามารถเปลี่ยนเป็น Hello My World! ที่นั่นได้

We can change from hello world to hello my world
We can change from hello world to hello my world

5. ทดสอบประมวลผล
Menu bar, Run, Run ‘app’ หรือ Shift F10

6. เลือก Device
จาก Connected Devices หรือ Available Virtual Devices
หรือกด Create New Virtual Device
ผมสร้าง Device ชื่อ Nexus 5X API 19 ไว้ทดสอบตัวหนึ่ง
สร้างเสร็จก็เลือก Device ที่สร้างขึ้น
จะมีการ Popup อุปกรณ์ Emulator ขึ้นมา เพื่อแสดงผลการ Run

android emulator
android emulator

7. หลังพอใจในผลลัพธ์ ที่เห็นบน Emulator แล้ว
สั่งสร้าง .APK ด้วย Menu bar, Build, Build APK
แฟ้ม .apk ที่ได้ชื่อ app-debug.apk
อยู่ใน C:\Users\[Your Name]\AndroidStudioProjects\basicactivity\app\build\outputs\apk
นำแฟ้มนี้ไปใช้ใน Smart Phone ได้ตามต้องการ
หากผลบน Emulator ไม่น่าพอใจ ก็สั่ง Uninstall
ได้เหมือนกับที่ทำบน Smart Phone คือ ลากลงถังขยะ

we can use apk file on smart phone
we can use apk file on smart phone

 

https://www.4shared.com/folder/AgIkeXaS/android.html

</process>

<website_guide>
+ http://www.thaiall.com/android
</website_guide>

หมายเหตุ 
ถ้าสนใจติดตามเนื้อหาในบล็อกนี้ สามารถ subscribe ด้วย email ที่อยู่ข้างขวา หรือ click here

นักศึกษาด้านไอทีอย่างน้อยต้องทำ responsive เป็น

นักศึกษาด้านไอทีอย่างน้อยต้องทำ responsive เป็น

เว็บมาสเตอร์
เว็บมาสเตอร์

ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น
ที่นักศึกษาต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร
Who am i?
เพราะไม่ใช่นักเรียนที่จะไปเข้า #ค่ายค้นหาตัวตน
แล้วหาว่า ตนเหมาะกับอาชีพใด
ถ้าเป็นนักศึกษาก็แสดงว่าเลือกแล้ว
ไม่ใช่กำลังจะเลือก
ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้วที่จะไปสู่อาชีพที่คาดหวัง
ทุกหลักสูตรมีวิชามากมายต้องเรียนเชื่อมต่อกันเป็น jigsaw
กว่าจะได้ภาพสวยผืนใหญ่ ใส่กรอบ โชว์
ก็ใช้เวลาหลายปี ระหว่างทางต้องทบทวนเป็นระยะ
ว่าทำอะไร เรียนอะไร รู้อะไรไปแล้วบ้าง
หัวข้อต้องรู้มีมากมาย
แต่อย่างน้อยต้องรู้ว่าเรา ทำอะไรเป็นบ้าง
ในสายไอทีก็มีเรื่องเว็บเพจ (webpage)
โดยสิ่งที่ควรรู้ คือ Responsive web design
เพราะแนวโน้มชาวโลกจะขยับไปหา mobile device
ดังนั้นหัวข้ออบรมความรู้เบื้องต้น
เสนอว่าให้นักศึกษาเขียนเว็บเพจด้วย html
จำนวน 3 หน้า ตัวตน ผลงาน และตนเอง
คือ index.html project.htm aboutme.htm
แต่แสดงผลได้ในอุปกรณ์ขนาดต่าง ๆ ได้เหมาะสม

 

ฝากไว้กับ firebase.com หรือ wordpress หรือ facebook ก็ได้

เกี่ยวกับเรา
เกี่ยวกับเรา

http://www.thaiall.com/webmaster/responsive

โครงการ (project)
โครงการ (project)
หน้าแรก (index) เป็นสารบัญ ดัชนี หรือบทนำ
ที่ฉายภาพรวมความเป็นตัวเรา
แต่ไม่ลึกเท่าโปรเจค หรือเกี่ยวกับเรา
หน้าแรกของนักศึกษาน่าจะมีเนื้อหา
ที่มุ่งขายตัวเรา ตัวอย่างหัวข้อดังนี้
- คนต้นแบบมืออาชีพที่ประทับใจ
- กลุ่มที่สนใจที่เราติดตามประจำ
- บทความ ประเด็น หรือข่าวสำคัญ
- เว็บไซต์ที่แนะนำ
- รายการผลงานเด่นที่สะท้อน skill
- ข้อมูลการติดต่อ หรือ อวตารของเรา

 

หน้าโครงการ หรือโปรเจค (Project)
เป็นการขายตัวเรา (ถ้ามี linkin จะดีมาก)
ที่ผ่านมาสวมบท "นักศึกษา" แล้วทำอะไรไปบ้าง
มีงานอะไรที่เราทำส่งอาจารย์แล้วประทับใจ
เทอมหนึ่งเรียน 6 วิชา ๆ ละ 1 งานก็ปีละ 12 งาน
เลือกนำมาแบ่งปัน เพราะนั่นสะท้อนให้เห็น skill 
เว็บเพจหน้านี้จะบ่งบอกอัตลักษณ์ของเรา
ผลงานต้องเป็นที่ประจักษ์ อยู่ในความทรงจำไม่ได้
แนะนำว่าผลงานทุกชิ้นให้เขียนเป็นบล็อก
จะทำเอง ร่วมกัน หรือฟังเขามาก็เขียนบล็อกได้
แต่ถ้านักศึกษาไอทีจะต้องมีโฮมเพจเป็นของตนเอง
แล้วเชื่อมทุกอย่างเข้ากับ social media + blog
เนื้อหาในหน้านี้ มีรายละเอียดผลงานที่ครบถ้วน
มีที่มา เนื้อหา สรุป และลิงค์ดาวน์โหลดจะดีมาก
ทั้งหมดในหน้านี้ก็จะสะท้อน skill เพื่อขายตัวเรา

 

หน้าเกี่ยวกับเรา (About me)
ความเป็นส่วนตัวสำคัญมาก 
แต่การอยู่ในสังคมก็ต้องลดความเป็นส่วนตัวลงบ้าง 
และไม่เปิดเผยอะไรที่ไม่มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 
เราต้องเป็นนักประชาสัมพันธ์ตนเองอย่างมีเป้าหมาย
นักศึกษาต้องบอกว่าตนเอง
มี skill อะไร
มี project อะไรผ่านมือมาบ้าง
มี avatar ให้ว่าที่นายจ้างไปติดตามที่ไหน
มี experience กับอะไรที่เป็นงานอดิเรก 
มี interested กับอะไรที่เป็นแผนในอนาคต
แต่ถ้าทำงานในองค์กรเมื่อใด ระดับความเป็นส่วนตัว
จะแปรผันตามนโยบายขององค์กรทันที

ระบบและกลไก การกินป่าของคนไทย คนหนึ่งปีหนึ่งเฉลี่ยกินพื้นที่ปลูก 20 ตารางเมตร

ระบบข้าวโพด
ระบบข้าวโพด

เคยดูรายการ สามัญชนคนไทย
ตอน คนไทยกินป่าเป็นอาหาร

แล้วสนใจระบบและกลไกการกินป่าของคนไทย
ในรายการแจงไว้ชัดเจนว่ากลไกการสนับสนุนให้คนไทยกินป่ามี 5 กลุ่ม
1. กลุ่มชาวบ้าน
2. กลุ่มนายทุน/แปรรูป
3. กลุ่มเงินกู้/กองทุนทุกประเภท
4. กระบวนการส่งเสริม/นักส่งเสริมการเกษตร/นักวิจัย
5. นโยบายส่งเสริมจำนำ/ประกันราคา

หลังมีข่าว ก็มีการออกมาเคลื่อนไหวด้วยวิธีต่าง ๆ
ตามความสามารถของแต่ละบุคคล ผู้ว่าก็ทำอย่าง
นายกก็ทำอย่าง ทหารก็ทำอย่าง กรมป่าไม้ก็ทำอย่าง
ดาราก็ทำอย่าง โรงเรียนก็ทำอย่าง นักเลงคีย์บอร์ดก็ทำอย่าง
มีผลในแต่ละอย่างก็เพื่อช่วยป่า ช่วยเขา ไม่ให้โล้นไปกว่านี้

http://www.thaiall.com/blog/burin/7482/

หากมองระบบที่ทำให้เขาหัวโล้น ลองมามองภาพดู
ว่ามีขั้นตอนอย่างไร จะมองจากปัญหาไปต้นเหตุ หรือต้นเหตุไปปัญหาก็ได้
1. คนไทย ซื้อสัตว์มากินเป็นอาหาร
2. ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ซื้ออาหารสัตว์สำเร็จรูป
3. โรงงานอาหารสัตว์ ซื้อข้าวโพดและถั่วเหลือง
4. คนปลูกข้าวโพด ซื้อที่ดินไว้ปลูก โค่นต้นไม้ใหญ่
5. ที่ดินไม่พอ ต้องไปบุกรุกพื้นที่ป่า

คนกินป่าเป็นอาหาร
คนกินป่าเป็นอาหาร

ต.ย.โครงการนาแลกป่า
เพื่อให้ได้พื้นที่ป่าคืนมา หลังได้มาแล้วก็ต้องดูแลให้ต้นไม้เติบโตเป็นป่า
ข้อมูลในปี 2556 พบว่าพื้นที่ป่าสงวนถูกนำไปปลูกพืชไร่สูงถึง 1.5 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 24% ของพื้นที่ป่าทั้งหมดในจังหวัดน่าน
โครงการนาแลกป่า ในปี 2558 สามารถคืนผืนป่ามาสู่การจัดการอย่างยั่งยืนได้ถึง 315.25 ไร่
1. กลยุทธ์นาแลกป่า เมื่อเกษตรกรคืนพื้นที่ป่า 4 ไร่ โครงการจะขุดนาให้ 1 ไร่
โดยขุดร่องน้ำ ปรับหน้าดิน เตรียมการจัดการน้ำ เพื่อให้ชาวบ้านปลูกข้าวหรือทำเกษตรแบบประณีต
2. กลยุทธ์ระบบน้ำแลกป่า เน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ
เพื่อการเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อแลกกับพื้นที่ที่นำไปปลูกข้าวโพด
เนื่องจากมีน้ำไม่เพียงพอต่อการปลูกข้าวหรือพืชอื่นๆ
ซึ่งการมีน้ำพอใช้สำหรับการเกษตรก็ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นด้วยพื้นที่ที่น้อยลง
ปี 2558  โครงการขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
3. กลยุทธ์อาชีพทางเลือกแลกป่า เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่ก็อยากจะเลิกปลูกข้าวโพด
และมีอาชีพใหม่ทดแทน ทางโครงการจึงได้จัดหาอาชีพทางเลือก
ได้แก่ อาชีพปลูกพืชหลังนา เกษตรผสมผสาน
และการชดเชยเป็นค่าตอบแทนสำหรับเกษตรกรสูงอายุที่ไม่สามารถทำอาชีพทางเลือกอื่น ๆ ได้
ปี 2558  โครงการได้สร้างอาชีพทางเลือกและขอคืนผืนป่าได้ทั้งหมด 108 ไร่
http://www.schoolofchangemakers.com/home/knowledge?knowledge_id=389

ต.ย. ดารา ยอมควักเงินส่วนตัว ร่วมปลูกป่าน่าน
เฉพาะพื้นที่ที่เคยเป็นไร่ข้าวโพด เป็นจิตอาสาที่อยากรักษาป่าต้นน้ำ
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378498989/

ต.ย. กิจกรรมพิทักษ์ป่า
Nation TV – เว็บไซต์สถานีข่าวอันดับ 1 ของเมืองไทย
“ร่วมโพสต์ท่าต้นไม้ ติด hashtag ‪#‎ปลูกเลย‬ แสดงพลัง!”ฟื้นฟูป่าให้ลูกหลาน
http://www.nationtv.tv/main/content/social/378503463/
https://www.facebook.com/cartooneggcat/photos/a.136226233446771.1073741828.136187606783967/173673336368727/

ต.ย. อธิบายเรื่องข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ทำให้ผืนป่าที่หายไป ใครควรต้องรับผิดชอบบ้าง
สรุปว่า “คนไทย ที่บริโภคเนื้อไก่ขาวจากฟาร์มในระบบปิด
ซึ่งเลี้ยงด้วยอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด มีส่วนสนับสนุนการทำลายป่าจากการบริโภคเนื้อไก่ เฉลี่ยคนละประมาณ 20 ตารางเมตร
http://landjustice4thai.org/news.php?id=252

ต.ย. ลอยแพชาวบ้าน เมื่อทุนใหญ่ต้องการภาพลักษณ์ที่งามสง่า
มีหนังสือว่าต่อไปบริษัทจะรับซื้อข้าวโพดมีเงื่อนไขคือ
ต้องปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างในพื้นที่ที่มีเอกสิทธิ์ถูกต้อง
หรือพื้นที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ
http://www.landjustice4thai.org/news.php?id=278

บ้านไผ่ร่วมใจพัฒนา

ติดตามงานของ อ.ธวัชชัย แสนชมภู กับ อ.วีระพันธุ์ แก้วรัตน์
เป็นโครงการเพื่อท้องถิ่นเหมือนกัน เชิงพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม
ชื่อโครงการ “บ้านไผ่ร่วมใจพัฒนา สร้างคุณค่าให้ยั่งยืน
นำนักศึกษากลุ่มใหญ่ ๆ ทำเรื่องขยะเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

โครงการนี้ใช้ทีมเยอะ เพราะมีโครงการย่อยหลายโครงการ
1.โครงการ “รายจ่ายน้อยใช้สอยประหยัด”
2.โครงการ “เห็ดฟางจากเปลือกข้าวโพด ”
3.โครงการ “ดอกไม้สีขาว”
4.โครงการ “ผักสวนครัวในรั้วชุมชน”
5.โครงการ “ปุ๋ยมูลสัตว์และน้ำหมักจากพืช”

โดยหัวใจของงานนี้น่าจะเป็นการใช้สิ่งที่ไม่มีใครคิดว่ามีประโยชน์แล้ว
กลับมาใช้ประโยชน์ได้ นั่นคือ เปลือกข้าวโพด
ที่สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางได้
.. ใจผมเรียกว่า นวัตกรรมเลยหละครับ

https://www.facebook.com/ajarnburin/posts/733940776620056

.. ร่มใหญ่ของโครงการคือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง นั่นเอง

บ้านไผ่ร่วมใจพัฒนา สร้างคุณค่าให้ยั่งยืน
บ้านไผ่ร่วมใจพัฒนา สร้างคุณค่าให้ยั่งยืน

โครงการ กรุงไทย ต้นกล้าสีขาว ประจำปี 2556 ทีม CIM Nation – UA ได้ส่งโครงการเข้าร่วมโดยใช้ชื่อว่า “บ้านไผ่ร่วมใจพัฒนา สร้างคุณค่าให้ยั่งยืน” โดยมีแนวคิดว่า “จากเปลือกข้าวโพดไร้ราคา พัฒนาด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง หล่อเลี้ยงชีวิตชุมชนบ้านไผ่อย่างยั่งยืน” ซึ่งทีม CIM Nation UA ได้ใช้หลักการทฤษฎี องค์ความรู้ของแต่ละวิชาที่มีการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเนชั่น มาประกอบในการทำโครงการเพื่อให้ชุมชนหมู่ที่ 4 บ้านไผ่งาม หมู่ที่ 5 บ้านไผ่แพะและหมู่ที่ 6 บ้านไผ่ทอง ตำบลเมืองมาย อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบไปด้วย 5 โครงการย่อยในโครงการหลัก คือ 1.โครงการ “รายจ่ายน้อยใช้สอยประหยัด” 2.โครงการ “เห็ดฟางจากเปลือกข้าวโพด ”3.โครงการ “ดอกไม้สีขาว” 4.โครงการ “ผักสวนครัวในรั้วชุมชน” และ 5.โครงการ “ปุ๋ยมูลสัตว์และน้ำหมักจากพืช” ในการดำเนินโครงการได้น้อมนำพระราชดำริ เรื่อง “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประสานกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยังยืน ของ John Elkington ผู้เขียนหนังสือ “Cannibals with forks: The Triple Bottle line of 21 th Century Business” (1977)

พีบีแอล (PBL = Project-Based Learning)

John Dewey 1902
John Dewey 1902

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้นำเสนอแนวคิด “เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ (Learning by doing)” ว่า “ครูไม่ใช่ผู้กำหนดความคิด หรือจัดพฤติกรรมแบบหนึ่งแบบใดให้กับเด็ก แต่เป็นสมาชิกของชุมชนที่จะสร้างอิทธิพลที่มีผลให้เด็กช่วยตนเองได้ตอบสนองกลับมาอย่างเหมาะสม ที่จะเกิดการแสดงออกที่สร้างสรรค์ภายในศูนย์การเรียนรู้ที่ถูกต้อง” (Dewey,1897)

ต่อมาเกิดรูปแบบการเรียนรู้จาก แนวคิดของดิวอี้ หลายรูปแบบ
ได้แก่
– การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning)
– การเรียนรู้แบบช่วยเหลือกัน (Collaborative learning)
– การเรียนรู้โดยการค้นคว้าอย่างอิสระ (Independent investigation method)
– การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning)
– การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning)

ทอม มาร์คาม (Thom Markham, 2011)
ได้อธิบายความหมายของ PBL = Project-Based Learning ว่าเป็น
การบูรณาการความรู้ และการปฏิบัติ
โดยนักเรียนจะได้เรียนรู้องค์ประกอบสำคัญที่ต้องรู้
แต่จะประยุกต์ใช้กับการแก้ปัญหา และได้ผลเป็นชิ้นงานขึ้นมา
เด็กที่เรียนรู้แบบนี้จะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทอลคุณภาพสูง
และได้ชิ้นงานที่เกิดจากการผสมผสาน
พีบีแอลจะปรับมุมมองของการศึกษาสู่ระดับโลก และได้อีกหลายอย่างตามมา
ทั้งแรงขับ ความรัก ความคิดสร้างสรรค์ การเอาใจใส่ และความยืดหยุ่น

PBL integrates knowing and doing. Students learn knowledge and elements of the core curriculum, but also apply what they know to solve authentic problems and produce results that matter. PBL students take advantage of digital tools to produce high quality, collaborative products. PBL refocuses education on the student, not the curriculum–a shift mandated by the global world, which rewards intangible assets such as drive, passion, creativity, empathy, and resiliency. These cannot be taught out of a textbook, but must be activated through experience.
(Thom Markham,2011)
http://en.wikipedia.org/wiki/Project-based_learning

http://www.amazon.com/Project-Based-Learning-Handbook-Standards-Focused/dp/0974034304
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=775406

การเขียนโครงการ (Project Writing)

project
project

22 พ.ค.54 โครงการ คือ กลุ่มของกิจกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อตอบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนด
สิ่งที่ควรทราบก่อนเขียนโครงการ
1. ปัญหา หรือความต้องการ
2. ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
3. วิเคราะห์ปัญหา
4. จัดลำดับความสำคัญของปัญหา
5. วิเคราะห์หาสาเหตุ และแนวทางแก้ไข
6. กำหนดวัตถุประสงค์
7. กำหนดกิจกรรม เวลา และทรัพยากร
8. ร้อยเรียงข้อมูลทั้งหมด เป็นโครงการ

องค์ประกอบในโครงการ
1. ชื่อโครงการ
2. ความเป็นมา หลักการและเหตุผล
3. วัตถุประสงค์
4. กลุ่มเป้าหมาย
5. วิธีดำเนินการ
6. ระยะเวลา
7. สถานที่
8. งบประมาณ และแหล่งสนับสนุนทุน
9. ผู้รับผิดชอบ
10. วิธีการประเมินผล
11. ตัวชี้วัดความสำเร็จ
12. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
http://library.uru.ac.th/article/htmlfile/technic_project.pdf

เด็กสมัยนี้ต้องทำโครงงาน

โครงงาน ประถม
โครงงาน ประถม

21 พ.ย.53 ยังพอจำได้ว่าสมัยประถม 5 ตัวผมนั้นยังไม่เป็นโล้เป็นพาย .. เด็กสมัยนี้ (2553) ถูกสอนให้เขียน mindmap กันเป็นว่าเล่น ยัดกระบวนการวิจัย/โครงงาน 5 บทเข้าไปในหัวแล้ว พิสูจน์แนวคิดที่มีอยู่ ทดสอบแนวคิดใหม่ แล้วลงมือปฏิบัติ แล้วเขียนรายงานสรุปผล พร้อมให้ข้อเสนอแนะ นำเสนอผ่านบอร์ด .. ถ้าส่งแล้วข้อมูลไม่ครบ ก็ให้กลับมาแก้ไขจนสมบูรณ์ เรียกว่าผ่านกระบวนการวิพากษ์ งานบางงานใช้กิจกรรมกลุ่ม (Group Discussion) เช่น แต่งกาพย์ยานีแล้วคัดเลือก the best ให้เพื่อนในห้องร่วม vote ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานของกันและกัน .. ในภาพมีโครงงานเปลือกไข่ทำให้ผ้าขาว ดินน้ำมันทำเอง หรือน้ำยาล้างจานจากมะกรูด .. สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงจากกระแสการแข่งขันในการพัฒนาการศึกษา ที่มาแรงแซงโค้งการพัฒนาทางจิตใจไปหลายก้าว .. ดีนะครับที่ผมเป็นเด็กโบราณ ไม่ต้องเครียดแย่เลย