เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน

เพลง เถื่อนแห่งสถาบัน
เพลง เถื่อนแห่งสถาบัน

มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมนึกถึงกลอนบทนี้ ปีละ 4 ครั้งเป็นอย่างต่ำ
จึงแต่งกลอน ที่คล้าย ๆ กัน แต่เติมคำว่า “ไม่” เข้าไปอีกคำ
ผมว่าความหมายเปลี่ยนไปนิดนึงนะครับ

วรรคที่ปรับแก้โดย anonymous

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง         จึงไม่ คิดหา ความหมาย
ไม่หวัง เก็บอะไร ไปมากมาย         สุดท้ายขอกระดาษฉันแผ่นเดียว

??? มีคำถามว่า กลอน 2 ตอนนี้ ..  มีอะไรที่ต่างกัน ???

—————————————————————

ข้อมูลจาก wikipedia.org

เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน หรือที่นิยมเรียกว่า ฉันจึงมาหาความหมาย
เป็นกลอนที่มีชื่อเสียงชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อเขียนหนึ่งในหลายชิ้น ที่มีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา “หัวก้าวหน้า” ยุคก่อนและหลัง 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ซึ่งต่อมาได้พัฒนาไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตย ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เนื้อหาของกลอนสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของนักศึกษาคนหนึ่ง ซึ่งตั้งคำถามเชิงเสียดสีเกี่ยวกับปรัชญาการศึกษาในมหาวิทยาลัย

วรรคทองที่ติดปากที่สุดของกลอนนี้ [ใครกล่าว?] และเป็นที่มาของชื่อที่เป็นที่นิยม คือ วรรคที่ว่า:

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง         ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย         สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

กลอนชิ้นนี้แต่งโดย วิทยากร เชียงกูล เมื่อสมัยยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่งขึ้นสำหรับ วันสถาปนาธรรมศาสตร์ ใน พ.ศ. 2511 ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ยูงทอง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และถูกตีพิมพ์อีกครั้งหนึ่ง ในหนังสือชื่อ “ฉันจึงมาหาความหมาย” ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานจำพวกบทกวีของวิทยากรในช่วงสมัยที่ยังศึกษาอยู่และช่วงที่เพิ่งจบ

กลอนทั้งหมด

ดอกหาง นกยูง สีแดงฉาน         บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์
คนเดิน ผ่านไป มากัน         เขาด้น ดั้นหา สิ่งใด
ปัญญา มีขาย ที่นี่หรือ         จะแย่ง ซื้อได้ ที่ไหน
อย่างที่โก้ หรูหรา ราคา เท่าใด         จะให้พ่อ ขายนา มาแลกเอา
ฉันมา ฉันเห็น ฉันแพ้         ยินแต่ เสียงด่า ว่าโง่เง่า
เพลงที่นี่ ไม่หวาน เหมือนบ้านเรา         ใครไม่เข้า ถึงพอ เขาเยาะเย้ย
นี่จะให้ อะไร กันบ้างไหม         มหาวิทยาลัย ใหญ่ โตเหวย
แม้นท่าน มิอาจให้ อะไรเลย         วานนิ่งเฉย อย่าบ่น อย่าโวยวาย
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง         ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย         สุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียว
มืดจริงหนอ สถาบัน อันกว้างขวาง         ปล่อยฉัน อ้างว้าง ขับเคี่ยว
เดินหา ซื้อปัญญา จนหน้าเซียว         เทียวมา เทียวไป ไม่รู้วัน
ดอกหางนกยูง สีแดงฉาน         บานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์
เกินพอ ให้เจ้า แบ่งปัน         จงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป

http://th.wikipedia.org/wiki/

http://www.osknetwork.com/modules.php?name=News&file=article&sid=187

open house @nation_university

open house @nation_university
open house @nation_university

29 ก.ค.55 Check in @ Nation University กับงาน Open House เสวนาหลักสูตร ป.ตรีภาคพิเศษ ก่อนตัดสินใจเรียนกับเรามหาวิทยาลัยเนชั่น (Nation University) / ชาญณรงค์ พรดิลกรัตน์ (Charnnarong Porndilokrad)

วิทยากรโดย คุณสุทธิชัย หยุ่น ประธานเครือเนชั่นกรุ๊ป  คุณต่อบุญ พ่วงมหา อดีตผู้บริหาร sanook.com  อ.ภรภัทร ปิติโชตินันท์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และ อ.จักรกฤษ เพิ่มพูล บรรณาธิการสำนักข่าวเนชั่นและประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเนชั่น
ณ อาคารมหาวิทยาลัยเนชั่น ชั้น 6 ห้อง 602 ลงทะเบียน 9.30น.

http://77.nationchannel.com/video/272498/

ในคลิ๊ปนาทีที่ 3.19 มีผู้ฟังท่านหนึ่งสะท้อนปัญหาของบัณฑิตไทยในปัจจุบันว่า “ปัจจุบันบัณฑิตใหม่ไม่เก่ง ขอเงินสูง ๆ ขี้เกียจ ทวิตทั้งวัน เฟซบุคส์ทั้งวัน หาคู่ครองในเวลางาน” แล้วคุณต่อบุญ ก็แลกเปลี่ยนว่ารูปแบบของความคิดแบบนั้น เนชั่นพยายามจะสร้างความเปลี่ยนแปลง เราจะเอาความเป็นเจ้าของ entrepreneurship ใส่เข้าไปในความคิดของเด็ก เราจะทำให้แตกต่าง

openhouse ม.เนชั่น
openhouse ม.เนชั่น

หัวอกนักศึกษาพี่เลี้ยง

หัวอกพี่เลี้ยง (Mentor mind)
หัวอกพี่เลี้ยง (Mentor mind)

บทความพิเศษ เรื่อง “ปัญหาผลการเรียนต่ำของนักศึกษา…ใครจะแก้
พุธที่ 25 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2552
(อ่านแล้วชื่นชม รู้สึกว่างานเขียนดีระดับอาจารย์เลย มากกว่าเป็นเพียงของรุ่นพี่)

ถ้าพูดถึงวิกฤติที่สำคัญที่สุดของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องการเรียน ผลการเรียนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในทุกปีสร้างความกระวนกระวายใจให้อาจารย์ผู้สอนแทบทุกสาขาวิชา แม้ว่าหลายฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์มากมาย เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาผลการเรียนน่าเป็นห่วงเหล่านี้ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของพวกเขาจะเป็นเพียงแค่น้ำเหลวทุกครั้งไป

ปัญหาผลการเรียนที่ตกต่ำของนักศึกษา ม.อ.ปัตตานี ไม่ได้เป็นปัญหาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ แต่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆรายงานการเปรียบเทียบสถิติผลการเรียนของนักศึกษาจากงานทะเบียนและสถิตินักศึกษาของวิทยาเขตปัตตานี พบว่า ตั้งแต่ปี 2545-2549 นักศึกษาที่พบกับภาวะรอพินิจเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า และเป็นที่น่าตกใจ เมื่อพบว่าวิชาที่นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ผ่าน เป็นวิชาบังคับพื้นฐานของมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ และคณิตศาสตร์

หากวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นก็สามารถมองได้หลายแง่มุม แต่สาเหตุหลัก ๆ ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ประเด็นแรก คือ พื้นฐานการเรียนอ่อน พื้นฐานเดิมไม่ดีก่อนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย [ .. ]

ประเด็นที่สอง คือ มีกิจกรรมมากมายที่นักศึกษาปี 1 ต้องเข้าร่วม ซึ่งผู้เขียนมองว่ากิจกรรมเหล่านี้มีมากเกินไป จนบางครั้งทำให้นักศึกษาน้องใหม่ ซึ่งยังไม่สามารถปรับตัวได้ดีพอ ต้องประสบปัญหาแบ่งเวลาไม่ทันจากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยเข้าศึกษาสถาบันอื่นก่อนที่เข้ามาศึกษาที่ ม.อ.ปัตตานี กิจกรรมรับน้องที่ทางคณะ และมหาวิทยาลัยจัดขึ้นจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียน ทำให้นักศึกษาน้องใหม่เหล่านี้มีเวลาเรียน และปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่ตนไม่คุ้นเคยอย่างเต็มที่ ส่วนกิจกรรมระหว่างภาคเรียนนั้นก็จัดขึ้นอย่างเหมาะสม ไม่มากและน้อยจนเกินไป ไม่มีการเรียกน้องในเวลาดึกดื่นจนน้องต้องไปเรียนสายในวันรุ่งขึ้น และไม่มีการเรียกประชุมถี่ จนน้องไม่มีเวลาพักผ่อนและทบทวนบทเรียน

ประเด็นที่สาม คือ พฤติกรรมเคยชินของนักศึกษา ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่สำคัญที่สุด นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยังคงติดรูปแบบการดำเนินชีวิตช่วงมัธยม คือตื่นนอนเช้า เข้าเรียน เลิกเรียนและกลับที่พัก นอกจากนั้นการเรียนสมัยมัธยมอาจารย์จะเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ จ้ำจี้จ้ำไชให้นักศึกษาทำงานส่งการบ้าน ในขณะที่การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นนักศึกษาจะต้องเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมนอกห้องเรียนเอง อาจารย์เพียงแต่ทำหน้าที่แนะแนวทางให้เท่านั้น และไม่มีใครคอยผลักดันให้นักศึกษาต้องรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ ยกเว้นแต่เราจะกำชับตัวเอง

พฤติกรรมเคยชินของนักศึกษาที่เป็นอยู่ขณะนี้ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้นักศึกษาเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในการเรียนมากยิ่งขึ้น ตามมาอีกหลายอย่าง เช่น การไม่รู้จักแบ่งเวลา การไม่รู้จักที่จะพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลงตนเอง

ผู้เขียนมีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงสอนนักศึกษาปีที่ 1 ในโครงการพี่สอนน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น โดยรับผิดชอบในวิชาภาษาอังกฤษ 1 ซึ่งเป็นวิชาบังคับพื้นฐานของมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในปีการศึกษานี้ไม่ผ่าน คิดเป็นร้อยละ 70 ของนักศึกษาที่เรียนทั้งหมด พบว่านักศึกษาที่สมัครเรียนด้วยความเต็มใจมีเพียง 12 คนเท่านั้นจากทั้งหมด 100 คน และในทุกสัปดาห์จะมีนักศึกษาเข้าร่วมโครงการนี้ไม่ถึง 20 คน และในสัปดาห์สุดท้ายผู้เขียนพบว่าไม่มีนักศึกษาคนใดมาเรียนเลยสักคนในห้องที่ผู้เขียนรับผิดชอบสอน

เห็นได้ว่านักศึกษาที่มีผลการเรียนอ่อน แม้จะรู้ตัวเองและอาจารย์ผู้สอนพยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ก็ยังขาดความตั้งใจ และขาดความกระตือรือร้น นอกจากนั้นยังไม่สามารถแบ่งเวลาให้เหมาะสมได้อีกด้วย ซึ่งสังเกตได้จากเวลาว่างของนักศึกษาเหล่านี้ที่มักจะหมดไปกับสิ่งไร้สาระ ไม่ว่าจะเป็นการดูรายการโทรทัศน์ การคุยโทรศัพท์ การเล่นอินเทอร์เน็ต การเดินเล่นตามห้างสรรพสินค้า ฯลฯ ซึ่งหากทำมากจนเกินไปก็จะทำให้นักศึกษามีเวลาทบทวนบทเรียนน้อยลง พักผ่อนน้อยลง ซึ่งไม่แน่นอนสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  สุดท้ายเมื่อผลการเรียนออกมาอย่างไม่ค่อยดีนัก หลายคนต่างรู้สึกท้อถอยและไม่มีกำลังใจที่จะต้องเรียนในวิชาเดียวกันอีกครั้ง

ผู้เขียนพบว่านักศึกษากาหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนนั้น เพราะมีทักษะในการใช้ชีวิตได้ดี นักศึกษาเหล่านี้ใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า รู้ว่าควรแบ่งเวลาให้เหมาะสมอย่างไร หลายคนอาจจะเข้าใจว่านักศึกษาที่ได้เกียรตินิยม ส่วนมากคงจะใช้เวลาคร่ำเคร่งกับตำราเรียนเพียงอย่างเดียว แต่จากประสบการณ์ของผู้เขียน นักศึกษาเหล่านี้ก็ยังมีเวลาทำกิจกรรม ทำงานอดิเรกที่ตนรัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดจากการเรียน เหนือสิ่งใดพวกเรารู้จักสร้างกำลังใจให้กับตนเอง เพราะแน่นอนการดำเนินชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะด้านใดก็ตามคงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบทุกครั้งไป ย่อมต้องพบเจอกับขวากหนามบ้างเป็นเรื่องธรรมดา และเมื่อต้องพบกับอุปสรรคไม่ว่าจะเรื่องการเรียน หรือเรื่องใดก็ตาม นักศึกษาเหล่านี้จะไม่ท้อถอย แต่จะเดินหน้าเข้าสู้กับอุปสรรคเหล่านั้นอย่างไม่หวั่นเกรง ยิ่งไปกว่านั้นนักศึกษาบางคนยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าท้าทายอีกด้วย

หากจะแก้ปัญหาผลการเรียนของนักศึกษา คงไม่สามารถจะประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย แม้ว่ามหาวิทยาลัยจะเร่งแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเพียงใด หรือแต่ละคณะจะระดมกำลังและความคิดมากเท่าไหร่ แต่หากนักศึกษายังยึดติดกับพฤติกรรมเดิม ท้อถอยเมื่อพบเจอกับอุปสรรคและกล่าวโทษบุคคลอื่นมากกว่าจะย้อนมองดูตัวเอง ก็คงไม่สามารถจะช่วยให้ผลการเรียนของนักศึกษาดีขึ้นได้ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนใหญ่จะคิดอยู่เสมอว่า โชคชะตาไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ ยกเว้น แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียก่อน


นางสาวมัรยัม วรรณมาตร
นักศึกษาวิชาเอกภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
นักศึกษารายวิชา 870-224 การเขียนเชิงวารสารศาสตร์
http://comm-sci.pn.psu.ac.th/commsci/web_bumee/?name=news&file=readnews&id=122

WIL มิติใหม่ของอุดมศึกษาไทย

work integrated learning
work integrated learning

อาจารย์ ดร.วันชาติ นภาศรี ประธานหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง, อาจารย์ธวัชชัย แสนชมภู ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง และคุณสิริรัตน์ เลิศมีมงคลชัย นักวิชาการอิสระ ได้รับรางวัลดีเด่นการนำเสนอผลงานวิจัยภาคบรรยาย” จากเครือข่าย บริหารการวิจัยภาคเหนือต้อนบน การประชุมวิจัยระดับชาติเครือข่าววิจัยอุดมศึกษา ประจำปี 2555 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 แล้วมีนักวิชาการนำหนังสือเล่มเล็กจากการสังเคราะห์องค์ความรู้ไปเผยแพร่ทาง อินเทอร์เน็ต ผ่าน e-book

http://www.thaiall.com/e-book/wil/

ข้อสอบของ bbc webwise เรื่อง email

email of bbc webwise
email of bbc webwise
มีโอกาสได้เรียนรู้ระบบข้อสอบของ bbc.co.uk หัวข้อ email ใน webwise อยู่ในเว็บไซต์
แล้วพิมพ์ข้อสอบตามที่เห็นใส่ไปในระบบ e-learning moodle 1.9.12 แล้วทำการ backup โดยเลือกเฉพาะข้อสอบ แล้วนำไป restore ใน e-learning moodle 2.2.1 พบว่าข้อสอบเข้าไปใน moodle ระบบใหม่ได้ปกติ ทำให้มีแนวคิดว่าจะทำข้อสอบขึ้นมา แต่สามารถนำไปติดตั้งได้หลายเครื่องบริการ โดยรุ่นของ moodle ตัวหลักที่ผมจะใช้ คือ 1.9.12 แต่ตัวปลายทางจะเป็น 2.2.1 เพราะถ้าเริ่มต้นที่ตัวปลายทาง จะไม่สามารถนำเนื้อหาไปใช้กับระบบเก่า

ข้อสอบเกี่ยวกับ email จาก bbc webwise

webwise
webwise
e-mail-topic quiz in quiz blank on the question randomization.
If you take the second, you will got the new questions.
Read the question and choose your answer from the 4 options.
When at work, how could you remind yourself that an email needs dealing with after the weekend?
– Move the message to the ‘junk’ folder
– Email a colleague and ask them to remind you
– Apply a ‘flag’ to draw attention to the email
– Write a self-adhesive note and stick it on your monitor
You receive an email from someone who you don’t know. In the email there is a link for you to click. What do you do?
– Forward the email to a friend and ask them to click the link on your behalf
– Click the link; that is what you were asked to do
– Delete the email and add the address to your spam list
– Reply to the sender telling them your online password
If attaching large files to an email it may take some time to download them for recipients on slower connections.
– False
– True
Some email providers do not charge for using their services.
– True
– False
In emailing terms, what is the ‘address book’?
– Something that stores the names and email addresses of friends or clients
– A list of folders to store emails in
– A list of send emails
– A reminder of appointments
After composing an email, what should you do before clicking the ‘Send’ button?
– Click ‘Reply’
– Insert your photo into the email
– Change the colour of the message text to blue
– Run the spell checker
When sending a business email the most appropiate language to use would be chatty and jokey with lots of slang phases.
– False
– True
If you click the ‘Reply to All’ feature, what happens?
– Your email will be send to everyone in your address book
– The original message will be deleted
– This will add the sender and everyone else who was send the original message to the recipient list
– It will automatically add a file attachment
Which of the following could be a collect email address?
– boy@hotmail
– girl@com.hotmail
– boy.girl@hotmail.com
– student#hotmail.com
Archiving emails can be achieved by
– Deleting emails
– Moving emails to the outbox
– Moving emails into the junk mail folder
– Moving old emails into a specific folder
What is junk mail?
– Emails you have started writing but failed to send
– Letters from your bank
– Unsolicited emails from senders unknown
– Unsolicited mail delivered in the post

When sending an e-mail, what does Cc: mean?
– Common copy
– Communication cost
– Communication composed
– Carbon copy

ไม่จำเป็นต้องคุยกัน

thai worker lack
thai worker lack
18 พ.ค.55 ปัญหาคำว่า “ไม่จำเป็นต้องคุยกัน” .. เกิดขึ้นได้สำหรับ thai worker ซึ่งเป็นทักษะที่ขาดแคลนจากผลสำรวจ และเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ The nation มาแล้ว ซึ่งปัญหานี้ตรงข้างกับคำว่า “การจัดการความรู้” เวลายกกรณีก็นึกถึง ชุมชนคอนโดได้ครับ เพราะห้องติดกัน อยู่กัน 3 ปี อาจไม่รู้จักชื่อกันเลยก็มี
ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า ใน 12 ทักษะ มี 8 ทักษะที่คนไทยมีปัญหาเพิ่มขึ้น แต่มี 4 ทักษะที่เท่าเดิม หรือไม่ก็ดีขึ้นนิดหน่อย รู้สึกว่าประเทศเราพัฒนาถอยหลังนะครับ และ 2 ทักษะแรกที่คนไทยขาดชัดเจน คือ ภาษาอังกฤษ และเทคโนโลยีสารสนเทศ

วิชาเลือกเพิ่มเติมและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

วิชาเลือกเพิ่มเติม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
วิชาเลือกเพิ่มเติม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

12 พ.ค.55 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ลำปาง จัดพิธีมอบตัว และพบปะผู้ปกครองนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ณ อาคารบุญชู ตรีทอง โดยผู้บริหาร 5 ท่าน อธิบายเชิงนโยบายโดย ผอ.เบญจวรรณ ไกรวุฒินันท์ ตามด้วยวิชาการ การเงิน กิจกรรม และบริหารทั่วไป ท่านจะเกษียณเดือนกันยายน 2555 แล้ว มีนักเรียนประมาณ 650 คน เตรียมเก้าอีไว้ 900 ตัว ไม่พอครับ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากโครงการเรียนฟรี 15 ปีของรัฐอีก 2,700 บาท โดยโอนตังผ่านธนาคาร แล้วนำหลักฐานมาแสดง ปี2554 โรงเรียนได้รับการจัดอันดับได้ที่ 5 ของประเทศ แล้วช่อง 3 มาทำรายการที่โรงเรียน ท่านรองผอ.ชี้แจงเรื่องซีดีเพลงใหม่ของโรงเรียน แผ่นละ 100 บาท มีเพลง 12 เพลง ได้แก่ มาร์ชสุดดีบุญวาทย์ :: จุดไฟแห่งฝัน :: มาร์ชศักดิ์ศรีบุญวาทย์ :: บุญวาทย์เอ๋ย :: ลูกพ่อเจ้าบุญวาทย์ :: บุญวาทย์ก้าวหน้า :: ไหว้สาบารมีพ่อเจ้า :: ลูกพ่อขอเป็นคนดี :: เส้นทางชีวิต :: เพื่อนเอ๋ย .. เราเคยรักกัน :: ฟ้อนปูจาไหว้สาพ่อเจ้าบุญวาทย์ :: บุญวาทย์รวมใจก้าวไกลสู่อาเซียน
วันรุ่งขึ้น ฝนดาว ก็เข้าเว็บ bwc.ac.th เพื่อเข้าไปลงวิชาเลือกเพิ่มเติมและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ปี 2555 ที่ http://58.137.128.196/register55/index.php (ตอนลงวิชาที่ 2  เน็ตที่บ้านล่มไปครู่หนึ่ง) ของ ม.2 มีให้เลือกกว่า 153 รายการ และต้องเลือกให้ครบ 4 คาบต่อสัปดาห์ (วิชาละประมาณ 2 คาบ)เช่น กระบี่ กรีฑา การเข้าใจแผนที่ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ การจัดสวนถาด การดำเนินงานร้านขายปลีก การบัญชีครอบครัว การประดิษฐ์เครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ การปลูกพืชผักทั่วไป 2 การปลูกพืชไร้ดิน 2 การปลูกพืชสมุนไพร 2 การผสมดินปลูก การพิมพ์สร้างสรรค์ การวาดภาพตัวละคร การออกแบบตัวอักษร การอ่านเพื่อความเข้าใจ การอ่านเพื่อชีวิตประจำวัน เขียนแบบ 1 การโปรแกรมเบื้องต้น การพัฒนาเว็บเพจ คอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย คอมพิวเตอร์แอนิเมชั้น องค์ประกอบคอมพิวเตอร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ งานบัญชีกิจการบริการ งานใบตอง งานพิมพ์ดีดภาษาไทย ช่างซ่อมบำรุงรักษารถจักรยานยนต์ ช่างเดินสายไฟฟ้าในอาคาร ช่างปะยางรถยนต์และรถจักร์ยานยนต์ ตุ๊กตาแสนสวย นิทานพื้นบ้าน เปตอง ผ้ามัดย้อม พันธุกรรมและการอยู่รอด ฟุตบอล ภาษาฝรั่งเศษเพื่อชีวิตประจำวัน 1 ภาษาอังกฤษฟัง-พูด มวยไทย วาดเส้นสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา ศิลปะป้องกันตัว สารเคมีในชีวิตประจำวัน สีน้ำแสนสนุก สีไม้กระดาษสา เสริมทักษะภาษาไทย หลักภาษาเพื่อการสื่อสาร ออกแบบเบื้องต้น อาเซียนศึกษา อาหารไทย (นี่เป็นรายวิชาของ ม.2 จริง ๆ ครับ เทอมแรกเคยเลือกคณิตเพิ่มเติม กับอังกฤษเพิ่มเติม ผลออกมาชุดเกรด พอเทอมต่อมาก็เลยเลือกวิชาปลูกผัก กับปลูกพืชไร้ดิน ใน ม.2 เลือกอาเซียนศึกษา กับวิทยาศาสตร์กับการแก้ปัญหา 🙂

หมวกคิดแบบหมวก 6 ใบ (Six Thinking Hats)

Six Thinking Hats‘ is an important and powerful technique. It is used to look at decisions from a number of important perspectives (มุมมอง). This forces you to move outside your habitual thinking style, and helps you to get a more rounded view of a situation.

This tool was created by Edward de Bono in his book ‘6 Thinking Hats‘.

นักศึกษาที่ชื่อ น.ส.ศัลณ์ษิกา ไชยกุล ช่วยแปลจากคลิ๊ปให้
The Blue Hat
– What is our agenda?
วาระการประชุมของพวกเราคืออะไร
– What our next step and next hat?
หมวกต่อไปและก้าวต่อไปของพวกเราคืออะไร
– What is our decision?
การตัดสินใจของพวกเราคืออะไร

The White Hat
– What information is available?
ข้อมูลที่สามารถใช้ได้คืออะไร
– What information would we like and what do we need?
ข้อมูลอะไรที่ใช้ได้ และอะไรที่เราต้องการเพิ่ม
– How are we going to get the missing information?
พวกเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้รับข้อมูลที่สูญหายไป

The Yellow Hat
– What are the benefits?
ผลประโยชน์คืออะไร
– What are the positives and the values?
คุณค่า และการคิดบวกคืออะไร
– Is there a concept in the idea that makes it attractive?
พอจะมีความคิดอะไรในแนวคิดที่น่าสนใจหรือไม่

The Black Hat
– What could be the potential problems?
ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้คืออะไร
– What could some at the difficulties be?
มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคหรือทำได้ยาก
– What are the points of caution and risk?
จุดที่ควรระมัดระวังและมีความเสี่ยงคืออะไร

The Green Hat
– Are there other ways that this can be done?
มีทางอื่นที่สามารถทำได้หรือไม่
– What else can be done?
มีอะไรที่ทำได้อีกบ้าง
– What will overcome our difficulties?
อะไรคือสิ่งที่จะเอาชนะอุปสรรคของพวกเรา

The Red Hat
– What are my feelings now?
ตอนนี้ความรู้สึกของฉันคืออะไร
– What does my intuition tell me?
สัญชาตญาณของฉันบอกอะไร
– What’s my gut reaction?
ปฎิกิริยาที่มาจากภายในคืออะไร

Many successful people think from a very rational, positive viewpoint. This is part of the reason that they are successful. Often, though, they may fail to look at a problem from an emotional, intuitive, creative or negative viewpoint. This can mean that they underestimate resistance to plans, fail to make creative leaps and do not make essential contingency (ฉุกเฉิน) plans.

Similarly, pessimists (ผู้มองในแง่ร้าย) may be excessively defensive, and more emotional people may fail to look at decisions calmly and rationally.

If you look at a problem with the ‘Six Thinking Hats’ technique, then you will solve it using all approaches. Your decisions and plans will mix ambition (ความใฝ่ฝัน), skill in execution, public sensitivity, creativity and good contingency (ฉุกเฉิน) planning.

How to Use the Tool:
You can use Six Thinking Hats in meetings or on your own. In meetings it has the benefit of blocking the confrontations (การเผชิญหน้า) that happen when people with different thinking styles discuss the same problem.

Each ‘Thinking Hat‘ is a different style of thinking. These are explained below:

1. White Hat: ใช้ข้อมูลข่าวสาร
With this thinking hat you focus on the data available (ข้อมูลที่มี). Look at the information you have, and see what you can learn from it. Look for gaps in your knowledge, and either try to fill them or take account of them. This is where you analyze past trends, and try to extrapolate (คาดการณ์)  from historical data.

2. Red Hat: ใช้อารมณ์ความรู้สึก
‘Wearing’ the red hat, you look at problems using intuition (การหยั่งรู้ การรู้โดยสัญชาติญาณ), gut (ลำใส้) reaction , and emotion(อารมณ์). Also try to think how other people will react emotionally. Try to understand the responses of people who do not fully know your reasoning.

3. Black Hat: ใช้การตั้งคำถามหรือตั้งข้อสงสัยมุมลบ
Using black hat thinking, look at all the bad points of the decision. Look at it cautiously and defensively. Try to see why it might not work. This is important because it highlights the weak points in a plan. It allows you to eliminate them, alter them, or prepare contingency plans to counter them.
Black Hat thinking helps to make your plans ‘tougher(ยากขึ้น)’ and more resilient (ยืดหยุ่น). It can also help you to spot fatal flaws and risks before you embark (เริ่มดำเนินการ) on a course of action. Black Hat thinking is one of the real benefits of this technique, as many successful people get so used to thinking positively that often they cannot see problems in advance. This leaves them under-prepared for difficulties.

4. Yellow Hat: ใช้การมองในแง่ดี และมีความหวัง
The yellow hat helps you to think positively. It is the optimistic viewpoint that helps you to see all the benefits of the decision and the value in it. Yellow Hat thinking helps you to keep going when everything looks gloomy (มืดมน) and difficult.

5. Green Hat: ใช้การคิดอย่างสร้างสรรค์
The Green Hat stands for creativity. This is where you can develop creative solutions to a problem. It is a freewheeling way of thinking, in which there is little criticism of ideas. A whole range of creativity tools can help you here.

6. Blue Hat: ใช้การควบคุมความคิดทั้งหมดให้มองเห็นภาพรวมของการคิด
The Blue Hat stands for process control. This is the hat worn by people chairing meetings. When running into difficulties because ideas are running dry, they may direct activity into Green Hat thinking. When contingency plans are needed, they will ask for Black Hat thinking, etc.

A variant of this technique is to look at problems from the point of view of different professionals (e.g. doctors, architects, sales directors, etc.) or different customers.

http://www.mindtools.com/pages/article/newTED_07.htm
http://kittikoon.multiply.com/journal/item/47/47
http://www.debonogroup.com/six_thinking_hats.php
http://www.tistr.or.th/tistrblog/?p=754

six hats
six hats

Using Six Thinking Hats®, team will learn how to:

* look at problems, decisions, and opportunities systematically
* use Parallel Thinking™ as a group or team to generate more, better ideas and solutions
* make meetings much shorter and more productive
* reduce conflict among team members or meeting participants
* stimulate innovation by generating more and better ideas quickly
* create dynamic, results oriented (มุ่งเน้น) meetings that make people want to participate
* go beyond the obvious to discover effective alternate solutions
* spot opportunities where others see only problems
* think clearly and objectively
* view problems from new and unusual angles
* make thorough evaluations
* see all sides of a situation
* keep egos and “turf (สนามหญ้า) protection” in check
* achieve (การทำให้สำเร็จ) significant and meaningful results

สอนอย่างมีสไตล์…แบบฉบับสุทธิชัย หยุ่น

สอนอย่างมีสไตล์...แบบฉบับสุทธิชัย หยุ่น
สอนอย่างมีสไตล์...แบบฉบับสุทธิชัย หยุ่น
สอนอย่างมีสไตล์…แบบฉบับสุทธิชัย หยุ่น
โดย สุดถนอม  รอดสว่าง (31 มีนาคม 2555)
หากใครถามว่า เทคนิคการสอนที่ดีเป็นอย่างไร คำตอบนั้นอาจมีหลายแนวทาง สำหรับเทคนิคการสอนอีกแนวทางหนึ่งที่ดิฉันมาแบ่งปันในครั้งนี้ ได้มาจากการไปฟังบรรยายพิเศษของคุณสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น กรุ๊ป และคนต้นแบบของนักสื่อสารมวลชนเมืองไทย เรื่อง “ทิศทางสื่อ ทิศทางวารสารศาสตร์”  ในงานสัมมนายุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์ ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นการประชุมเครือข่ายนักวิชาการและวิชาชีพสื่อมวลชน ประจำปี 2555  โดยจัดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา การไปร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากจะได้ความรู้ มุมมองใหม่ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่นักวิชาชีพสื่อมวลชนกำลังเผชิญอยู่ ยังได้เห็นวิธีการบรรยายที่เรียบง่าย แต่น่าติดตาม ซึ่งดิฉันคิดว่าเราสามารถนำมาปรับใช้เป็นเทคนิคการสอนตามแบบฉบับสุทธิชัย หยุ่น ได้ดังนี้
ประการแรก อาจารย์ต้องทำการบ้าน จากเนื้อหาที่คุณสุทธิชัยพูด สะท้อนให้เห็นว่าได้เตรียมพร้อมในเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี  มีการวิเคราะห์กลุ่มผู้ฟัง และตีโจทย์แตกว่า ต้องพูดเรื่องอะไร ประเด็นไหนบ้าง พร้อมทั้งกำหนดรูปแบบและวิธีการนำเสนอเพื่อให้การบรรยายน่าติดตาม
ประการที่สอง กำหนดวิธีการเล่าเรื่องและลำดับเนื้อหาที่จะพูด  คุณสุทธิชัย เริ่มการบรรยายด้วยการพูดถึงประเด็นปัญหาที่นักวิชาชีพสื่อมวลชนกำลังประสบอยู่ โดยเปรียบปัญหาเทียบเท่ากับ Perfect Storm ที่นักเดินเรือจะบังคับเรือไปข้างหน้าก็ไม่รู้ทาง จะถอยก็ถอยไม่ได้ หากนักวิชาชีพสื่อมวลชนจะออกจาก Perfect Storm นี้ได้ ก็ต้องมีการปรับตัว (Adapt) พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และวางแผนการปฏิบัติงานในอนาคต หลังจากที่อธิบายให้เข้าใจประเด็นปัญหาแล้ว คุณสุทธิชัยได้ตั้งคำถามนำก่อนที่จะอธิบายขยายความ และยกตัวอย่าง เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนขึ้น หากไม่กำหนดประเด็น และลำดับเนื้อหา วิธีการเล่าเรื่อง ผู้สอนอาจจะบรรยายวกวน ไม่น่าสนใจได้
นอกจากนี้ ต้องมีลูกเล่น  ดิฉันเชื่อว่าเสน่ห์ของการบรรยายหรือการสอนที่ดีนั้น คือ ลูกเล่นหรืออารมณ์ขันของผู้บรรยาย หากมีเนื้อหาที่น่าสนใจ แต่ไม่มีลูกเล่นผู้ฟังก็เบื่อได้ ด้วยความเก๋าของอดีตพิธีกรดำเนินรายการข่าวที่มีจุดเด่นด้วยลีลาการสัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้การบรรยายมีสีสัน และสะกดผู้ฟังได้ตลอด โดยคุณสุทธิชัยเริ่มบรรยายจากการถามผู้ฟังว่าจะให้บรรยายแบบ twitter หรือบรรยายแบบเล่าข่าว หลังจากนั้นก็ประกาศว่าจะบรรยายพิเศษตามลักษณะของการเล่น twitter ที่พิมพ์ข้อความได้เพียงสั้นๆ แค่ 140 ตัวอักษร และเริ่มต้นบรรยายพร้อมสรุปจบการบรรยายอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที ก่อนที่จะมีหน้าม้ายกมือขอให้บรรยายเพิ่ม และเปลี่ยนเป็นการบรรยายแบบเล่าข่าวแทน  อย่างไรก็ตาม ลูกเล่นที่กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่แค่เพียงลีลาการพูด คำคม อารมณ์ขันของผู้บรรยายเท่านั้น แต่หมายรวมถึงข้อมูลอ้างอิง รูปภาพ คลิปวีดิโอที่หลากหลาย ซึ่งคุณสุทธิชัยได้นำมาใช้ประกอบการบรรยายอีกด้วย
ประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ได้แก่ เนื้อหา หากลีลาดี แต่ไม่มีประเด็นที่ใหม่ น่าสนใจ และน่าเชื่อถือแล้ว การบรรยายหรือการสอนนั้นก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
สำหรับเนื้อหาที่คุณสุทธิชัย บรรยายถึงทิศทางสื่อ ทิศทางวารสารศาสตร์ นั้น คุณสุทธิชัยมองว่าเทคโนโลยีเปลี่ยน ดังนั้นเราควรจะต้องมาทบทวน หาแนวทางใหม่ที่จะสอนนักสื่อสารมวลชนรุ่นใหม่ ให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงานข่าว เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ทันเหตุการณ์ และที่สำคัญสามารถผลิตข่าวที่มีคุณภาพได้  โดยในการกำหนดอนาคตของการเรียนการสอนวารสารศาสตร์นั้น คุณสุทธิชัยเสนอว่า ผู้สอนต้องตอบคำถาม 3 ข้อ ให้ได้ก่อนว่าเราจะ สอนใคร สอนอะไร และสอนทำไม โดยมีรายละเอียด ดังนี้
สอนใคร ในมุมมองของคุณสุทธิชัย หยุ่น คำว่า “สอนใคร” หมายความว่า “เราจะสอนให้เป็นอะไร”  โดยคุณสุทธิชัยได้กำหนดบัญญัติ 5 ประการ สำหรับการเป็นคนข่าวยุคใหม่ ดังนี้
1. เป็นนักวิเคราะห์ข่าวดิจิทัลทุก Platform โดยนักข่าวสามารถหาข้อมูลมาทำข่าว และบรรณาธิกรข่าวได้ทุกแบบไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ รวมทั้งสามารถตัดต่อรายการเองได้
2. เป็น Curator ของ Content ทุกรูปแบบ ในกรณีนี้ Curator น่าจะหมายถึงผู้สะสม และเสาะหาข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการทำข่าว ซึ่งไม่ควรหยุดนิ่ง ต้องแสวงหาข้อมูลใหม่เสมอ โดยใช้ Social Media ในการหาข้อมูล
3. เป็น Julian Assange แห่ง Wikileaks หมายความว่า คนข่าวรุ่นใหม่ ควรเป็นนักเจาะข่าว สามารถล้วงความลับที่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าถึงได้ แต่เป็นความลับที่เป็นประโยชน์ เป็น Public Interest ซึ่งในโลกดิจิทัลมีวิธีการเจาะข่าวหลายแบบ นักข่าวต้องรู้วิธีล้วงข้อมูลลับ โดยใช้ Social Media มาช่วยในการทำข่าวและนำเสนอข้อเท็จจริงให้ประชาชนรู้
4. เป็น Multimedia User หรือ นักสื่อสารกับมวลชนผ่านทุกสื่อ Online สามารถใช้เครื่องมือทุกอย่างทำข่าวได้
5. เป็น Entrepreneur Journalist กล่าวคือ สามารถเป็นเจ้าของสื่อ เนื่องจาก Social Media จะทำให้ระบบนายทุนสื่อหายไป เพราะคนมีช่องทางในการสื่อสารมากขึ้น และสามารถสร้างช่องหรือทำรายการของตนเองผ่าน YouTube โดยผู้เสพสื่อไม่จำเป็นต้องรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อหลัก เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เสมอไป  ดังนั้น โอกาสในการเป็นผู้ประกอบการจึงมีให้กับทุกคน
สอนอะไร ในอนาคตอาจารย์ผู้สอนควรเน้นสอนแนวทาง หรือวิธีการให้นักศึกษาเป็นคนข่าวยุคใหม่ โดยควรสอน ดังนี้
1. สอนความมุ่งมั่นทุ่มเท (Passion) ในการทำงาน เพื่อความยุติธรรม และความเป็นธรรมของสังคม
2. สอนคิดให้เป็น (Critical Thinking) ผู้สอนต้องสอนให้นักศึกษาสามารถแยกแยะเหตุผล โฆษณาชวนเชื่อ และอารมณ์ได้ โดยควรสอนให้คิดวิเคราะห์ ไม่นำอารมณ์มากำหนดว่าอะไรดีหรือเลว
3. สอนเขียนหนังสือให้เป็น (Clear, Focused writing) เพราะถ้านักศึกษาสื่อภาษาไม่ได้ จะรายงานข่าวไม่ได้
4. สอนจริยธรรม (Ethics) ผู้สอนควรสร้างค่านิยมตั้งแต่เริ่มเรียนว่าภารกิจหลักของนักข่าวไม่ใช่แค่วิ่งหาข่าว แต่ต้องทำให้สังคมดีขึ้น ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปแค่ไหน นักข่าวก็จะคงอยู่ได้ถ้าหากมีคุณธรรม
5. สอนทักษะการใช้ New Media ทุกประเภท
6. สอน Short – Form และ Long – Form Journalism โดยเฉพาะการเขียนข่าวแบบ Long – Form Journalism ซึ่งต้องมีการวิเคราะห์ มีเหตุผล มีประเด็น แสดงความคิดเห็น พร้อมหาข้อมูลอ้างอิงประกอบเพื่อให้น่าสนใจ และต้องเขียนได้ทั้งในมิติสั้น ยาว ลึก
7. สอนการใช้ Social Media for Investigative Reporting หรือการรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน หากใช้ Social Media เป็น จะสามารถระดมความคิด และข้อมูลจากคนจำนวนมาก (Crowd Sourcing) เพื่อนำมาใช้ในการรายงานข่าวเชิงลึกได้
8. สอนสร้างหนังโดยใช้ Smartphone เนื่องจากปัจจุบัน Smartphone ได้ปลดแอกสื่อแล้ว หากนักข่าวมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวก็สามารถถ่ายคลิป ทำข่าว ตัดต่อและส่งข่าวได้
สอนทำไม คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่โดนใจทุกคนก็คือ สอนให้นักศึกษาทุกคนเป็นบุคลากรที่ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ปิดท้ายด้วยคำถามชวนคิด ว่า “แล้วใครจะสอนครู?” แม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปในประเด็นนี้ อย่างน้อยการบรรยายพิเศษครั้งนี้ คุณสุทธิชัย หยุ่น ก็ได้ทำหน้าที่เป็นคนสอนครูตัวเล็กๆ อย่างดิฉัน ให้ Adapt … Not to Die in a Perfect Storm.