มาส์คหน้าด้วยของใกล้ตัว-ผิวใส-ลดริ้วรอย-ไร้สิว ง่ายๆ

วิธีการมาสก์หน้า ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนเซอร์ที่เหมาะกับผิ ว ก่อนที่จะพอกหน้าให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ( ถ้าจะให้ผลดีอาจใช้ผ้าขนหนูชุบอุ่น ๆ นำมาวางบนหน้า ความร้อนจากผ้าขนหนูจะช่วยให้ส่วนผสมในมาสก์ซึมซับสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ) แล้วใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาด จากนั้นจึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวสดชื่น เช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ และตามด้วยครีมบำรุงผิวค่ะ คราวนี้ผิวคุณก็นุ่มละมุนสดชื่น และสดใส …ชัวร์

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย ใร้สิว

สิ่งที่ต้องเตรียม  1.ใบเตย 4-5 ใบหั่บเป็นชิ้นเล็กๆ    2.ไข่ไก่ 1 ฟอง

1.นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

2.แล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจนได้มาร์คพอกหน้าเป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย

3.พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น

ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น

สูตรรักษาฝ้า คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น

สูตรสาวหน้าใส

ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว

1.ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน

2.นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA นั่นแหละ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที

สูตรลดริ้วรอย

เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส

1. มาร์ค ว่านหางจระเข้

ตัดว่านหางจระเข้มาสัก 1 กาบไม่ต้องใหญ่มาก ปอกเปลือกออกให้หมดเอาแต่ส่วนของเนื้อใสมาใช้ นำเนื้อใสหรือวุ้นที่ได้มาปั่นเนียนละเอียดแล้วทาให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปากเอาไว้ทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น มีข้อควรระวังคือหากเป้นผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้ เพราะอาจเกิดการระคายเคืองได้และควรระวังยางสีเหลืองๆ ของว่าน สูตรนี้นอกจากจะสามารถลอกฝ้าได้แล้ว ยังมีผลในการช่วยบรรเทาสิวอักเสบ และลบเลือนจุดด่างดำบนใบหน้าได้ด้วย

2. น้ำมะนาว + นมผงของเด็ก

นำน้ำมะนาว + นมผงของเด็กและน้ำสะอาดอย่างละ 1 ช้อนชามาผสมรวมกันให้ดี จากนั้นนำมาพอกที่ใบหน้าประมาณ 20 นาที พยายามอย่าขยับเขยื้อนใบหน้าในช่วงนี้นักเพราะอาจทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่อครบตามกำหนดเวลาแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วซับหน้าเบาๆ จะรู้สึกได้เลยว่าผิวหน้าของคุณดูกระจ่างใสขึ้นเนื่องจากการทำงานของกรดในมะนาวและมีความนุ่มชุ่มชื้นจากนมผงอยู่ด้วย

3. มะเขือเทศ

ใครอยากหน้าสวยใส แถมมีเลือดฝาดแดงระเรื่อเหมือนผิวเด็ก ต้องลองสูตรนี้เลย !วิธีทำ นำมะเขือเทศ 1 ลูกมาบดหรือปั่นพอแหลกหรือจะฝานเป็นชิ้นหนา ๆ แล้วนำมานวดให้ทั่วใบหน้าและลำคอ วิตามินซีและกรดผลไม้ในมะเขือเทศ จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได้

4. น้ำผึ้ง+แตงกวา

สูตรนี้สำหรับผู้มีปัญหารูขุมขนกว้าง วิธีทำ ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ผสมกับแตงกวา 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำไปปั่นให้ละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วจึงนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นจัดๆ หรือน้ำแช่น้ำแข็ง เพียงเท่านี้หน้าของคุณก็จะเรียบเนียนขึ้นได้

5. โยเกิร์ต

นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย (อาจแช่ตู้เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่นในที่ขณะพอกหน้า) ทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วนวดเบา ๆ ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส แลคติค และวิตามินบีที่อยู่ในโยเกิร์ตจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกบนรูขุมขนและบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื่น เนียนสดใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถือเป็นเคล็ดลับความขาวใสที่สาว ๆ สามารถทำใช้ได้ทุกวัน

6. มะขามเปียก น้ำผึ้ง และมะนาว

ใช้เนื้อมะขามเปียก 1 กำ แยกเอากากและเม็ดออก ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และ มะนาว 1 ช้อนชา ผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำเอามาพอกหน้าไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ 2 ครั้ง จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วทำให้ผิวหน้าขาวขึ้นได้

7. กล้วยหอม

ผลไม้สีเหลืองสดนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้ผิวหน้าสวยนุ่ม ชุ่มชื้น และสามารถแก้ปัญหาผิวได้หลายอย่างเลยทีเดียว เพียงนำกล้วยหอมสุกมาบดให้เป็นเนื้อละเอียดแล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที เท่านี้ก็เตรียมอวดผิวสวย ๆ ให้คนอื่นอิจฉาได้เลย

8. ดินสอพอง

นำดินสอพองมาผสมน้ำเปล่าให้เป็นเนื้อครีมข้น แล้วทาทิ้งไว้ให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ 15-20 นาที ดินสอพองจะดูดซับความมันบนใบหน้า ดีท็อกซ์สารตกค้างที่เกาะติดอยู่บนผิว ทำให้ผิวหน้าดูสวยเด้ง แถมยังช่วยป้องกันแสงแดดได้อีกด้วยนะ

9. น้ำส้มคั้น+นมสด

โดยนำส้มมาคั้นให้ได้น้ำประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่นมสดผสมลงไป 1 ช้อนโต๊ะ คนจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี แล้วจึงนำสำลีก้อนมาชุบและถูให้ถั่วไปหน้าเบาๆ เว้นบริเวณรอบดวงตาและปากทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ

10.  สูตรแตงกวา+ไข่ขาว

เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าที่มีความมัน และปัญหาเรื่องสิวมากๆ นำแตงกวา 1 ลูก ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

11. ขมิ้นและนมสด

ขมิ้นอยู่ในอันดับต้น ๆของ ตำราสมุนไพรที่ใช้บำรุงผิวพรรณของคนในสมัยก่อน เพราะขมิ้นจะช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวลผ่องใส สะอาดเกลี้ยงเกลา เพียงนำผงขมิ้น 1 ถ้วยผสมกับนมสด 3/4 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกลงบนผิวขณะอาบน้ำ ทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที ทำเป็นประจำทุกวัน รับรองผิวขาวเนียนนุ่มสุด ๆ

สูตรกระชับรูขุมขน กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

เคลนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

ผิวเรียบเนียนด้วยกาแฟบด ก็บรรดา ครีมขจัดเซลลูไลต์ ที่ราคาแสนแพงน่ะ มีคาเฟอีนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นการขจัดเซลล์ไขมันและยังขัดผิวให้เรียบเนียน แต่อาจจะดูยุ่งยากกว่าการใช้ครีมกระปุกอยู่บ้าง จึงควรทำในห้องน้ำ และก่อนที่จะลงมือขัดผิวด้วยกาแฟอย่าลืมปูพื้นห้องน้ำด้วยกระดา ษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันท่อน้ำตันค่ะสูตรนี้ใช้กับผิวกายนะคะ ห้ามใช้กับผิวหน้าค่ะและในระหว่างที่ขัดผิว หากมีนวดไปด้วย จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นได้ค่ะ

พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (จากสเปน) ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบา ๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก

นำไข่ขาวมาตีให้ขึ้น แล้วเติมน้ำมะนาว และน้ำผึ้ง อย่างละ1 ช้อนชา นำมาชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้มือนวดเป็นวงกลมไปพร้อม ๆ กัน ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเช็ดออก จะช่วยทำความสะอาดผิว และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน

นอกจากนำมาทาหรือพอกหน้า เพื่อให้ผิวสดใส เปล่งปลั่งกันแล้ว ในวันหยุด ลองดื่ม ชาผสมน้ำผี้ง จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิวสดใส มีเลือดฝาด แต่ไม่ควรเทน้ำเดือดจัดๆ ลงในน้ำผึ้งนะคะ เพราะอาจทำให้สารที่มีประโยชน์ในน้ำผึ้ง สลายตัวได้ค่ะ

พอกหน้าด้วยแอ๊ปเปิ้ล (จากเบลเยี่ยม) ปอกแอ๊ปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก แล้วบดให้ละเอียดขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆล้างออก

พอกหน้าด้วยแตงโม (จากตุรกี) ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆจากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ นอนพักสักครู่ ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

พอกหน้าด้วยไข่ขาว (จากสวิตเซอร์แลนด์) ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออก เทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงนุ่มๆจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (จากฝรั่งเศส) ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่า แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (จากญี่ปุ่น) ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรดAHA จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได ้หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออก

พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (จากรัสเซีย) สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาทีหรือนานกว่านั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดออก ตำรับนี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน จะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้

การเลือกมาสก์พอกหน้าให้เหมาะกับผิวมัน คุณสามารถใช้มาสก์ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวมัน ควรมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมัน สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนได้ พร้อมกับช่วยกระชับรูขุมขน

ผิวแห้ง ควรมาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวแห้ง ควรมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว

มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย นำกล้วยบด 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อน ยีให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่ว ใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นจะทำให้ผิวหน้า ชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้งค่ะ

เคลนเซอร์น้ำผึ้ง ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโตีะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วขัดเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา ซึ่งน้ำผึ้งจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และยังช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำ

เคลนเซอร์จากโยเกิร์ต ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ กับเกลือป่น 2 ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ บริเวณผิวหน้า จะช่วยลดความมันและขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอ นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง

มาร์คพอกหน้าจากกล้วยผสมน้ำมันมะกอก กล้วยสุกยีให้ละเอียด เติมน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อครีมข้น นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมาะกับผิวแห้ง

มาร์คพอกหน้าสูตรไข่ผสมข้าวโอ๊ต ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที สูตรนี้เหมาะกับผิวมันค่ะ เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากใบหน้า และช่วยปรัปผิวให้สมดุลมากขึ้น

มาร์คพอกหน้าจากแตงกวา (เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม) ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอก ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้ากระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุ่มชื่น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

เครดิต :  vivian*  และ http://www.nanahealth.com

อาหารที่ไม่ควร “อุ่นซ้ำ” เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ

ปัจจุบันนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วทุกคนมักนำอาหารที่รับประทานไม่หมดไปแช่ตู้เย็น แล้วนำมาอุ่นร้อนก่อนรับประทานอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าอาหารบางชนิดอาจทำให้คุณเจ็บป่วยได้

ข้อมูลจากสำนักงานมาตรฐานอาหาร เผยว่า การจะรับประทานให้ปลอดภัยจะต้องทำให้สุก สะอาด ปรุงแต่งน้อย และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ การปรุงอาหารให้สุกก่อนรับประทานเสมอ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตราย แต่การให้ความร้อนแก่อาหารมากกว่า 1 ครั้ง หรืออุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ โดยเฉพาะอาหารดังต่อไปนี้

1.คื่นช่ายหรือคื่นฉ่าย หากนำมาทำเป็นซุปเซเลอรีแล้วนำไปอุ่นซ้ำ จะทำให้สารไนเตรทที่อยู่ในคื่นช่ายกลายเป็นพิษเมื่อได้รับความร้อน

2.ไข่ต้มและไข่กวน อาหารที่มีไข่เป็นส่วนประกอบสามารถนำมาอุ่นซ้ำได้ไม่มีปัญหา แต่สำหรับไข่ต้มและไข่กวนที่ได้รับความร้อนซ้ำๆ จะทำให้โปรตีนในไข่เปลี่ยนสภาพ อาจส่งผลให้ผู้รับประทานไม่สบายได้

3.ผักโขม เช่นเดียวกับคื่นช่าย หากได้รับความร้อนซ้ำจะทำให้สารไนเตรทกลายเป็นพิษ ทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็งได้อีกด้วย

4.เห็ด เห็ดไม่มีพิษทุกชนิดสามารถนำมาประกอบอาหารได้ แต่ไม่ควรนำมาอุ่นซ้ำๆ เพราะจะทำให้สารอาหารประเภทโปรตีนในเห็ดเสื่อมสภาพ ก่อให้เกิดอันตรายต่อกระเพาะอาหาร

5.มันฝรั่ง หลังจากทำให้สุก แล้วตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องหรือเก็บในตู้เย็น สภาวะเช่นนี้เป็นผลบวกต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโบทูลินัม หากได้รับความร้อนซ้ำก็จะทำให้เกิดเป็นพิษได้

6.เนื้อไก่ การนำเนื้อไก่สุกแช่เย็นไปให้ความร้อนซ้ำ จะทำให้โปรตีนที่ซับซ้อนในเนื้อไก่แปรสภาพ อาจทำให้บางคนที่รับประทานเข้าไปเกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหาร

7.บีทรูท ผักสีม่วงสวยนี้ประกอบไปด้วยสารประเภทไนเตรท หากได้รับความร้อนจะทำให้เกิดเป็นพิษกับผู้ที่รับประทาน จึงควรที่จะทำให้สุกแล้วรับประทานแบบเย็นๆ เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงต่ออาการปวดท้อง

8.ข้าว สำหรับข้าวนั้น อันที่จริงแล้วการอุ่นข้าวไม่ได้ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษโดยตรง แต่มันขึ้นอยู่กับการเก็บข้าวสารว่าสะอาดปลอดภัยหรือไม่ หากข้าวสารมีสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย เมื่อหุงสุกแล้วเชื้อก็ยังไม่ตาย และจะสามารถเจริญเติบโตได้ถ้าถูกทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง เมื่อนำไปอุ่นซ้ำก็จะก่อเกิดสารพิษที่ทำให้อาเจียนหรือท้องเสียได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจึงไม่ควรวางข้าวสุกที่ทานไม่หมดทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง

———-ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.khaoza.net/2015/09/8.html

ผักกะสัง….ผักไม่มีราคาแต่คุณค่าสูง

ผักกะสัง ถือว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า ผักกะสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือมะนาว ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๒๐ มิลลิกรัม ส่วนผักกะสังมีอยู่ ๑๘ มิลลิกรัม รวมทั้งทางสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ พบว่าผักกะสัง ๑ ขีด หรือ ๑๐๐ กรัม มีเบต้าแคโรทีน ราว ๒๘๕ ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล การที่ผักกะสังมีธาตุอาหารต้านมะเร็งอยู่สูงขนาดนี้ ผักกะสังจึงจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง

“ยำผักกะสัง” โด่งดังขึ้นจากการที่หมู่บ้านดงบังต้องการให้คนเข้าไปชมวิถีการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ จึงได้พัฒนาตนเองเพื่อเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ได้มีการค้นหาเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว แม่บ้านของชุมชนนี้ทำอาหารอร่อยมาก เช่น แกงบอน แกงปลาดุกใส่ไพลดำ ยำผักกะสังและตำรับอาหารอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเปิดตลาดออกไปอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือยำผักกะสัง มีสื่อมวลชนมากมายไปชิมและนำสูตรมาเผยแพร่ ปัจจุบันสูตร “ยำผักกะสัง” ของหมู่บ้านดงบังเป็นที่รู้จักกันดี ไม่มีการจดสิทธิบัตร ใครจะเชื่อว่าผักกระสังเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ แต่ได้นำมาปลูกในประเทศที่มีอากาศร้อนทั่วๆ ไปรวมทั้งประเทศไทย แต่เราลืมมันไปจากกลไกผักตลาดที่ผลิตแบบเคมี ต้องขอบคุณชาวบ้านดงบังที่ทำให้ผักกระสัง กลับมาสู่สังคม

ผักกะสัง…รักษาโรคลักปิดลักเปิด
ในตำรายาไทยระบุไว้ว่าใบของผักกะสังใช้ในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า ในผักกะสังมีวิตามินซีและสารอาหารสูง ซึ่งการรักษานั้นใช้ทั้งการกินและการบดต้นแปะบริเวณที่เลือดออกตามไรฟัน

ผักกะสัง…รักษา เริม ฝี มะเร็งเต้านม
หมอยาพื้นบ้านของไทยใช้ผักกะสังเป็นยาไม่มากนักส่วนใหญ่ใช้พอกฝีและสิวโดยใช้ต้นสดตำพอกฝี หรือใช้น้ำคั้นทาสิว ในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น

“ผักกะสังรักษาเริมและมะเร็งเต้านม” ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ (มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกะสังเป็นยารักษาเริม มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกะสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ ๑ คืน และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกะสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า สารในผักกะสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวด

ผักกะสัง…แก้อักเสบ ข้ออักเสบ เก๊าท์
หมอยาพื้นบ้านบางคนบอกว่ากินผักกะสังแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์มีการกินผักกะสังสดๆ หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าท์และข้ออักเสบ โดยนำผักกะสังต้นยาวสัก ๒๐ เซนติเมตร ต้มกับน้ำ ๒ แก้ว ให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น ปัจจุบันผักกะสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเก๊าท์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริคในกระแสเลือด

ผักกะสัง…บำรุงผิว บำรุงผม
ผักกะสังยังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว สาวๆ สมัยก่อนยังใช้น้ำต้มผักกะสังล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้าสดใส และนอกจากนี้ คุณสารีป๊ะ อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา บอกว่าผักกะสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม ซึ่งอธิบายได้ว่าผักกะสังมีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย

ข้อควรระวัง
ในผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน

สูตรยำผักกะสัง

ยำผักกะสัง ทำได้ง่ายๆ หั่นผักชิ้นพอประมาณ ๑-๒ ทัพพี น้ำมะนาว ๑-๒ ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้ง ๑-๒ ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแห้งทอดพอประมาณ มะม่วงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หัวหอมซอยพอประมาณ แครอทซอยฝอยๆ ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ถั่วลิสงคั่วพอประมาณ ขิงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หมูหยอง พอประมาณ โหระพา สะระแหน่ ไว้แต่งรส น้ำปลา ๑-๒ ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ จากนั้นรวมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงรสตามใจชอบ พร้อมตักเสิร์ฟได้เลย

ข้อมูลจาก http://www.khaoza.net/2015/09/blog-post_30.html

ลดน้ำหนัก….ด้วยเม็ดแมงลัก

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่น และใบจะ มีสีเขียวอ่อนกว่า แมงลักมีชื่อเรียกตาม ท้องถิ่นว่า มังลัก (ภาคกลาง) ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ) ลำต้นสูงประมาณ 65 เซนติ เมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาวและร่วงง่าย ดอกจะออกรอบก้าน ช่อดอกจะออกเรียงเป็นชั้นๆ ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียว กับกะเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกง ต่างๆ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ แกงเลียง ถ้าไม่มีใบแมงลักจะไม่มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงตามสูตรโบราณ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้ การลดน้ำหนัก ด้วยเม็ดแมงลัก เป็นสูตรลดน้ำหนักที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินมาเป็นเวลานานแล้วว่า การกินเม็ดแมงลักแช่น้ำให้พองๆ แทนมื้ออาหารจะทำให้ลดน้ำหนักได้  ซึ่งสูตรลดน้ำหนักนี้เชื่อว่าสาวๆหลายคนคงต้องเคยลองมาบ้างแล้วค่ะ

mangluk1
mangluk1

เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้ โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เม็ดแมงลักประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ และสารประกอบอื่นๆ บริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวได้ 45 เท่า และได้ มีการวิจัยพบว่าเม็ดแมงลักมีสรรพคุณเป็น ยาระบาย เพิ่มกากอาหารได้ และเมือกยังสามารถช่วยหล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น

วิธีรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน

ใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ถ้าใช้เป็นยาระบายให้ทานก่อนนอน ถ้าเป็นยาลดความอ้วนให้ทานก่อนอาหารหรือ ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ เพราะอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้แต่ข้อเสียการรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง หรือถ้ารับประทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังไม่พองเต็มที่ ก็จะมีการดูดน้ำจาก กระเพาะอาหารได้ ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็งและอุดตันลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้มากขึ้นค่ะ

——————————————————- ที่มา: http://women.kapook.com/health00132/