ไม้มงคล…..ปลูกแล้วรวยวันรวยคืน ค้าขายเจริญรุ่งเรือง

ไม้มงคลก็เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ช่วยเสริมฮวงจุ้ยให้เด่นเป็นสง่า การจัดสวนที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย ต้นไม้(ธาตุไม้)  น้ำตก  น้ำพุ อ่างบัว  บ่อปลา (ธาตุน้ำ)  แสงแดดส่องถึง(ธาตุไฟ)  มีดินที่สมบูรณ์ (ธาตุดิน)

ที่สำคัญจะต้องมีการตกแต่งสวนอย่างสวยงาม (ธาตุทอง) ไม่ใช่ปล่อยให้รกรุงรังกลายเป็นป่ามากกว่าสวน ส่วนต้นไม้ที่จะปลูกเสริมบารมีหรือปลูกแล้วรวยวันรวยคืน ค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีต้นอะไรบ้างไปสำรวจกันดู

1. โป๊ยเซียน ไม้มงคลที่ปลูกไว้หน้าบ้านแล้วจะมีโชคลาภ เชื่อกันว่าโป๊ยเซียนเป็นต้นไม้ของเทพเจ้า 8 องค์ และหากผู้ใดปลูกโป๊ยเซียนแล้วออกดอก 8 ดอก จะทำให้ผู้นั้นมีโชคลาภเข้ามา

2. ดาวเรือง เปรียบเสมือนเงินทองเต็มบ้าน ปลูกต้นดาวเรืองไว้หน้าบ้านหรือบริเวณบ้านให้ออกดอกเยอะ ๆ ยิ่งเสริมให้มีโชภลาภ กิจการก้าวหน้า

3. เงินเต็มบ้าน ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ แต่นิยมนำมาปลูกไว้ที่บ้านเสริมความเป็นมงคล ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต หน้าที่การงาน และมีเงินทองกองเต็มบ้านอีกด้วย


4. ว่านเศรษฐีกอบทรัพย์ ถือเป็นต้นไม้เสี่ยงทาย หากใบม้วน ดอกออกมาก เชื่อว่าดวงชะตาของผู้ปลูกจะดี เจริญก้าวหน้า แต่ในทางกลับกัน หากเหี่ยวเฉา หมายถึง ชะตาชีวิตของผู้ปลูกจะตกต่ำ อับเฉา

5. กวนอิมทอง เป็นต้นไม้ที่นิยมนำมาใช้ในพิธีกรรมและ ศาสนา ความเชื่อโบราณ เชื่อว่า หากปลูกกวนอิมทองแล้ว ทองจะหลั่งไหลเข้าบ้าน มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ชีวิตจะมั่งมีศรีสุข


6. เงินไหลมา เมื่อปลูกแล้ว จะ ทำกิจการหรือธุรกิจใดๆก็จะมีกำไร ได้รับการอุปถัมภ์จากผู้ใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของผู้พบเห็น ควรปลูกในวันอังคาร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้


7. ว่านรวยไม่เลิก ไม้ประดับที่สามารถปลูกในที่ร่มได้ ไว้บนโต๊ะทำงาน หรือปลูกประดับในบ้านได้ เป็นต้นไม้ที่มีความหมายตามชื่อ คือเมื่อปลูกแล้วจะรวยตลอดไป


8. กระบองเพชร คนไทยนิยมปลูกกระบองเพชรไว้ในบ้าน เพราะมีความเชื่อว่า จะทำให้กิจการก้าวหน้า หน้าที่การงานเลื่อนตำแหน่งเร็ว จะมีโชคลาภมาสู่คนในครอบครัว

——————————————
ขอบขอบคุณข้อมูลจาก – http://thaiquote.org

แชร์เก็บไว้เลย! ห้องน้ำของคุณจะสะอาดและมีกลิ่นหอมอยู่เสมอ เมื่อคุณใช้สิ่งนี้

การทำความสะอาดห้องน้ำเป็นงานที่น่าเบื่อสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามการดูแลบ้านให้สะอาดอยู่เสมอก็เป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะกับห้องน้ำถ้าห้องน้ำ สกปรกมันสามารถนำมาซึ่งเชื้อโรคต่างๆ  มากมาย

น้ำยาทำความสะอาดทีมีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด ที่บอกว่าช่วยทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นอันตรายต่อ สุขภาพ  มันเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย  อีกทั้งยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วย 

ต่อไปนี้คุณสามารถทำความสะอาดห้องน้ำของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ส่วนผสมที่หาได้ง่ายและยังช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกเช่นกัน

นี่คือสิ่งที่คุณต้องเตรียม
ส่วนผสม

โซเดียมไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) 160 กรัม
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (3%) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอมระเหยที่คุณชอบ 15 – 20 หยด
น้ำมะนาว 60 มล.

วิธีทำ

1.  นำเบคกิ้งโซดาใส่ลงในชามและเติมน้ำมะนาวลงไปผสมให้เข้ากัน

2.  จากนั้นใส่น้ำส้มสายชูและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ลงในชามอีกใบและผสมให้เข้ากัน

3.  เทส่วนผสมของน้ำส้มสายชูและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ผสมจนเข้ากันแล้วลงในชามผสมเบคกิ้งโซดาและน้ำมะนาว

4.  ผสมให้เข้ากันอีกครั้งแล้วใส่น้ำมันหอมระเหยของคุณลงไป (คุณจะใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ก็ได้)

5. จากนั้นใช้ช้อนตักส่วนผสมเป็นก้อนกลมๆ ใส่ไปในถาดอบ และนำเข้าอบให้แห้ง

6. เมื่อแห้งดีแล้ว คุณสามารถใช้มันในการทำความสะอาดห้องน้ำได้เลยและมันจะให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมกับคุณ

เคล็ดลับที่คุณสามารถลองทำได้ในวันนี้สำหรับทำความสะอาดห้องน้ำของคุณโดยใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติที่ปลอดภัยและยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณอีก ด้วย 

—————————————-
ขอบคุณข้อมูลลจาก : healthyfoodstar.com
แปลข้อมูลโดย : http://www.rak-sukapap.com/

 

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีโทษต่อสุขภาพอย่างมาก

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารทำกินง่ายสะดวก  ขอแค่มีน้ำร้อนก็นำมาทำกินได้สบายๆ  แต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้น  ไม่มีประโยชน์ใดๆ  เลย แถมยังทำลายสุขภาพของเราอีกต่างหาก   และนี้ก็คือผลที่เกิดขึ้นหลังจากกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

1. สารอาหารไม่ครบถ้วน
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ซองมีสารอาหารหลัก ๆ อยู่แค่ไม่กี่อย่าง ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ครบถ้วนพอที่ร่างกายต้องการอยู่แล้ว นอกจากนี้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ก็ไม่ควรรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะเป็นตัวบล็อกให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่มีประโยชน์จากอาหารชนิดอื่นได้อีก

 2. มีสารก่อมะเร็ง

สารสไตโรโฟม (Styrofoam) หรือสารเคมีที่พบมากในกล่องโฟม และพลาสติกทั้งหลาย เป็นสารที่ถูกพบว่ามีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วยเหมือนกัน ซึ่งไม่บอกก็คงพอจะเดากันออกว่าสารเคมีตัวนี้มีอันตรายอยู่ไม่น้อย และที่สำคัญก็เป็นสารที่เข้าไปกระตุ้นเซลล์มะเร็งในร่างกายของเราให้เจริญเติบโตเร็วขึ้นด้วย ยิ่งถ้าเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยที่สะดวกและง่าย แต่รู้ไหมว่า บะหมี่ถ้วยนั้นทวีสารก่อมะเร็งอีกหลายเท่าเลยนะจ๊ะ

3. อันตรายต่อลูกในท้อง

หญิงตั้งครรภ์ทั้งหลายไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างยิ่ง เพราะนอกจากสารอาหารที่ได้ไม่ครบถ้วนแล้ว สารสังเคราะห์จากอาหารสำเร็จรูปยังมีส่วนทำให้เด็กในครรภ์ได้รับอันตราย บางรายอาจจะถึงขั้นแท้งบุตรเลยก็ได้ ฉะนั้นเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ เช่น โฟเลต วิตามินบี แคลเซียม และเหล็กดีกว่านะ

4. เป็นอาหารขยะ

แม้ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และไฟเบอร์ แต่ก็มีผงชูรสในปริมาณที่เยอะมาก จนเทียบเท่าอาหารขยะทั่วไปเลยทีเดียว ฉะนั้นหากปล่อยให้ร่างกายคุ้นชินกับสารอาหารเหล่านี้เรื่อย ๆ ร่างกายเราก็จะขาดสารอาหารที่สำคัญ ๆ ไปหลายอย่างเลยล่ะ

5. โซเดียมสูง

เมื่อมีผงชูรสในปริมาณสูง ก็หมายความว่าโซเดียมที่มีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะสูงตามไปด้วย และหากใครมีปริมาณโซเดียมในร่างกายมากเกินไป ก็จะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไตวาย และโรคอัมพาตได้เลยนะ

6. ผงชูรสเต็มเปี่ยม

โมโนโซเดียม กลูตาเมต (Mono sodium Glutamate) หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ ผงชูรส เป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะจะช่วยชูรสให้มีรสชาติอร่อยกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งใครที่มีอาการแพ้เจ้าผงชูรสนี้ ก็อาจได้รับผลกระทบแบบเฉียบพลันทันที โดยอาจจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาเจียน หน้าแดงก่ำ คัน หรืออาการแพ้อื่น ๆ ตามมาได้ง่าย ๆ

7. โรคอ้วนถามหา

อาหารประเภทก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ไม่ยาก เนื่องด้วยความที่มีโซเดียม และแป้งสูง จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำและมีน้ำหนักเกินได้ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย และไม่ควบคุมอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นหากไม่อยากเสี่ยงเป็นโรคอ้วน ก็ควรงดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันตั้งแต่วันนี้เลยนะจ๊ะ

8. ก่อกวนระบบย่อยอาหาร

เนื่องจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีแต่แป้งและคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ จึงจัดว่าเป็นอาหารที่ย่อยยาก และยังมีผลต่อระบบลำไส้และระบบย่อยอาหารของเราไม่น้อยเลย เพราะสารอาหารพวกนี้เคลื่อนที่ในลำไส้ได้ค่อนข้างลำบาก ด้วยเหตุนี้เลยกลายเป็นอาหารที่ไม่ควรรับประทานเท่าไร โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

9. ลดประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกัน   

โพรไพลีน ไกลคอน (Propylene Glycol) หรือ พีจี ที่มีอยู่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะเข้าไปก่อกวนระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนอาจจะเป็นเหตุให้มีโรคแทรกซ้อนขึ้นมาได้ อีกทั้งสารโพรไพลีน ไกลคอนยังซึมซามลงสู่ตับ ไต หัวใจ และอวัยวะภายในเราได้ง่าย ๆ อีกด้วย รู้แบบนี้กลัวขึ้นมาหรือยังจ๊ะ

10. อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลดลง

ทั้งสารสังเคราะห์จากธรรมชาติ สารแต่งกลิ่น แต่งสี และสารกันบูดในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ล้วนแล้วแต่มีส่วนทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย (Metabolism rate) ลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งถ้าหิ้วท้องไว้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบ่อย ๆ ระบบเมตาบอลิซึมก็จะถดถอยลงเรื่อย ๆ จนเสี่ยงมีน้ำหนักเกินได้ในที่สุด

ข้อมูลจาก http://health.kapook.com/view72769.html

4 วิธีดูแลรอบดวงตาให้สดใส…ปิ้ง….

ดูแลรอบดวงตาแบบง่ายๆ  เพื่อให้ดวงตาของคุณกลับมาสื่ออารมณ์ พร้อมความสดใสได้อีกครั้ง

  1.  เติมความชุ่มชื่นให้ร่างกาย
    ปรับสมดุลขั้นสุดนอกจากการดื่มน้ำตามปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้นแล้ว น้ำยังช่วยทำให้ผิวมีน้ำ หล่อเลี้ยงด้วย คราวนี้ผิวรอบดวงตาก็จะชุ่มชื่นดูไม่เหี่ยว แถมยังกระจ่างใสขึ้นอีกด้วย

2 . ลดเกลือได้ ถุงใต้ตาหายแน่นอน
อาหารที่แช่แข็ง  และรสเค็มถือเป็นหนึ่งสิ่งอันตรายต่อผิวรอบดวงตาของสาวๆ นั่นก็เพราะโซเดียมที่มากับเกลือที่สาวๆ รับประทานกับเกือบทุกวันจะเข้าไปดึงน้ำออกจากร่างกายของเรา ทำให้น้ำเข้าไปคั่งอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังก่อให้เกิดอาการถุงใต้ตาบวมนั่นเอง

3.  พักผ่อนให้มากๆ บอกลาความดำคล้ำใต้ตา
เชื่อว่าสาวๆ ทุกคนคงไม่อยากที่จะมีถุงใต้ตาที่คล้ำ จนคนอื่นทักว่าไปอดหลับอดนอนมาจากที่ไหน หรือกลายร่างจากคนเป็นหมีแพนด้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทางที่ดีคือ สาวๆ ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 5 – 8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ผิวพรรณได้ซ่อมแซมและฟื้นฟูตามธรรมชาติ

4.  อายครีมที่ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ห้ามไม่ได้จริงๆ กับยุคสมัยนี้ ที่อะไรๆ ก็ดูเร่งรีบไปซะหมดจนทำให้ใครหลายคนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง รวมทั้งผิว  รอบดวงตา ถ้าชีวิตจะต้องเป็นแบบนี้ต่อไป เห็นทีต้องใช้ตัวช่วยเสริม อย่างอายครีมดีๆ ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวรอบดวงตาอันแสนบอบบาง แล้วยิ่งถ้าช่วยลดพวก ริ้วรอย ความบวม แถมช่วยให้ตาดูกระจ่างใสด้วย ก็ถือว่าเป็นอายครีมที่เลิศสุดๆ ไปเลย อย่าลืมนะคะ ว่าลงทุนกับเมคอัพตาเยอะแค่ไหน ก็ควรจะลงทุนกับการบำรุงผิวรอบดวงตามากเท่านั้นเช่นกัน แล้วคุณจะเซอร์ไพรส์ว่าถ้าดวงตาคุณดูดี เทรนด์หน้าสดจะกลายเป็นเทรนด์สุดโปรดของคุณแน่นอน

ช่างง่ายและใช้เวลาน้อยเหลือเกิน แบบนี้สาวๆ คงจะไม่มีข้ออ้างให้กับตาที่ดูโทรมและอ่อนล้าอีกต่อไปนะคะ

—————————ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.sanook.com/56841/

พบฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบ ที่ตลาดวโรรส – พ่อค้าแม่ค้ามีสารเคมีปนเปื้อนในเลือด

วันที่ 24   มกราคม 2560    รายการวันใหม่  Thai PBS  รายงานว่าทางเทศบาลนครเชียงใหม่รณรงค์ตลาดสะอาด อาหารปลอดภัย รับวันตรุษจีน เพื่อให้ผู้ค้าตระหนักถึงความปลอดภัยของอาหาร    โดยลงพื้นที่ตลาดวโรรส  อ.เมือง จ.เชียงใหม่  สุ่มตรวจหาสารปนเปื้อนในอาหารจำนวน 174 ตัวอย่าง  ผ่านเกณฑ์ตรวจ 170  ตัวอย่าง  และไม่ผ่านเกณฑ์ 4 ตัวอย่าง  โดยกลุ่มอาหารที่พบสารเคมีปนเปื้อนเป็นกลุ่มอาหารทะเล พบฟอร์มาลีนปนเปื้อนในปลาหมึกกรอบ  จึงให้เก็บสินค้าออกจากแผง และจะมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง  หากร้านใดฝ่าฝืน และพบว่าอาหารที่วางขายไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภคก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมาย

ขณะเดียวกันได้มีการเจาะเลือดพ่อค้าแม่ค้า  เพื่อตรวจหาสารเคมีตกค้างในร่างกาย   พบว่า พ่อค้าแม่ค้ากว่า  80%   มีสารเคมีปนเปื้อนในเลือด   แต่อยู่ในระดับปลอดภัย,   10% พบสารเคมีปนเปื้อนในระดับอันตราย   และอีก 10% ไม่พบสารเคมีปนเปื้อนในเลือด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://hilight.kapook.com/view/148231

ไวรัส RSV ระบาดในเด็กเล็ก พ่อแม่ระวังกันด้วย และมีคลิ๊ปตัวอย่างเด็กที่มีอาการ

stock-photo-doctor-hand-auscultating-child-baby-patient-heart-with-stethoscope-physical-therapy-closeup-343749272
stock-photo-doctor-hand-auscultating-child-baby-patient-heart-with-stethoscope-physical-therapy-closeup-343749272

 

ผมคงไม่เตือนให้เด็กเล็กระวังไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)

เพราะ .. น้อง ๆ คงระวังตัวเองไม่ได้ ยังเล็กนักที่จะระวังตนเอง
แต่จะเตือนว่า คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ดูแลเด็กเล็ก และผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นพาหะ
ต้องระวังไวรัส RSV จะไปติดน้องหนูที่ท่านเข้าใกล้
ระบาดช่วงปลายฝนต้นหนาว

ตามที่ นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์ กุมารแพทย์โรคระบบหายใจ
ออกมาโพสต์เตือนผ่านเฟสบุ๊ค เมื่อปลายปีที่แล้ว
ว่ามีการระบาดโดยเฉพาะใน จ.นครรราชสีมา
หายใจล้มเหลวจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในห้อง ICU
แต่ไม่ว่าจังหวัดใดก็ต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด โดยเฉพาะหน้าหนาว
เพราะเชื่อว่า “การรู้ไว้ก่อน ย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”

[คำแนะนำ]
หากสงสัยให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว

[รู้จัก RSV]
เป็นไวรัสที่เข้าทำลายระบบทางเดินหายใจ
ทำให้ปอดบวม เด็กจะมีอาการหอบเหนื่อย
ถ้าสังเกตเห็นอาการก็มักจะรุนแรงมากแล้ว
ชื่อเรียกคือ “โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส  RSV

[ผู้ใหญ่กับเด็กเล็ก]
ผู้ใหญ่ก็รับเชื้อนี้ได้ และมีอาการไอ มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
แต่สำหรับเด็กแล้วจะมีอาการรุนแรง ถึงหนักมาก
อาจต้องเข้าห้องไอซียู เพราะระบบหายใจล้มเหลว

[อาการ]
อาการในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี
ทางเดินหายใจอักเสบ หลอดลมอักเสบ
มีอาการคล้ายเป็นหวัด มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล คออักเสบ
รายที่รุนแรงจะไข้สูง หอบเหนื่อย และปอดบวม

[วิธีป้องกันจาก CDC]
– ล้างมือ
– ไม่สัมผัสใบหน้า
– ไม่สัมผัสผู้ป่วย
– ปิดปากและจมูกเวลาไอจาม
– ทำความสะอาดสิ่งของที่ผู้ป่วยต้องสัมผัส
– ป่วยต้องอยู่บ้าน

[ประวัติเชื่อ RSV]
ไวรัส RSV พบครั้งแรกเมื่อปี 1955 (พ.ศ. 2498)
มีการตรวจพบในลิงชิมแปนซีที่เกิดอาการป่วยจากหวัด
ต่อมาไม่นานก็พบว่าสามารถติดต่อได้ในมนุษย์
และเป็นสาเหตุของอาการหรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

[การติดต่อสู่เด็ก]
โรคนี้เป็นโรคติดต่อ อาจติดมาจาก
– เด็กที่ป่วยใกล้บ้าน
– มีคนป่วยไข้ไอใกล้บ้าน
– ใกล้ชิดกับผู้มีเชื้อที่ใกล้ชิด

http://kidshealth.org/en/parents/rsv.html
https://www.facebook.com/jiraruj/posts/1423786187649100

http://www.rakluke.com/article/5/19/1977/

http://www.rakluke.com/article/6/26/529/

โรงพยาบาลมีบริการรถเข็นสำหรับผู้ที่เดินไม่ได้ให้ยืมชั่วคราว

รถเข็น (wheelchair) เป็นพาหนะสำหรับผู้สูงอายุที่เดินไม่ได้
หรือ ผู้สูงอายุที่ไม่แข็งแรง หรือผู้พิการ หรือ ผู้ป่วยที่ยังเดินไม่ได้เอง
ถ้าไปซื้อที่ร้าน รุ่นธรรมดามีราคาประมาณ 3000 – 4000 บาท

ในครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นครอบครัว มีพ่อ แม่ ลูก
ปัจจุบันสถิติผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวมีมากขึ้น
ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้พบเห็น
ดังนั้น ถ้ามีผู้เจ็บป่วยขึ้นมา จนเดินไม่ได้ ก็ต้องใช้รถเข็นในการเดินทาง
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็จะมีบริการรถเข็นให้ยืมใช้ระยะหนึ่ง
เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ในยามวิกฤตที่ปัญหาสุขภาพถาโถมเข้าใส่
เช่น โรงพยาบาลเกาะคา ก็มีกลุ่มงานที่ดูแลผู้ป่วยตามบ้าน
ออกมาเยี่ยมบ้าน มีคุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ
และประสานให้ยืมรถเข็นสำหรับผู้ที่เดินเองไม่ได้ .. ขอบคุณครับ

ครอบครัวหลาย generation
ครอบครัวหลาย generation

ถ้าเจ็บป่วยจนถูกประเมินได้ว่าเป็นผู้พิการ ก็จะได้รับเบี้ยผู้พิการตามกฎหมาย
เมื่อผู้สูงอายุ หรือมีใครล้มหมอนนอนเสื่อ จนเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ก็ต้องมีคนดูแล อาจมีลูกหลานลาออกงานมาดูแล
หรือจ้างคน หรือฝากไว้กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
การดูแลผู้สูงอายุ หรือพ่อแม่ หรือลูกหลานด้วยความรัก
ทำให้นึกถึง “program ชีวิต

if (รักลูก = true) { do(ดูแลลูก) }
if (รักแฟน = true) { do(ดูแลแฟน) }
if (พ่อแม่รักเรา = true) { do(พ่อแม่ดูแลเรา) }
if (รักพ่อแม่ = true) { do(ดูแลพ่อแม่) }
if (รัก x = true) { do(ดูแล x ) }

ในชีวิตจริงเราทำทุกเรื่องพร้อมกันไม่ได้
บางเวลาเราเลือกทำได้เพียงอย่างเดียว

https://gist.github.com/thaiall/52786e306324beb5f46ce5bf1a2722f9#file-life_program

ประโยชน์จากฟักทอง…รู้แบบนี้แล้วต้องหาทานด่วน

%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87

ฟักทอง ถือเป็นพืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ มีสีเหลือง สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้เรียกเป็นผลไม้ นอกจากนี้ ฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทย

1.เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ในฟักทองไม่ได้มีเพียงแค่วิตามินเอแต่เพียงเท่านั้น หากยังมีวิตามินซีอยู่มากและวิตามินซีก็จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะการป้องกันหวัด ใครไม่อยากเป็นหวัดง่ายๆ แนะนำให้หมั่นกินฟักทองเป็นประจำค่ะ

2.ช่วยบำรุงสายตา
เพราะฟักทองนั้นมีวิตามินเอสูงมาก โดยฟักทองบด 1 ถ้วยจะให้วิตามินเอสูงมากถึง 200% จากปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน และเราก็ทราบกันดีแล้วใช่มั้ยล่ะว่าวิตามินเอจะช่วยบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นแม้แต่ในที่มืดชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มันยังช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ในลูกตาได้อีกด้วย

3.ลดน้ำหนักได้ผล
อาหารลดน้ำหนักนั้นมีมากมายและฟักทองก็คือ หนึ่งในอาหารที่สาวๆ สามารถกินยามลดน้ำหนักได้ผล เพราะฟักทองมีไฟเบอร์สูงมากถึง 3 กรัมต่อ 1 ถ้วย และยังให้แคลอรี่แค่ 49 แคลอรี่เท่านั้น กินแล้วจึงรู้สึกอิ่มท้องนานและช่วยลดอาการหิวโหยระหว่างมื้อได้ดีทีเดียว

4.ดูแลสุขภาพหัวใจ
งานวิจัยได้ชี้แจงอย่างแน่ชัดแล้วว่า สารจากธรรมชาติที่ชื่อว่า ‘ไฟโตสเตอรอล’ (Phytosterols) ที่พบจากเมล็ดธัญพืชและถั่วเปลือกแข็งจะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้ ดังนั้น มันจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งแน่นอนว่าเมล็ดฟักทองก็คือ หนึ่งในเมล็ดธัญพืชที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง

5.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ในฟักทองยังพบว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งนอกจากจะช่วยด้านการบำรุงสายตาแล้ว มันยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ดีอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยบอกไว้ว่า สารดังกล่าวจะสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็ง และกรดโปรไพโอนิคจากฟักทองก็ยังช่วยให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง ทั้งนี้ ในผู้ชายการกินฟักทองเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโตและช่วยป้องกันการเป็นหมันได้

6.บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
อนุมูลอิสระเป็นตัวการทำลายเซลล์ให้เสื่อมสภาพและกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด เช่นเดียวกันกับเซลล์ผิว หากมันถูกทำลายไปแล้ว สภาพผิวพรรณก็ย่อมหม่นหมอง ไม่เปล่งปลั่งสดใสและยังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย แต่หากสาวๆ หมั่นกินฟักทองซึ่งมีสารแคโรทีนอยด์ก็จะช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ลงได้ ดังนั้น มันจึงช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

9.ป้องกันการเกิดนิ่ว
เมล็ดฟักทองเม็ดเล็กๆ ที่หลายคนอาจเคยมองข้าม ไม่เพียงจะมีแป้ง โปรตีน วิตามินและฟอสฟอรัสแต่เพียงเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีสารที่ชื่อว่า “คิวเคอร์บิติน” ซึ่งสารนี้เป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าพยาธิตัวตืดได้ และยังทำหน้าที่ช่วยขับปัสสาวะ จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วและโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้นั่นเอง

10.ฟื้นพลังหลังออกกำลังกาย
ใครที่ชอบออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายก็มักอ่อนเพลียเป็นธรรมดาและแน่นอนค่ะว่าเรามักจะต้องกินอาหารเสริมพลังเข้าไป หลายคนนิยมหันมากินกล้วยเติมพลัง ทว่าหากใครที่ไม่ชอบกล้วย คุณสามารถกินฟักทองนึ่งแทนได้นะคะ เพราะฟักทองนั้นมีโพแทสเซียมสูงถึง 564 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่ากล้วยที่มีแค่ 422 มิลลิกรัมเท่านั้น สารโพแทสเซียมจะเข้าบำรุงและฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนักได้ดี อีกทั้งยังดูแลการทำงานของกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเดิมได้ด้วย

ข้อควรระวังในการทาน “ฟักทอง”

เนื่องจาก “ฟักทอง” มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ “กระเพาะร้อน” คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ใครที่อยากสุขภาพดีห่างไกลจากโรค ก็อย่าลืมหาซื้อมาประกอบอาหารกินกันบ้างนะคะ อย่างน้อยฟักทองก็ยังเป็นผักที่หาซื้อง่ายและราคาถูก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/

 

7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ เสกผิวขาวใสดั่งใจทุกวัน

lofficiel_kagome_1

มะเขือเทศกับการบำรุงผิวสวยจากภายใน
มะเขือเทศเป็นผักสีแดงลูกกลมเกลี้ยงเกลามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง อุดมด้วยวิตามินนานาชนิด อาทิ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินเค วิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ทั้งยังมีสารไลโคปีนซึ่งเป็นสารสีแดงที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดริ้วรอยก่อนวัย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และบำรุงผิวให้แลดูอมชมพูกระจ่างใสแบบมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ

การดื่มน้ำมะเขือเทศส่งผลต่อสุขภาพผิวได้ดี  ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและยังเปล่งปลั่งสดใส ที่สำคัญไปกว่านั้นการกินมะเขือเทศเป็นประจำยังช่วยเรื่องการย่อยอาหารและช่วยในด้านของการขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้นด้วยค่ะ และนอกจากมะเขือเทศจะมีดีต่อการบำรุงผิวพรรณให้สวยจากภายในแล้ว เรายังสามารถนำผลสดมาปรนนิบัติผิวภายนอกได้เช่นกันนะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีประโยชน์ด้านใดบ้าง

7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ

tomato-acne

1. กระชับรูขุมขนกว้างให้เล็กลง
สาวๆ หลายคนมักเผชิญกับผิวหน้ามันแถมยังมาพร้อมปัญหารูขุมขนกว้างอีกด้วย แต่คุณสามารถคั้นน้ำมะเขือเทศสดผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที เสร็จแล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองได้เลยว่ารูขุมขนจะค่อยๆ เล็กลง ผิวหน้าก็กระชับยืดหยุ่นมากขึ้น แถมยังขาวกระจ่างใสมากขึ้นอีกด้วย

2. รักษาสิว
เนื่องจากมะเขือเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ เพียงผ่ามะเขือเทศออกครึ่งแล้วนำมาถูวนให้ทั่วผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัด หมั่นทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้สิวก็จะค่อยๆ หายไปแถมยังรักษารอยสิวให้จางลงได้ด้วย

3. ลดเลือนความหมองคล้ำ
ใบหน้าที่หมองคล้ำไม่สดใส สามารถนำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่แล้วคลุกน้ำตาลทราย จากนั้นนำมาขัดผิวอย่างอ่อนโยนให้ทั่ว เป็นการสครับผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ความหมองคล้ำก็จะจางหายไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือผิวหน้าอันกระจ่างใสผุดผ่องนั่นเอง สูตรนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ละประมาณ 2 ครั้งค่ะ

4. คืนความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
คืนความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้าง่ายๆ ด้วยการนำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ รับรองผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งอย่างสังเกตได้แน่นอน เพราะมะเขือเทศมีคุณสมบัติที่สามารถล้างพิษต่างๆ ที่ปะปนอยู่ในผิวให้หลุดออกไปได้ ในขณะที่โยเกิร์ตจะทำหน้าที่บำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง สดใส สูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาวๆ ที่มักเผชิญฝุ่นควันหรือมลพิษต่างๆ ในระหว่างวันจนสภาพผิวหน้าร่วงโรยและอ่อนล้า

5. ชะลอริ้วรอย
ปอกเปลือกมะเขือเทศออกให้หมดแล้วนำเอาน้ำและเนื้อของมะเขือเทศมาผสมรวมกันกับแป้งกรัม คนจนส่วนผสมเป็นเนื้อเหลวๆ แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่วปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น อยากมีใบหน้านุ่มนวลและไร้ริ้วรอย อย่าลืมทำสูตรนี้เป็นประจำนะคะสาวๆ

6. เยียวยาผิวไหม้จากแดด
คุณรู้ไหมว่ามะเขือเทศนั้นมีสารไลโคปีนที่สามารถปกป้องผิวให้ห่างไกลจากรังสียูวีได้ด้วย และหากผิวมีปัญหาไหม้แดดจนมีอาการแสบร้อน ก็สามารถคั้นเอาน้ำมะเขือเทศมาผสมกับนมเปรี้ยวจากนั้นนำไปทาผิวที่ไหม้แดดได้เลยค่ะ ปล่อยทิ้งไว้สัก 20-30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด รับรองมันจะช่วยปลุกฟื้นผิวให้กลับมามีสุขภาพดีขึ้นดังเดิมได้เร็วแน่นอน

7. แก้ปัญหาหน้ามัน
คั้นน้ำมะเขือเทศสดแล้วใช้สำลีชุบให้ชุ่มมาทาผิวหน้าเป็นประจำทุกวันค่ะ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยขจัดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แถมสาวๆ ยังได้ผิวหน้าที่กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย

เพราะสุขภาพผิวเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจ ใครว่าใช่จะมีแต่เรื่องสุขภาพกายภายในเท่านั้นจริงมั้ยละคะ ดังนั้น สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากมีผิวพรรณสวยครบวงจรตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อย่าลืมหันมาใส่ใจกินมะเขือเทศหรือน้ำมะเขือเทศเป็นประจำ พร้อมกับหมั่นพอกผิวตามสูตรต่างๆ

ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/

4 วิธีดูแลสุขภาพสมอง .. ให้สดใสอยู่เสมอ

bb1

พบว่า .. ปัจจุบันคนเราหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น วันนี้มีบทความ “เทคนิคการดูแลสุขภาพสมอง (Technique to treat your brain)” มาฝากค่ะ  เพื่อยืดอายุสมองของเราให้ดีวันดีคืนตลอดไป

1. ทานโปรตีนจากปลาทะเลลึก
ลองเปลี่ยนการรับประทานเนื้อหมู หรือวัว หรือสัตว์ใหญ่ มาเป็นการรับประทานโปรตีนจากปลาทะเลลึกกัน อาทิ ปลาทู กลาแซลมอน ปลาทูน่าเป็นต้น ปลาเหล่านี้จะมีสาระสำคัญสองตัว คือ DHA และ RNA อันมีส่วนสำคัญในการเป็นอาหารสมอง คุณไม่มีทางมีสมองที่คิดได้ดีไปกว่าสมองที่มีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพออยู่เสมอ

2. ฝึกการหายใจและสมาธิ
ฝึกการหายใจของคุณ โดยการหายใจเข้าออกอย่างช้ายาว ๆ หลายครั้ง หรือเรียกว่า ทำสมาธิ เพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ในการฝึกการลำดับความคิดในสมอง และควรทำเป็นประจำทุกวัน

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ และลดจำนวนครั้งในการป่วยในแต่ละปีได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

4. อาหารเสริมช่วยคุณได้
หากยังรู้สึกว่ารับประทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังสมองไม่เพียงพอ สามารถมองหาอาหารเสริม อาทิ  น้ำมันปลา   เพื่อมาใช้ในการดูแลสุขภาพ ด้วยการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยให้มีมิติการคิดที่ลึก  และซับซ้อนมากกว่าใคร

 

นำเคล็ดลับ 4 ประการนี้ไปปรับใช้
จะช่วยให้คุณมีพลังสมองเหนือใคร ๆ  ลองนำไปทำดูนะค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.insurancecoverageblog.com