คอลลาเจนผงแบบชงดื่ม ช่วยให้ผิวขาวใสได้จริงหรือไม่

ต้องบอกก่อนว่าคอลลาเจนที่หลาย ๆ คนสงสัยว่ามันคืออะไร แท้จริงแล้วมันก็คือ โปรตีนธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในร่างกายเราถึง 75% มีลักษณะเป็นเส้นสายใยที่มีความยืดหยุ่นได้ดีซึ่งทำงานร่วมกันอีลาสติน ทำหน้าที่ปกป้องรองรับไปจนถึงเชื่อมอวัยวะต่าง ๆ อาทิ กระดูก เอ็น เนื้อ เล็บ ทั้งยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงได้อีกด้วย

ซึ่งคอลลาเจนในรูปแบบผงที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะสกัดมาจากปลาทะเล น้ำลึก เปลือก เกล็ดหรือส่วนต่าง ๆ จากสัตว์ทะเลผสมรวมกับกลูต้าไทโอน วิตามินซี วิตามินอีและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งก็แตกต่างกันออกไปตามแต่ละแบรนด์ที่ได้กำหนดและคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดูแลผิวให้สวย มีสุขภาพดี สดใสด้วยคอลลาเจน

ข้อดีที่น่าสนใจของคอลลาเจนแบบชงดื่มนั่นก็คือ วิธีการกินของมันไม่ยุ่งยาก เพียงผสมกับน้ำดื่ม แถมยังหาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่สูงเมื่อเทียบเท่ากับวิธีการอื่น ๆ ส่วนข้อเสียที่ตามมาก็มีอยู่มากนั่นคือ ผลข้างเคียงของการกิน อาทิ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ไตทำงานหนัก ซูบซีด ความดันผิดปกติ อันเนื่องมาจากตัวยาหรือสารสกัดบางตัวที่ผสมอยู่ในคอลลาเจน เป็นต้น

การกินคอลลาเจนผงแบบชงนั้น ก็ยังไม่มีบทสรุปอย่างเป็นทางการว่าจะช่วยทำให้ร่างกายและผิวขาวใสเต่งตึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางที่ดีแล้วสาว ๆ ควรพิจาณาถึงผลดี ผลเสียของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแต่ละประเภทก่อนซื้อมาใช้  รวมไปถึงลองหันกลับมาดูแล เสริมสร้างคอลลาเจนตามวิถีธรรมชาติด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.  ดื่มน้ำสะอาดต่อวันให้มาก ไม่น้อยกว่าวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยเติมให้ผิวชุ่มชื้นอยู่ตลอด

2. เน้นกินอาหารที่มีวิตามินและมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ทุกชนิด เนื้อสัตว์ อาทิ ปลาทะเล ถั่วเหลือง สาหร่าย เห็ด เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อย่างแป้ง ของทอด ของมัน

3. หลีกเลี่ยงการตากแดดหรืออยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เพราะเหล่านี้จะเป็นตัวทำลายผิวให้หมองคล้ำ แห้งเสียขาดสมดุล

4. บำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่นอย่างสม่ำเสมอด้วยครีมมอยส์เจอไรเซอร์

5. ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอในทุก ๆ วัน

จริง ๆ แล้วคอลลาเจนที่ดีและมีประโยชน์นั้น เราเองก็สามารถเสริมสร้างและเติมลงสู่ผิวได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อคอลลาเจนสกัดจากที่ไหน ๆ มารับประทานให้เปลืองเงิน เพียงแค่ใช้เวลาและหันมาดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย เราก็จะมีผิวสวย นุ่มเนียน ตึงกระชับแล้วหละค่ะ

อยากผิวดูเปล่งปลั่ง ลองใช้วิธีตบตาแบบนี้ (Lisa)

ขั้นตอนที่ 1 : บรอนเซอร์คือผลิตภัณฑ์จำเป็นในการสร้างความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า ซึ่งควรเลือกใช้แบบเนื้อแมตต์ (ที่ไม่ได้ผสมผงเรืองรองหรือชิมเมอร์) เพื่อจะได้ดูเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยลูบไล้จากบริเวณใบหูไปถึงมุมปาก พยายามเกลี่ยให้สีจางลงเรื่อย ๆ จนถึงมุมปาก

ขั้นตอนที่ 2 : เติมความแดงระเรื่อบนโหนกแก้มให้ดูสมจริง โดยจำเป็นต้องพึ่งบลัชออนในขั้นตอนนี้ ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งก็ควรเลือกใช้แบบครีม เพราะจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวมันง่ายก็ควรเลือกใช้เนื้อแมตต์ เลือกโทนสีชมพูอมน้ำตาลจะทำให้ดูเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติได้ดีกว่า

ขั้นตอนที่ 3 : ใช้แปรงปัดแก้มอันใหญ่ ๆ ฟู ๆ เกลี่ยสีบรอนเซอร์กับบลัชออนให้มีสีกลืนกัน อย่าให้เห็นเป็นเส้นขอบตัดกัน ถ้าคุณอยากได้ความเปล่งปลั่งเรืองรองก็ควรย้ายไปเติมบริเวณดวงตา โดยใช้อายแชโดว์สีเมทัลลิค หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำไฮไลท์แตะแต้มบริเวณโหนกคิ้ว

คนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มปีละเป็นหมื่น

ลดเค็มก็ลดโอกาสเกิดโรคไต
ลดเค็มก็ลดโอกาสเกิดโรคไต

อึ้ง! คนไทยป่วยไตเพิ่มปีละหมื่น “เหนือ-อีสาน” สภาพแวดล้อมเอื้อเป็นนิ่ว
ย้ำลดเค็มลดเสี่ยงได้

นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มผู้ป่วยโรคไตมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีเฉลี่ยประมาณปีละ 1 หมื่นราย จากข้อมูลล่าสุดพบคนไทยป่วยเป็นโรคไตร้อยละ 17.5 ของประชากร หรือประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งมีตั้งแต่ระยะต้นไปถึงระยะท้าย สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มระยะท้ายที่ต้องล้างไต ฟอกเลือด ประมาณ 4 หมื่นคน จะใช้ค่าใช้จ่ายสูงอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อคนต่อปี สำหรับสัดส่วนการเกิดโรคไตยังคงมาจาก 2 โรคหลัก คือ เบาหวานและความดันโลหิตสูง และยังมีสาเหตุจากโรคอื่น เช่น นิ่ว การรับประทานยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น ทั้งนี้ จะพบประชากรที่ป่วยด้วยโรคนิ่วและทำให้เกิดโรคไตชุกในภาคเหนือและภาคอีสาน แม้จะยังเป็นรองจากความดันและเบาหวาน แต่ก็ถือเป็นปัจจัยที่ต้องระวังในประชากรกลุ่มนี้

ความชุกในการเกิดโรคนิ่ว ที่เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังในภาคเหนือ และภาคอีสาน ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีความผิดปกติของเกลือแร่บางอย่าง และสภาพอากาศที่ร้อนจัด เมื่อดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัสสาวะข้น และเป็นสาเหตุการเกิดโรคนิ่วขึ้นได้ และยังพบว่า มีส่วนมาจากพันธุกรรมของประชากรในภาคเหนือและอีสานด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดยังเป็นเรื่องของความดันโลหิตและเบาหวาน จึงต้องควบคุมน้ำหนักและลดเค็มเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคไตด้วย” นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร กล่าว

นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร กล่าวว่า สำหรับประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีฟอกเลือด เมื่อเปรียบเทียบกับการล้างไตผ่านช่องท้องนั้นงานวิจัยทั่วโลกและประเทศไทย พบว่า มีอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อน และอัตราการเสียชีวิตใกล้เคียงกัน และจะมีข้อดีและข้อเสียในการรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเอง เช่น ความสะดวกในการเดินทาง การช่วยเหลือตนเอง โดยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้อง จะเหมาะกับคนอายุไม่มากนักสามารถดูแลตัวเองได้ เพราะสามารถทำได้ด้วยตนเองทุกวัน และอาจเหมาะกับผู้ป่วยในบางจังหวัด ซึ่งเครื่องล้างไตไม่เพียงพอ เพราะไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาลทุก 3 วัน
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000029980