ประโยชน์ของ “นมเปรี้ยว”

“นมเปรี้ยว” นมอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนนิยมดื่มกัน เกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว และอาจเติมแต่งสี กลิ่น รส ให้เป็นที่น่ารับประทาน ซึ่งนมเปรี้ยวไม่ได้ให้แค่เพียงรสชาติที่อร่อยเท่านั้น เพราะนมเปรี้ยวอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายผู้บริโภค และที่สำคัญนมเปรี้ยวนั้น ยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี

69_1
1. รักษาอาการท้องเสีย

การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนม ทุกครั้งที่ดื่มนมเปรี้ยว ไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้ง และทำให้อาการท้องเสียหายไปได้ รวมถึงสามารถรักษาโรคท้องเดินและแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชีวิตนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกาย

2. ยกระดับภูมิคุ้มกันโรคให้สูงขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงแต่ป้องกันและรักษาโรคได้ แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนักและกรดน้ำดี ซึ่งมีพิษยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรท (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง)

3. ควบคุมจุลินทรีย์ที่เราไม่ต้องการในลำไส้

ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E.coll ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มนมเปรี้ยวอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของลำไส้ดีขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซน์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซน์ย่อยโปรตีน จะช่วยให้การย่อยเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งนํ้าลายและเอ็นไซน์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซน์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซน์นี้หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาล แลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5. แหล่งวิตามินบี และวิตามินเค

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามินเคในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

อย่างไรก็ดี การดื่มนมเปรี้ยว ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่นมเปรี้ยวก็ให้โทษได้เหมือนกันถ้ากระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน เกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสารต่างๆ นอกจากนี้หากบริโภคไม่หมดภายในหนึ่งวัน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรดื่มนมเปรี้ยวเป็นอาหารหลักควรดื่มเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ดี ที่สำคัญควรดูวันผลิตก่อนซื้อ และควรดูวันหมดอายุก่อนรับประทานเสมอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069996
ข้อมูลอ้างอิงจาก : วารสารฟ้าดัชมิลล์ ฉบับที่ 50

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10  ผลไม้ไทย  มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

4ff

ผลไม้ 10  อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร

2. มะขามเทศ

3. มังคุด

4. ลิ้นจี่

5. สาลี่

 10  อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่

2. ฝรั่งไร้เมล็ด

3. มะขามป้อม

4. มะขามเทศ

5. เงาะโรงเรียน

6. ลูกพลับ

7. สตรอเบอร์รี่

8. มะละกอสุก

9. ส้มโอขาว

10. แตงกวา

11. พุทราแอปเปิล

 การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง

2. มะขามเทศ

3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ

4. มะเขือเทศราชินี

5. มะม่วงเขียวเสวยสุก

6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

7. มะม่วงยายกล่ำสุก

8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู

9. สตรอเบอร์รี่

10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูง  คือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ บต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน  เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากมะเร็ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.herb4life.net/article/6/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87

ดัน “นวดไทย” ขึ้นเป็นมรดกวัฒนธรรมโลก หวังยกระดับสปาไทย

dd61

วันที่ 20 กรกฎาคม 2559  น.ต. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สบส. ได้เร่งเดินหน้าดำเนินการผลักดันการสร้างเศรษฐกิจรายได้ประเทศจากบริการสุขภาพ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือ เมดิคัลฮับ (Medical Hub)  โดยยกระดับบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพประเภทนวดไทยและสปาไทย ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก และเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ให้เป็นแบรนด์ หรือสัญลักษณ์ของประเทศไทย

สำหรับแนวคิดผลักดันให้นวดไทยเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างชื่อเสียงและคุณค่าแก่ภูมิปัญญาไทย เนื่องจากการนวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาของไทยที่สืบทอดมายาวนานกว่า 600 ปี จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ นวดแบบราชสำนัก และนวดแบบเชลยศักดิ์

น.ต. นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, กระทรวงวัฒนธรรม, องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ประจำประเทศไทย และภาคเอกชน ทุกหน่วยงานมีความเห็นตรงกัน และจะร่วมกันเร่งผลักดันตามขั้นตอน หากเป็นผลสำเร็จจะถือว่าเป็นมรดกชิ้นแรกของโลก ที่สามารถนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพ

ขณะเดียวกันได้หารือกับกระทรวงแรงงาน ในการปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเติมอาชีพนวดไทยให้เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย เพื่อรักษาคุณภาพ มาตรฐาน เอกลักษณ์ และชื่อเสียงของการนวดไทย ซึ่งเปรียบเสมือนรสสัมผัสที่สามารถรับรู้ผ่านการนวดโดยฝีมือคนไทยเท่านั้น

————————————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kapook.com

10 อาชีพที่น่าแนะนำเยาวชนว่าเรียนแล้วมีอนาคตสดใส

10 อาชีพที่น่าจะรายได้ดี และมีโอกาสได้งานทำสูง
ในยุคอินดัสทรี (Industry) 4.0

ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้ข้อมูลอาชีพในอนาคต ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย 10 อันดับ ได้แก่

1. อาชีพเขียนโปรแกรมเมอร์  (Programmer)
ผู้ที่คิดค้นแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ตามเทรนด์สังคมโลกเปลี่ยนผ่าน
จาก analog สู่ digital จากกดปุ่มเป็นจอสัมผัส
และไปสู่อินดัสทรี 4.0 ที่มีดิจิตอลเป็นหัวใจ

2.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความสวย ความงาม (Beauty)
ผู้รับทำให้ผู้คนสวยงาม ได้แก่ แพทย์ศัลยกรรม แพทย์ผิวหนัง ทันตแพทย์ เภสัชกร พนักงานขายสินค้าด้านความงาม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับหญิงและชาย ซึ่งในไทยเป็นที่นิยมอย่างมาก

3.อาชีพดูแลด้านสุขภาพ (Health)
ครอบคลุมตั้งแต่เด็กถึงวัยชรา เทรนด์นี้ทั้งโลกให้ความสำคัญ โดยเฉพาะไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อยากมีอายุยืนยาวขึ้น ยอมจ่ายเเพื่อตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาล รับประทานอาหารที่เน้นดูแลตัวเอง และธุรกิจฟิตเนส เทรนเนอร์ จะได้รับความนิยม

4.อาชีพที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์เคมี ชีวเคมี  (Science)
ผู้ที่เรียนทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีที่มาจากธรรมชาติ จากพืช อาทิ การใช้พลาสติกจากชานอ้อย บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ผลิตจากพืชจะได้รับความนิยม เพราะโลกจะให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม

5.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (Energy)
ผู้ที่มีความรู้เรื่องพลังงาน พลังงานทดแทน การดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีบทบาทในชีวิตประจำวัน

พลังงานทดแทน
พลังงานทดแทน

6.อาชีพที่มีความชำนาญด้านเครื่องกลขั้นสูง (Mechanical specialist)
ผู้ที่จะเป็นกลไกสำคัญพาประเทศปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

7.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา (Language)
ผู้ที่มีความรู้ในภาษา มีทักษะทั้งการพูด การเขียน การคิดสโลแกน ถ้อยคำ ภาษาสำคัญ คือ อังกฤษและจีน ที่ใช้ทั่วโลก และภาษาอารบิกสำหรับชาวมุสลิมที่กระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึงภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น

8.อาชีพนักกฎหมายธุรกิจ (Law)
นักกฎหมายที่มีความรู้เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ

9.อาชีพที่ดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment)
ผู้มีความรู้เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูธรรมชาติ

10.  อาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (Pet)
อาชีพสัตวแพทย์ ผู้ผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์เลี้ยง ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง แฟชั่นสัตว์เลี้ยง และการผลิตอาหารสัตว์

อาชีพทั้งหมดนี้ประเมินจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่มีระบบดิจิตอลเป็นหัวใจสำคัญ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากโรบอติก เชื่อมโยงโลก ต้องการแรงงานทักษะ แต่ลดการใช้แรงงานทั่วไป การเปลี่ยนของโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศที่เกิดขึ้น “อรรชกา สีบุญเรือง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แสดงความเห็นว่า ต่อไปประเทศไทยต้องก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมากขึ้น ทำให้ความต้องการแรงงานทั่วไปลดลง แต่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูง โดยขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคเอกชน ได้หารือร่วมกัน เพื่อปรับหลักเกณฑ์การเรียนการสอนให้นักศึกษาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานของภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวยังมั่นใจว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเห็นภาพการเปลี่ยนแปลง คือ ความต้องการแรงงานที่ต้องใช้ทักษะอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบจนเลิกจ้างงาน หรืออัตราการว่างงานเพิ่มมากขึ้น เพราะตอนนี้แรงงานในภาคบริการยังขาดอยู่มาก อาทิ ภาคท่องเที่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจมีการโยกแรงงานจากอุตสาหกรรมการผลิต เข้าสู่อุตสาหกรรมภาคบริการเพิ่มขึ้น แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะเตือนให้รับมืออนาคต แต่ที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน คือนโยบายลดพนักงานลงแบบสมัครใจออก ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่จัดโครงการ “จากกันด้วยใจ” โดยเป็นพนักงานในส่วนของการรับเหมาค่าแรง (ซับคอนแทร็กต์) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,000 คน สาเหตุที่โตโยต้าปรับลดพนักงาน บริษัทให้ข้อมูลว่า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงชะลอตัว ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง และมีพนักงานเกินความจำเป็นในการผลิต แต่ยืนยันว่าหากกำลังผลิตกลับมาปกติจะกลับมาจ้างงานกลุ่มที่ลาออกแน่นอน แม้จะเป็นการจากลาแบบ “สมยอม” แต่ลึกๆ ในกลุ่มแรงงานเองต่างหวาดหวั่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งหวาดหวั่นกับสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวจนบริษัทใหญ่ต้องลดพนักงาน เกิดการตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า จริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยกำลังดี หรือชะลอตัว เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี เพิ่งประกาศกับนักลงทุนญี่ปุ่นภายในการประชุมแบงค็อก นิกเกอิ ฟอรั่ม 2559 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตดี โดยเฉพาะไตรมาส 2 มากกว่า 3% อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบ่งชี้สถานการณ์การจ้างงานของไทย เปิดเผยโดยกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ตัวเลขการว่างงานของไทยช่วง 3 เดือนของปีนี้ พบว่าเดือนเมษายน มีตัวเลขผู้ว่างงาน 1% เดือนพฤษภาคม 1.2% และเดือนมิถุนายน 1% โดยกระทรวงแรงงานยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวอยู่ในภาวะปกติ แต่หลายคนก็มองว่าตัวเลขการว่างงานดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องปกตินักเพราะสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เอง ก็กำลังจับตาการจ้าง 5 เดือนแรกของปีนี้ ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม พบว่า มีอัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 385,682 คน จากกำลังแรงงานทั้งหมด 38.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 1.07% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 0.93% นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ยังให้ข้อมูลว่าแนวโน้มการจ้างงานในปี 2559 จะมีบัณฑิตจบใหม่ 100,000 คน และ 1 ใน 4 อาจไม่มีงานทำ แม้สถานการณ์จ้างงานจะไม่สู้ดีนัก แต่ถ้ารู้จักรับมือและมองเทรนด์โลกให้ออก เชื่อว่าไม่มีคำว่า “ตกงาน” แน่นอน

 

ที่มา คอลัมน์ เศรษฐกิจ
มติชนสุดสัปดาห์ หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์
วันที่: 23 ก.ค. 59 เวลา: 07:46 น.

 

อ้างอิง http://www.matichon.co.th/news/220863
อ้างอิง  http://www.kroobannok.com/article-79488-10-อาชีพในอนาคต-ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย.html
ข้อมูลเพิ่มเติม

แรงงานเชี่ยวชาญ

             การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 เมื่อ 7 ตุลาคม 2546 ที่บาหลี อินโดนีเซีย ได้กำหนดจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) เกี่ยวกับคุณสมบัติของวิชาชีพหลัก แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี โดยจะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2558

ในเบื้องต้นได้ทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว 7 สาขา

    1. วิศวกรรม (Engineering Services)
    2. พยาบาล (Nursing Services)
    3. สถาปัตยกรรม (Architectural Services)
    4. การสำรวจ (Surveying Qualifications)
    5. แพทย์ (Medical Practitioners)
    6. ทันตแพทย์ (Dental Practitioners)
    7. บัญชี (Accountancy Services)
แรงงานเชี่ยวชาญ
แรงงานเชี่ยวชาญ

http://www.thaiall.com/asean/

จับตาแบงค์แห่ปิดสาขา

Bankomaty-v-Thajsku

รายงานข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ได้ปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยไม่เปิดสาขาใหม่ และทยอยปิดสาขาเดิมลง เพื่อลดค่าใช้จ่าย จากกระแสการใช้บริการทางการเงิน ด้วยระบบดิจิทัลที่กำลังมาแรง พร้อมกันนี้ ได้หันมาลงทุนพัฒนาช่องทางบริการทางดิจิทัล เพื่อให้บริการลูกค้าแทน รวมทั้ง ลด โยกย้ายพนักงานประจำสาขาไปทำหน้าที่อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแผนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่อนปรนการเปิดสาขา จากเดิมเป็นสาขาเต็มรูปแบบ ให้ปรับเปลี่ยนเป็นสาขาให้บริการเฉพาะทาง เช่น ให้บริการสินเชื่อ หรือรับเงินฝากเพียงอย่างเดียวได้ เพื่อช่วยลดต้นทุน

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า  ธนาคารได้ปรับตัวรองรับช่องทางการให้บริการผ่านอิเล็กทรอนิกส์ โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ลดสาขาจาก 163 แห่ง เหลือ 96 แห่ง และผนปีนี้มีแผนที่จะลดลงอีกให้เหลือ 80 กว่าสาขา ส่วนของพนักงานสาขานั้น ยันยันว่าไม่มีนโยบายปรับลด แต่จะย้ายไปทำงานอื่น เช่น งานด้านสินเชื่อ วางแผนการเงิน และให้คำปรึกษาการลงทุนให้ลูกค้า

ส่วนผลกระทบจากการเปิดบริการพร้อมเพย์นั้น จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนเงินลดลงไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท ประเมินคร่าวๆ จากบัญชีที่มีธุรกรรมการโอนเงิน 30 ล้านบัญชี โอนอย่างต่ำเดือนละ 1 ครั้ง หรือปีละ 360 ล้านครั้ง ค่าธรรมเนียมการโอนครั้งละ 25 บาท คิดเป็นเงินรวม 9,000 ล้านบาท แต่มีบัญชีที่โอนต่อเดือนมากว่า 1 ครั้ง เชื่อว่าเบ็ดเสร็จแล้ว รายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินของธนาคารที่หายไปปีละ 10,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะได้รับระยะยาว คือต้นทุนการบริหารเงินสดที่ลดลง

————————ข่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/economic/508575

 

ใคร ๆ ก็ชอบของฟรี อยากให้ค่ายเพลงมีน้ำใจไม่คิดตังร้านกาแฟ

sing a song in party
sing a song in party

ที่มา
ปลายมิถุนายน 59 ถึงต้นกรกฎาคม 59
ฟังข่าวมาเรื่องร้านกาแฟเปิดเพลงแล้วจี๊ดเลยครับ
เป็นเรื่องของค่ายเพลง และศิลปินเพลงออกมาชวนมองต่างมุม
ว่ากฎระเบียบก็อย่างหนึ่ง สังคมร้านกาแฟก็อีกอย่างหนึ่ง

ความเห็นศิลปิน
ผมว่าศิลปินเค้าเข้าใจผู้ฟังกับร้านกาแฟนะว่า
ผู้ฟังชอบฟังเพลงฟรี ไม่ชอบซื้อเพลงฟัง
เจ้าของร้านกาแฟ ชอบเปิดเพลงฟรี ไม่ต้องการเพิ่มทุน
นี่ถ้าค่ายเพลง
ทำ CSR แล้วอนุญาตให้ร้านกาแฟเปิดเพลงฟรีโดยไม่เสียตัง
จะเข้าหลักมีเมตตากรุณา เข้าใจลูกค้า มีน้ำใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย
ไม่เห็นแก่เงิน ไม่หน้าเลือด ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน รับผิดชอบต่อสังคม
รู้จักพอ ไม่อ้างกฎหมาย เคารพนับถือผู้อื่น และมีเหตุผล
http://www.thaiall.com/ethics/

working in coffee shop
working in coffee shop

ข้อมูลข่าวประกอบ
เกี่ยวกับเรื่องร้านกาแฟเปิดเพลงผ่าน youtube.com แล้วโดนจับ
หัวข้อ จ่อแถลงละเมิดลิขสิทธิ์ เปิดเพลงในร้านกาแฟผ่านยูทูป
http://www.thairath.co.th/content/650817
ต่อมามี “ศิลปินอื่นพร้อมใจเปิดเพลงฟรี”
http://manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9590000065638

ที่ผ่านมามีจับจริง “หนุ่มเจ้าของร้านกาแฟโดนจับลิขสิทธิ์
http://www.thaijam.com/24801

แผนหาแฟนใน 18 เดือน

เรื่องหาแฟนไม่ใช่เรื่องง่าย .. ฟันธง

แผนหาแฟนใน 18 เดือน
แผนหาแฟนใน 18 เดือน

เคยดูรายการ Take Me Out Thailand  ถ้าชีวิตจริงหาแฟนได้ง่ายขนาดนั้น ด้วยการไปยืนมองหน้ากัน 5 – 10 นาที แล้วก็เกี่ยวก้อยกัน เดินไปเข้าหอลงโลงกันเลย ดูจะง่ายเหลือเกิน แต่ในชีวิตจริงคงไม่ง่ายขนาดนั้น

หัวหน้าเคยเล่าว่าจะทำอะไรสักอย่างต้องมีการวางแผน จะให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ (Vision) ก็ต้องวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (SWOT) มีแผนระยะยาว (Long term)  แผนระยะสั้น (Short term) มีกลยุทธ์ (Strategic) มีแผนปฏิบัติการ (Action Plan) มีเคพีไอ (KPI) และมีอะไรอีกสารพัด แล้วหัวหน้าก็จบด้วยการยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่าย ว่า วิสัยทัศน์ของเรา คือ
หาแฟนให้ได้ใน 18 เดือน” หรือ
ไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ใน 5 ปี” หรือ
การศึกษาไทยจะขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามของอาเซียน

ถ้าจะหาแฟนใหม่ได้ใน 18 เดือน ก็มาทำแผนปฏิบัติการกันเลย
แต่ละกิจกรรมก็มีเวลา มีงบประมาณ มีการประเมินความสำเร็จ
ผลจะเป็นอย่างไร ถูกใจหรือไม่ ก็ต้องมาดูว่ากิจกรรมใดพลาดไป
ยกเป็นกรณีศึกษาได้ดังนี้

1 เรียนจบแล้ว
2 สำรวจตนเอง
3 วางกำหนดการ
4 วางแผนงบประมาณ
5 ปรับบุคลิกให้พร้อม
6 ดัดฟัน
7 ฟิตเนสให้ฟิตเปรี๊ยะ
8 สปาผิวขาวเนียน
9 แต่งตัวเซ็กซี่
10 คบเพื่อนฝูงเข้าสังคม
11 เปิดตัวเปิดใจเปิดโอกาส
12 ออกเดท
13 เข้าครอบครัวคู่เดท
14 ขอแต่งงาน
15 สรุปผล/ปิดโครงการ

คลิ๊ปนี้สาวโสดมายืนเลือกหนุ่ม มีคนดูคลิ๊ปนี้ ล้านกว่าคนแล้ว

คลิ๊ปนี้ศรราม เทพพิทักษ์ มายืนเลือกสาว มีคนดูคลิ๊ปนี้ ล้านกว่าคนแล้ว

https://www.youtube.com/watch?v=ZmTHV9aHv4c

คลิ๊ปนี้ครูสอนขับรถแข่ง ชอบขับเครื่องบินมีคนดู สี่ล้านกว่า

 

หากต้องการนำ Gantt Chart ไปปรับแผนให้นานขึ้น สั้นลง
หรือปรับกิจกรรมก็สามารถดาวน์โหลดแฟ้มนี้ได้จาก
http://www.thaiall.com/office/gantt_fan.xlsx

หากต้องการเริ่มสร้างใหม่ก็ใช้ Microsoft Excel
แล้วค้นหาเทมเพลตออนไลน์ ชื่อ “Gantt

excel ทำ gantt chart ได้
excel ทำ gantt chart ได้

 

บนโลกมี 7 พันล้าน ตายสัก 2 พันล้าน เหลือ 5พันล้าน เพื่อช่วยโลก

Penélope Cruz รับบทผู้ร้าย
Penélope Cruz รับบทผู้ร้าย

แนวคิดของผู้ร้าย
– ลดประชากรไม่พึงประสงค์ ก็มีให้เห็นได้ทั่วไป
– ใครเห็นด้วยอยู่ ใครไม่เห็นด้วยกับเราจับเข้าคุก เห็นในข่าวได้ทุกวัน
– รอบตัวเรามีคนที่คิดแบบผู้ร้ายเพียบ คนที่มี public conscious ก็พอมีอยู่

กรณีแรก นักธุรกิจหนุ่มอันดับท็อปเท็นของประเทศ
ที่ผมชื่นชอบ ได้อ่านหนังสือประวัติเค้าหลายเล่มเลย
ก็ออกมา พูดว่าประหารคนสักหมื่น ประเทศไทยไม่สูญพันธุ์
http://hilight.kapook.com/view/136402
กรณีสอง The Cabin in the Woods (2012)
การเลือกเสียสละชีวิตตนเอง เป็นเครื่องสังเวยเหมือนแกะ หรือไก่
หากถามมนุษย์ว่ายอมไหม ถ้าตัวตายคนเดียว เพื่อคนทั้งโลก
หนังฮีโร่ ร้อยทั้งร้อย บอกว่าเราต้องเสียสละชีวิตตนเองเพื่อผู้อื่น
แต่ในหนังแย่งตายทะลุตาย
เนื้อเรื่องสรุปว่า จะยอมตายทำไมคนเดียว ถ้าตายก็ตายกันให้หมด
http://www.imdb.com/title/tt1259521/

กรณีสาม The Brothers Grimsby (2016)
สาวสวยที่ทำงานการกุศล จะแพร่ไวรัสฆ่าคนสัก 2 พันล้าน
ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น เพราะคิดว่ามีตั้ง 7 พันล้าน แออัดไป
ผู้ร้าย นำแสดงโดย Penélope Cruz
http://www.imdb.com/title/tt3381008/

นิทานธรรม : ทั้งปู่ ทั้งเข่ง

เด็กในตะกร้า หิ้วไปไหนนะ
เด็กในตะกร้า หิ้วไปไหนนะ

ครอบครัวหนึ่ง .. มีผู้อาศัยอยู่ด้วยกัน 3 วัย คือ ปู่ พ่อ และลูกชาย ปู่ มีอายุ 83 ปี ป่วยเป็นอัมพาตมาหลายปีแล้ว ไม่มีรายได้ นอกจากเงินที่รัฐบาลจ่ายไห้เดือนละ 500 บาท เท่านั้น พ่ออายุ 40 ปี มีอาชีพรับจ้าง ภรรยาตายด้วยอุบัติเหตุ แต่ยังครองตัวเป็นโสด เพราะเป็นห่วงลูกชายวัย 10 ขวบ พ่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายรับ จึงมีปัญหาในการใช้ชีวิตอย่างมาก
จึงวางแผนกับลูกชายว่า ปู่อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะสร้างปัญหาให้ครอบครัว รายได้มีน้อยอยู่แล้ว ยังต้องเสียค่ายาค่าอาหารดูแลปู่อีก “เอาอย่างนี้ดีกว่า เราพาปู่ไปทิ้งน้ำเสีย จะได้หมดภาระเสียที”
พ่อมอบหมายให้ลูกชายไปหาเข่งมาใบหนึ่ง สำหรับใส่ปู่ลงเรือไปทิ้งปากน้ำ พอได้เวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่ปู่กำลังหลับ สองคนพ่อลูกช่วยกันหามปู่ใส่เข่งลงเรือ แล้วพายเรือไปยังปากน้ำทันที เมื่อถึงที่หมายพ่อบอกลูกชายว่า
“มาช่วยกันยกทั้งปู่ทั้งเข่งโยนลงน้ำเลย”
“เอาแต่ปู่โยนลงน้ำ เข่งไม่ต้อง” ลูกชายแย้ง
“เอาน่า ทิ้งทั้งปู่ทั้งเข่งนั่นแหละ” พ่อยืนยัน
“เอาเข่งไว้ โยนแต่ปู่ลงน้ำ” ลูกชายว่า
“เอ็งจะเอาเข่งไว้ทำไมอีกวะ” พ่อชักฉุน
“เอาไว้ใส่พ่อตอนแก่ไง” ลูกชายตอบ
ท่านอาจจะเป็น “คุณปู่” ในนิทานเรื่องนี้ไปอีกคนก็ได้ ถ้าไม่ได้ดูแลผู้สูงวัยให้ดี หรือไม่เตรียมตัวให้ถูกวิธีเสียบัดนี้
+ https://www.gotoknow.org/posts/475641 *
+ http://www.thammasatu.net/forum/index.php?topic=13174.0
+ http://www.sri.cmu.ac.th/~elanna/lannachild/scripts/tale/folktale/nitan_folk_haitukkeatan.html
+ http://lessons-in-my-life.exteen.com/20100319/entry
+ http://www.thaiall.com/ethics

14 มิ.ย.59 พ่ออายุ 73 ปีจ้างวานฆ่าลูกชายนักเรียนนอกอายุ 48 ปี
ถูกสอบจนถึงตี 2 ก่อนให้ประกันตัวในวงเงิน 5 แสน
เพราะเห็นว่าไม่มีพฤติกรรมหลบหนี ป่วยหลายโรค
เหตุจากขัดแย้งขายที่ดิน 100 ล้าน
+ http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000045601
+ http://www.thairath.co.th/content/638900

น้ำเต้าหู้ไม่เหมาะกับผู้มีภูมิแพ้บางท่าน

นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก
นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก

ประเด็นน่าสนใจเรื่อง “นมถั่วเหลืองเป็นอันตราย จริงหรือหลอก”
http://www.vichanum.net/board/forum.php?mod=viewthread&tid=1368

ข้อมูล
เรื่องสุขภาพ น่าจะสำคัญกว่าเรื่องโซเชียวมีเดีย
เพราะใกล้ตัวเรา และใกล้มาก ไปอยู่ข้างในที่มองไม่เห็นกันเลย
อ่านเรื่องของผู้ป่วยชายที่ไม่โสด เค้าเป็นภูมิแพ้
ดื่มน้ำเต้าหู้แล้วหรือนมเข้าไป
จะมีก้อนเสลดเหนียวหนึบ ขากไม่ค่อยออก
ดื่มมากก็จะเกิดเมือก เป็นไซนัสได้ง่าย ๆ
เพราะนมถั่วเหลืองมีฤทธิ์เย็น เข้ากระเพาะก็จะย่อยสลายไม่หมด
เหลือเป็นอาหารของจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้
เกิดสารพิษเข้าสู่กระแสเลือก แล้วร่างขับสารพิษทางผิวหนัง
ออกเป็นผื่นแดง
อ่านจาก http://thearokaya.co.th/web/?p=3294
โพสต์โดย Nisa
http://thearokaya.co.th/web/?author=3

ความคิดเห็น
ผมเองก็มีทีท่าว่าจะแพ้นมถั่วเหลือง ดื่มทีไร รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว
โดยเฉพาะระบบภายใน ระบบทางเดินหายใจ
ก็น่าจะเป็นเพราะจุลินทรีย์ไม่ดีในลำไส้
แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นผื่นแดง เหมือนผู้ป่วยชายในบทความ
สรุปว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะถูกโรคกับนมถั่วเหลือง