ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง

คือภาวะที่แรงดันในหลอดเลือดแดงสูง หากไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวจะทำให้เกิดความเสียหายแก่อวัยวะหลายระบบในร่างกาย

e1

เมื่อไหร่จะบอกว่าเป็นความดันโลหิตสูง

ค่าตัวบนเกิน 140 มิลลิเมตรปรอท
ค่าตัวล่างเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ในระยะยาวจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนี้

1.หลอดเลือดแดงแข็งตัว และตีบตัยในอวัยวะต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย เช่น

  • หลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก และหัวใจวายได้
  • หลอดเลือดแดงในสมองตีบตัน ทำให้สมองขาดเลือด เนื้อสมองตาย หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย เลือดออกในสมอง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไตตีบ ทำให้ไตเสื่อม และไตวายได้
  • หลอดเลือดแดงในตาแข็งและตีบ อาจมีเลือดออกที่จอภาพและประสาทตา ทำให้ตามัวหรือตาบอดได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนขาตีบตัน ทำให้มือเท้าขาดเลือดเป็นแผลเรื้อรัง หายยาก
  • หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก และช่องท้องโป่งพอง และแตก ทำให้เสียชีวิตได้ทันที

2. หัวใจโต ทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจอ่อนแรง เกิดภาวะน้ำท่วมปอด และเหนื่อยง่าย

ความดันโลหิตสูงทำไมต้องรักษา

สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ (กว่า 90%) ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ส่วนหนึ่งเกิดจากรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารและสิ่งแวดล้อม ในกรณีนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้โดยการรับประทานยาเป็นประจำ
มีคนไข้ความดันโลหิตสูงอีกประมาณ 5% ที่มีความดันโลหิตสูงเนื่องจากโรคอื่น เช่น เนื้องอกของต่อมหมวกไต ซึ่งถ้าผ่าออกความดันโลหิตก็จะกลับมาเป็นปกติ และหายขาดได้
จะเห็นว่าโรคความดันโลหิตส่วนใหญ่เป็นโรคประจำตัว ไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงรักษาอย่างไร…?
การรักษาขึ้นแรก คตือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิต

  • ควบคุมอาหาร และน้ำหนักตัว อย่าให้อ้วน โดยการลดอาหารประเภทไขมัน ได้แก่ อาหารที่ใช้เนย ไขมัน และน้ำมันในการปรุง
  • ลดอาหารเค็ม เช่น ของดองเค็ม ซุปกระป๋อง อาหารที่โรยเกลือ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที จะช่วยลดน้ำหนักและทำให้การไหลเวียนดี ป้องกันโรคหลอดเลือดได้ ที่สำคัญผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนเริ่มออกกำลังกายครั้งแรกควร ปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด
  • งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาต
  • รับประทานยาให้สม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

ทำอย่างไร…? จึงจะทราบว่า…ความดันโลหิตดี
ต้องวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ จะใช้ความรู้สึก เช่น อาการปวดหัวเพียงอย่างเดียวไม่ได้ การมาพบแพทย์วัดความดัน 2-3 เดือนต่อครั้ง ก็ไม่เพียงพอ   ควรเรียนรู้วิธีวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง โดยใช้เครื่องวัดความโลหิตระบบดิจิตอลวัดความดันเองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องวัดถี่เกินความจำเป็น และควรจดบันทึกเวลาค่าที่สัดได้ทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมความดันโลหิต

จะเห็นได้ว่าภาวะแทรกซ้อนของความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะเกิดปัญหากับระบบ หลอดเลือดทั่วร่างกาย จึงควรพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพและรับประทานยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ตามคำ แนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง

 

http://www.thaihealthyclubs.com/ความดันโลหิตสูง/

อานิสงค์ของการฝึกสมาธิ

สติ คือ ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ
สมาธิ คือ อาการที่ใจตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว อย่างต่อเนื่อง หรือ อาการที่ใจหยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่ซัดส่ายไปมา
ระดับของสมาธิในพุทธศาสนา
ขณิกสมาธิ สมาธิค่อยๆ เล็กน้อย ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่นใช้อ่านหนังสือ หรือขับรถ
อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่มากกว่าขณิกสมาธิ แต่แน่วแน่น้อยกว่าอัปปนาสมาธิ
อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึง สมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป
สมาธิ ในความหมายของพจนานุกรม แปลว่า ที่ตั้งมั่นแห่งจิต
อ้างอิงจาก http://www.thaiall.com/dhamma/
และ http://www.dmc.tv/pages/meditation/meditation01.html

 

ดอกบัว


1. ใจจะเย็นลงมาก มีความอดทน อดกลั้นมากขึ้น

2.  ระบบความคิด คำพูดและการกระทำจะถูกเรียบเรียงให้เป็นระบบ
ระเบียบ
ที่ถูกต้อง ดีงาม โดยธรรมชาติ (อัตโนมัติ)
3.  คิด พูด ทำ ในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องด้วยเหตุและผล
4.  มีสติมากขึ้นรู้ตัวเองมากขึ้น
5.  เกิดปัญญาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ดี
6.  เข้าใจตัวเองเข้าใจผู้อื่น ยอมรับผู้อื่นได้มากขึ้น
7.  ทัศนะคติเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
8.  ทุกๆอย่างจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  ทั้ง ความคิด   คำพูดและ
การกระทำ

 

การฝึกสมาธิยังช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้นด้วย
เพราะทำให้มีสติ มีสมาธิในการเรียน
จึงส่งผลให้ผลสอบออกมาดีเกินคาดทีเดียว

 

มีความสุขในปัจจุบันและในอนาคต
ความสุขในปัจจุบัน เมื่อเข้าถึงดวงปฐมมรรค(ดวงธรรม) เป็นจุดเริ่มต้นของความสุข  ความสุขอันไม่มีประมาณ มีความสุขมากมายจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทีเดียว สุขด้วยตัวของตัวเอง ไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน  สุขยิ่งกว่าการได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิซะอีก  ความสุขในอนาคตจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขนิรันดร์ เป็นสุดยอดความสุขที่มนุษย์ทั้งมวลปรารถนาจะไปให้ถึงตรงนั้น

 

-ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.org

ประโยชน์ของ “นมเปรี้ยว”

“นมเปรี้ยว” นมอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนนิยมดื่มกัน เกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว และอาจเติมแต่งสี กลิ่น รส ให้เป็นที่น่ารับประทาน ซึ่งนมเปรี้ยวไม่ได้ให้แค่เพียงรสชาติที่อร่อยเท่านั้น เพราะนมเปรี้ยวอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายผู้บริโภค และที่สำคัญนมเปรี้ยวนั้น ยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี

69_1
1. รักษาอาการท้องเสีย

การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนม ทุกครั้งที่ดื่มนมเปรี้ยว ไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้ง และทำให้อาการท้องเสียหายไปได้ รวมถึงสามารถรักษาโรคท้องเดินและแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชีวิตนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกาย

2. ยกระดับภูมิคุ้มกันโรคให้สูงขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงแต่ป้องกันและรักษาโรคได้ แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนักและกรดน้ำดี ซึ่งมีพิษยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรท (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง)

3. ควบคุมจุลินทรีย์ที่เราไม่ต้องการในลำไส้

ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E.coll ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มนมเปรี้ยวอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของลำไส้ดีขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซน์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซน์ย่อยโปรตีน จะช่วยให้การย่อยเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งนํ้าลายและเอ็นไซน์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซน์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซน์นี้หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาล แลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5. แหล่งวิตามินบี และวิตามินเค

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามินเคในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

อย่างไรก็ดี การดื่มนมเปรี้ยว ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่นมเปรี้ยวก็ให้โทษได้เหมือนกันถ้ากระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน เกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสารต่างๆ นอกจากนี้หากบริโภคไม่หมดภายในหนึ่งวัน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรดื่มนมเปรี้ยวเป็นอาหารหลักควรดื่มเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ดี ที่สำคัญควรดูวันผลิตก่อนซื้อ และควรดูวันหมดอายุก่อนรับประทานเสมอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069996
ข้อมูลอ้างอิงจาก : วารสารฟ้าดัชมิลล์ ฉบับที่ 50

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10  ผลไม้ไทย  มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

4ff

ผลไม้ 10  อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร

2. มะขามเทศ

3. มังคุด

4. ลิ้นจี่

5. สาลี่

 10  อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่

2. ฝรั่งไร้เมล็ด

3. มะขามป้อม

4. มะขามเทศ

5. เงาะโรงเรียน

6. ลูกพลับ

7. สตรอเบอร์รี่

8. มะละกอสุก

9. ส้มโอขาว

10. แตงกวา

11. พุทราแอปเปิล

 การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง

2. มะขามเทศ

3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ

4. มะเขือเทศราชินี

5. มะม่วงเขียวเสวยสุก

6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

7. มะม่วงยายกล่ำสุก

8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู

9. สตรอเบอร์รี่

10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูง  คือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ บต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน  เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากมะเร็ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.herb4life.net/article/6/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87

ดัน “นวดไทย” ขึ้นเป็นมรดกวัฒนธรรมโลก หวังยกระดับสปาไทย

dd61

วันที่ 20 กรกฎาคม 2559  น.ต. นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สบส. ได้เร่งเดินหน้าดำเนินการผลักดันการสร้างเศรษฐกิจรายได้ประเทศจากบริการสุขภาพ ตามนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ หรือ เมดิคัลฮับ (Medical Hub)  โดยยกระดับบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพประเภทนวดไทยและสปาไทย ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก และเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ให้เป็นแบรนด์ หรือสัญลักษณ์ของประเทศไทย

สำหรับแนวคิดผลักดันให้นวดไทยเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างชื่อเสียงและคุณค่าแก่ภูมิปัญญาไทย เนื่องจากการนวดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาของไทยที่สืบทอดมายาวนานกว่า 600 ปี จนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ นวดแบบราชสำนัก และนวดแบบเชลยศักดิ์

น.ต. นพ.บุญเรือง กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, กระทรวงวัฒนธรรม, องค์กรยูเนสโก (UNESCO) ประจำประเทศไทย และภาคเอกชน ทุกหน่วยงานมีความเห็นตรงกัน และจะร่วมกันเร่งผลักดันตามขั้นตอน หากเป็นผลสำเร็จจะถือว่าเป็นมรดกชิ้นแรกของโลก ที่สามารถนำมาใช้ในการดูแลสุขภาพ

ขณะเดียวกันได้หารือกับกระทรวงแรงงาน ในการปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเติมอาชีพนวดไทยให้เป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย เพื่อรักษาคุณภาพ มาตรฐาน เอกลักษณ์ และชื่อเสียงของการนวดไทย ซึ่งเปรียบเสมือนรสสัมผัสที่สามารถรับรู้ผ่านการนวดโดยฝีมือคนไทยเท่านั้น

————————————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kapook.com

10 อาชีพที่น่าแนะนำเยาวชนว่าเรียนแล้วมีอนาคตสดใส

10 อาชีพที่น่าจะรายได้ดี และมีโอกาสได้งานทำสูง
ในยุคอินดัสทรี (Industry) 4.0

ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้ข้อมูลอาชีพในอนาคต ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย 10 อันดับ ได้แก่

1. อาชีพเขียนโปรแกรมเมอร์  (Programmer)
ผู้ที่คิดค้นแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ตามเทรนด์สังคมโลกเปลี่ยนผ่าน
จาก analog สู่ digital จากกดปุ่มเป็นจอสัมผัส
และไปสู่อินดัสทรี 4.0 ที่มีดิจิตอลเป็นหัวใจ

2.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับความสวย ความงาม (Beauty)
ผู้รับทำให้ผู้คนสวยงาม ได้แก่ แพทย์ศัลยกรรม แพทย์ผิวหนัง ทันตแพทย์ เภสัชกร พนักงานขายสินค้าด้านความงาม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับหญิงและชาย ซึ่งในไทยเป็นที่นิยมอย่างมาก

3.อาชีพดูแลด้านสุขภาพ (Health)
ครอบคลุมตั้งแต่เด็กถึงวัยชรา เทรนด์นี้ทั้งโลกให้ความสำคัญ โดยเฉพาะไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อยากมีอายุยืนยาวขึ้น ยอมจ่ายเเพื่อตรวจสุขภาพประจำปีกับโรงพยาบาล รับประทานอาหารที่เน้นดูแลตัวเอง และธุรกิจฟิตเนส เทรนเนอร์ จะได้รับความนิยม

4.อาชีพที่เรียนด้านวิทยาศาสตร์เคมี ชีวเคมี  (Science)
ผู้ที่เรียนทางวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันมีการใช้สารเคมีที่มาจากธรรมชาติ จากพืช อาทิ การใช้พลาสติกจากชานอ้อย บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ผลิตจากพืชจะได้รับความนิยม เพราะโลกจะให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม

5.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (Energy)
ผู้ที่มีความรู้เรื่องพลังงาน พลังงานทดแทน การดูแลสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีบทบาทในชีวิตประจำวัน

พลังงานทดแทน
พลังงานทดแทน

6.อาชีพที่มีความชำนาญด้านเครื่องกลขั้นสูง (Mechanical specialist)
ผู้ที่จะเป็นกลไกสำคัญพาประเทศปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

7.อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา (Language)
ผู้ที่มีความรู้ในภาษา มีทักษะทั้งการพูด การเขียน การคิดสโลแกน ถ้อยคำ ภาษาสำคัญ คือ อังกฤษและจีน ที่ใช้ทั่วโลก และภาษาอารบิกสำหรับชาวมุสลิมที่กระจายอยู่ทั่วโลก รวมถึงภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น

8.อาชีพนักกฎหมายธุรกิจ (Law)
นักกฎหมายที่มีความรู้เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ

9.อาชีพที่ดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment)
ผู้มีความรู้เรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูธรรมชาติ

10.  อาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (Pet)
อาชีพสัตวแพทย์ ผู้ผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์เลี้ยง ร้านขายอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง แฟชั่นสัตว์เลี้ยง และการผลิตอาหารสัตว์

อาชีพทั้งหมดนี้ประเมินจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่มีระบบดิจิตอลเป็นหัวใจสำคัญ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากโรบอติก เชื่อมโยงโลก ต้องการแรงงานทักษะ แต่ลดการใช้แรงงานทั่วไป การเปลี่ยนของโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศที่เกิดขึ้น “อรรชกา สีบุญเรือง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แสดงความเห็นว่า ต่อไปประเทศไทยต้องก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมากขึ้น ทำให้ความต้องการแรงงานทั่วไปลดลง แต่ต้องการแรงงานที่มีทักษะสูง โดยขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคเอกชน ได้หารือร่วมกัน เพื่อปรับหลักเกณฑ์การเรียนการสอนให้นักศึกษาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานของภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวยังมั่นใจว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเห็นภาพการเปลี่ยนแปลง คือ ความต้องการแรงงานที่ต้องใช้ทักษะอาชีพที่มีความเชี่ยวชาญขึ้น แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบจนเลิกจ้างงาน หรืออัตราการว่างงานเพิ่มมากขึ้น เพราะตอนนี้แรงงานในภาคบริการยังขาดอยู่มาก อาทิ ภาคท่องเที่ยว ซึ่งอัตราการขยายตัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาจมีการโยกแรงงานจากอุตสาหกรรมการผลิต เข้าสู่อุตสาหกรรมภาคบริการเพิ่มขึ้น แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะเตือนให้รับมืออนาคต แต่ที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน คือนโยบายลดพนักงานลงแบบสมัครใจออก ของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ที่จัดโครงการ “จากกันด้วยใจ” โดยเป็นพนักงานในส่วนของการรับเหมาค่าแรง (ซับคอนแทร็กต์) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,000 คน สาเหตุที่โตโยต้าปรับลดพนักงาน บริษัทให้ข้อมูลว่า เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงชะลอตัว ประกอบกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องปรับลดกำลังการผลิตลง และมีพนักงานเกินความจำเป็นในการผลิต แต่ยืนยันว่าหากกำลังผลิตกลับมาปกติจะกลับมาจ้างงานกลุ่มที่ลาออกแน่นอน แม้จะเป็นการจากลาแบบ “สมยอม” แต่ลึกๆ ในกลุ่มแรงงานเองต่างหวาดหวั่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งหวาดหวั่นกับสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวจนบริษัทใหญ่ต้องลดพนักงาน เกิดการตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า จริงๆ แล้วเศรษฐกิจไทยกำลังดี หรือชะลอตัว เพราะในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี เพิ่งประกาศกับนักลงทุนญี่ปุ่นภายในการประชุมแบงค็อก นิกเกอิ ฟอรั่ม 2559 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตดี โดยเฉพาะไตรมาส 2 มากกว่า 3% อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลบ่งชี้สถานการณ์การจ้างงานของไทย เปิดเผยโดยกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ตัวเลขการว่างงานของไทยช่วง 3 เดือนของปีนี้ พบว่าเดือนเมษายน มีตัวเลขผู้ว่างงาน 1% เดือนพฤษภาคม 1.2% และเดือนมิถุนายน 1% โดยกระทรวงแรงงานยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวอยู่ในภาวะปกติ แต่หลายคนก็มองว่าตัวเลขการว่างงานดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องปกตินักเพราะสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เอง ก็กำลังจับตาการจ้าง 5 เดือนแรกของปีนี้ ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม พบว่า มีอัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 385,682 คน จากกำลังแรงงานทั้งหมด 38.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 1.07% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 0.93% นอกจากนี้ สำนักเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ยังให้ข้อมูลว่าแนวโน้มการจ้างงานในปี 2559 จะมีบัณฑิตจบใหม่ 100,000 คน และ 1 ใน 4 อาจไม่มีงานทำ แม้สถานการณ์จ้างงานจะไม่สู้ดีนัก แต่ถ้ารู้จักรับมือและมองเทรนด์โลกให้ออก เชื่อว่าไม่มีคำว่า “ตกงาน” แน่นอน

 

ที่มา คอลัมน์ เศรษฐกิจ
มติชนสุดสัปดาห์ หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์
วันที่: 23 ก.ค. 59 เวลา: 07:46 น.

 

อ้างอิง http://www.matichon.co.th/news/220863
อ้างอิง  http://www.kroobannok.com/article-79488-10-อาชีพในอนาคต-ที่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูงในไทย.html
ข้อมูลเพิ่มเติม

แรงงานเชี่ยวชาญ

             การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 เมื่อ 7 ตุลาคม 2546 ที่บาหลี อินโดนีเซีย ได้กำหนดจัดทำข้อตกลงร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) เกี่ยวกับคุณสมบัติของวิชาชีพหลัก แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี โดยจะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2558

ในเบื้องต้นได้ทำข้อตกลงร่วมกันแล้ว 7 สาขา

    1. วิศวกรรม (Engineering Services)
    2. พยาบาล (Nursing Services)
    3. สถาปัตยกรรม (Architectural Services)
    4. การสำรวจ (Surveying Qualifications)
    5. แพทย์ (Medical Practitioners)
    6. ทันตแพทย์ (Dental Practitioners)
    7. บัญชี (Accountancy Services)
แรงงานเชี่ยวชาญ
แรงงานเชี่ยวชาญ

http://www.thaiall.com/asean/

จับตาแบงค์แห่ปิดสาขา

Bankomaty-v-Thajsku

รายงานข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ได้ปรับแผนธุรกิจใหม่ โดยไม่เปิดสาขาใหม่ และทยอยปิดสาขาเดิมลง เพื่อลดค่าใช้จ่าย จากกระแสการใช้บริการทางการเงิน ด้วยระบบดิจิทัลที่กำลังมาแรง พร้อมกันนี้ ได้หันมาลงทุนพัฒนาช่องทางบริการทางดิจิทัล เพื่อให้บริการลูกค้าแทน รวมทั้ง ลด โยกย้ายพนักงานประจำสาขาไปทำหน้าที่อื่น ซึ่งสอดคล้องกับแผนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ผ่อนปรนการเปิดสาขา จากเดิมเป็นสาขาเต็มรูปแบบ ให้ปรับเปลี่ยนเป็นสาขาให้บริการเฉพาะทาง เช่น ให้บริการสินเชื่อ หรือรับเงินฝากเพียงอย่างเดียวได้ เพื่อช่วยลดต้นทุน

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า  ธนาคารได้ปรับตัวรองรับช่องทางการให้บริการผ่านอิเล็กทรอนิกส์ โดยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้ลดสาขาจาก 163 แห่ง เหลือ 96 แห่ง และผนปีนี้มีแผนที่จะลดลงอีกให้เหลือ 80 กว่าสาขา ส่วนของพนักงานสาขานั้น ยันยันว่าไม่มีนโยบายปรับลด แต่จะย้ายไปทำงานอื่น เช่น งานด้านสินเชื่อ วางแผนการเงิน และให้คำปรึกษาการลงทุนให้ลูกค้า

ส่วนผลกระทบจากการเปิดบริการพร้อมเพย์นั้น จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมการโอนเงินลดลงไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท ประเมินคร่าวๆ จากบัญชีที่มีธุรกรรมการโอนเงิน 30 ล้านบัญชี โอนอย่างต่ำเดือนละ 1 ครั้ง หรือปีละ 360 ล้านครั้ง ค่าธรรมเนียมการโอนครั้งละ 25 บาท คิดเป็นเงินรวม 9,000 ล้านบาท แต่มีบัญชีที่โอนต่อเดือนมากว่า 1 ครั้ง เชื่อว่าเบ็ดเสร็จแล้ว รายได้ค่าธรรมเนียมการโอนเงินของธนาคารที่หายไปปีละ 10,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่จะได้รับระยะยาว คือต้นทุนการบริหารเงินสดที่ลดลง

————————ข่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dailynews.co.th/economic/508575

 

ใครว่าดื่มเหล้า…ดื่มเบียร์แล้วไม่มีประโยชน์

images1
ใครๆ  ก็บอกว่ากินเหล้าเบียร์นั้นไม่มีประโยชน์แต่จริงๆ มันมีประโยชน์อยู่ในตัวของมันนะ
แต่ต้องดื่มให้พอเหมาะพอควรไม่ใช่ดื่มหนักจนลืมโลกไปเลย.
มาดูประโยชน์ของเหล้าเบียร์กันเลยดีกว่า
1.ประโยชน์ต่อหัวใจ คุณดื่มนิดหน่อยนะมันช่วยลดการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ลดการดื้อต่ออินซูลิน จึงช่วยป้องกันโลกหัวใจสำหรับคนที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจได้ 
2.ประโยชน์ต่อสมอง ดื่มแค่สัปดาห์ละ 1-6 แก้ว จะช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์และความจำเสื่อมได้ ลดการอุดตันในเส้นเลือด เพราะแอลกอฮอร์ทำให้เลือดสูบฉีดดี 
3.ประโยช์ต่อกระดูก ดื่มนิดหน่อย ช่วยสะสมแคลเซียมและธาตุอื่น ๆในกระดูก ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก ป้องกันกระดูกแตกหัก
4.ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน  ถ้าดื่มนิดหน่อย ถึงปานกลางจะช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานได้ 36% 
5.ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ถ้าดื่มนิดหน่อย ไวน์แดงและเบียร์ดำ ป้องกันมะเร็งได้ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ปริมาณการดื่มที่เหมาะสม

ปริมาณ standard drink (1 ดริ๊ง) คือเท่าไหร่ ?  ขึ้นกับความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ ซึ่งโดยทั่วไปคือ
* วิสกี้ บรั่นดี 1 ดริ๊งก์ คือ 45 ซีซี หรือ 1.5 ออนซ์ (4.5 ฝาสูง)
– ไวน์ 1 ดริ๊งก์ คือ 150 ซีซี หรือ 5 ออนซ์ (ประมาณ 1/5 ขวด)
– เบียร์ 1 ดริ๊งก์ คือ 360 ซีซี หรือ 12 ออนซ์ (ประมาณ 1 กระป๋องเล็ก)
* ปริมาณเหล้าที่ยังไม่ผสม

——   ปริมาณการดื่มที่แนะนำต่อไปนี้ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีที่เลือกจะดื่มแอลกอฮอล์ และไม่มีข้อห้าม    ——

ปริมาณการดื่มที่เหมาะสมหรือดื่มพอประมาณ (moderate drinking) คือเท่าไหร่ ? หากท่านเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์ ปริมาณที่เหมาะสมซึ่งมีผลดีต่อไขมันและหลอดเลือดของร่างกาย และลดความดันโลหิตได้คือวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง (และผู้ชายที่น้ำหนักน้อยกว่า 60 กก.) และ 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย

ดื่มมากแค่ไหน ที่เรียกว่าดื่มหนัก (heavy drinking) ?  คือดื่มมากกว่าวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และ มากกว่า 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย

ดื่มมากแค่ไหน ที่เรียกว่าดื่มมากเกินไปหรือดื่มหัวราน้ำ (binge drinking) ?  คือดื่มมากจนระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสูงกว่า 80 mg% โดยทั่วไปเป็นการดื่มที่มากกว่า 4 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และ มากกว่า 5 ดริ๊งสำหรับผู้ชายใน 1 ครั้ง (ภายในประมาณ 2 ชั่วโมง)

ถ้าดื่มแอลกอฮอล์แล้วต้องการให้ผ่านด่านเป่าของตำรวจได้ จะดื่มอย่างไรตามประกาศกฎกระทรวงมหาดไทยฉบับที่ 16/2537 กำหนดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดสำหรับผู้ขับขี่ไม่ให้เกิน 50 mg% ผู้ฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และการวิจัยในคนไทยพบว่าการดื่มพอประมาณ (moderate drinking) มักจะทำให้ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 mg% แต่การดื่มแอลกอฮอล์มักมีแอลกอฮอล์ค้างอยู่ในปาก 15-20 นาที ซึ่งทำให้ระดับแอลกอฮอล์สูงกว่าความเป็นจริงในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ดังนั้นควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าก่อน เพื่อกำจัดแอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในปาก

ดื่มแอลกอฮอล์อย่างไรให้ปลอดภัย ?

  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์หากมีข้อห้ามด้านสุขภาพ สังคม หรือด้านกฏหมาย
  • หากกำลังตั้งครรภ์หรือจะตั้งครรภ์ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา ทำให้ลูกมีหน้าต่างผิดปกติได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มในขณะท้องว่าง ควรดื่มคู่กับมื้ออาหารหรือหลังอาหาร เพื่อชะลอการดูดซึมของแอลกอฮอล์ และควรดื่มอย่างช้าๆ ค่อยๆจิบ
  • จำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อไม่ให้สูญเสียการควบคุมตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
  • ผู้ที่ทำงานกับเครื่องจักร เครื่องกล หรือขับขี่ยานพาหนะ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุราโดยสิ้นเชิง

ข้อเสียของการดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เป็น alcoholism และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ตับแข็ง มะเร็งคอหอย มะเร็งกระเพาะ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งเต้านม ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ และโรคขาดวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ซึ่งเพิ่มอัตราการเสียชีวิต

—————–
ขอขอบคุณข้อมูลจาก   http://www.247friend.net/blog/oldman/2013/09/03/entry-1

http://bicrestaurant.com/media/bic-menu-alcohol.php

 

สุดยอดปลาน้ำจืด…มีโอเมก้า3 มากกว่าปลาทะเลแพงๆ

Lates calcarifer

“ปลาสวาย” เป็นปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า 3   สูงถึง 2,570 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100  กรัม   มากกว่าปลาทะเล อย่างปลาแซลมอนที่มีโอเมก้า 3 ราว ๆ 1,000-1,700   มิลลิกรัมเท่านั้น   ทำให้เราไม่ต้องไปซื้อปลาทะเลแพงๆ  รับประทาน เราก็ได้กรดไขมันโอเมก้า 3 ได้เหมือนกัน

โดยส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่า “โอเมก้า 3” เราก็มักจะนึกถึงกรดไขมันชั้นดีที่มีอยู่ในปลาทะเล อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราต์ ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล ซึ่งปลาเหล่านี้เป็นปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยมีใครนึกถึงปลาน้ำจืดของไทย ว่าจริงๆแล้วก็มีปลาบางชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงไม่แพ้ปลาทะเลจากเมืองนอกเลย

นอกจากนี้ปลาช่อน   ยังมีโอเมก้า3 สูง ถึง 870 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม   รวมทั้งปลากะพงขาว  มีโอเมก้า3   ประมาณ 310 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม   และที่สำคัญหาซื้อง่าย แถมราคายังถูกกว่าปลาทะเลน้ำลึกอีกด้วย

โอเมก้า3 มีดีอย่างไรต่อร่างกาย

ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะโอเมก้า 3 จะช่วยป้องกันการสะสมของไขมันอิ่มตัว หรือคอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดอุดตัน บำรุงสมอง เพราะกรดไขมัน DHA ในโอเมก้า3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองในส่วนความจำ การเรียนรู้ ความสามารถของสมอง อารมณ์ และพฤติกรรม

ประโยชน์ของ Omega-3

  1. ผิวสวยหน้าใส สมองสดใส หัวใจแข็งแรง

กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็น แต่ไม่สามารถสร้างเองได้ภายในร่างกาย ดังนั้นจำเป็นต้องรับจากการบริโภคอาหารเท่านั้น และแทบทุกระบบการทำงานภายในร่างกาย จำเป็นที่จะต้องใช้ประโยชน์จากกรดไขมันจำเป็น ทั้งนั้น อาทิเช่น
– ระบบหลอดเลือดหัวใจ(ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน และ โรคอัมพาต)
– ระบบประสาท(ช่วยเพิ่มความจำ)
– สายตา(ช่วยในการมองเห็น)
– ระบบภูมิคุ้มกัน(ลดอาการภูมิแพ้)
– ระบบไหลเวียนโลหิต
– ระบบสืบพันธุ์
– ระบบข้อกระดูก

นอกจากนี้แล้วกรดไขมัน Omega-3 ยังมีคุณสมบัติ ต่อต้านการอักเสบ(ช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ) และที่สำคัญที่สุด กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยให้ผิวเปล่งประกายและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื้นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน จึงส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์และสดใส ทั้งนี้หากมีการรัปทานร่วมกับ วิตามินเอ ดี และอี จะยิ่งช่วยปกป้องการเกิดสิว ไม่ว่าจะเป็น สิวหัวขาวและหัวดำ

  1. ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด

ในปัจจุบัน น้ำมันปลาถูกนำมาใช้ในการช่วย ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด โดยที่กรดไขมันโอเมก้า-3 จะเข้าไปอยู่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ ของเกล็ดเลือดเม็ดเลือดแดง ตับ และอื่นๆ อีก ส่งผลให้การจับตัวของเกล็ดเลือดลดลง พร้อมทั้งมีการสร้างสาร ที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดี

  1. Omega 3มีประโยชน์ต่อสตรีมีครรภ์

กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DHA มีความสำคัญในการพัฒนาและการทำหน้าที่ของระบบประสาท ระบบสายตา และระบบสมอง ของทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด และในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอดแล้ว ดังนั้น มารดาของทารกที่เสริมกรดไขมันโอเมก้า 3 จะเป็นทางเดียวที่จะทำให้ ทารกในครรภ์ได้รับกรดไขมันจำเป็นไปด้วย (ทั้งนี้ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ โดยควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง)

  1. โอเมก้า3 มีประโยชน์สำหรับเด็ก

น้ำมันปลาโอเมก้า 3 มีประโยชน์อย่างมากมายในการช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น ช่วยพัฒนาการทำงานของสมองและจิตใจ เพิ่มสมาธิ ความจำระยะสั้นและ ทักษะในการอ่าน นอกเหนือจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปกป้องกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ ควรจะได้รับปริมาณโอเมก้า 3 ในระดับสมดุลกับอาหารของพวกเขา

  1. จุดเด่นของ Omega-3 มีคุณสมบัติป้องกันและรักษา
          – ช่วยลดระดับคอเลสเตอร์รอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ ที่เป็นอันตราย ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน และเส้นเลือดในสมองแตก
    – ลดความหนืดของเกร็ดเลือด และลดปริมาณสารไฟบรินในเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในกระแสเลือด
    – ช่วยป้องกันอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
    – ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันมะเร็งเต้านม
    – ช่วยลดบรรเทาอาการคันและแห้งของโรคสะเก็ดเงิน
    – ลดการต้านเนื้อเยื่อที่ปลูกถ่าย ในผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
    – ช่วยในการลดความถี่และความรุนแรงของโรคปวดศรีษะไมเกรน
    – ช่วยให้ผิว ผม และเล็บมีสุขภาพดี
    – ช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงแข็ง
    – ต่อต้านผลร้ายจากสารผโพรสตาแกลนดิน (ลดภูมิต้านทานและเพิ่มการเติบโตของเนื้องอก)
    – ช่วยบรรเทาอาการโรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์

** สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นคูมาดินหรือเฮปาริน ไม่ควรรับประทานโอเมก้า3 นอกจากแพทย์แนะนำ

—————————–

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/Content/27573-‘%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2’%20%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%203%20%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%20.html

http://www.ihealthyplusshop.com/article/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2-3-omega-3

อาหารเร่งความแก่ ไม่อยากแก่เร็วเลี่ยงซะ

 

แก่ก่อนวัย คงไม่มีใครอยากได้คำคำนี้ค่ะ  อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสุขภาพดีตามวัย หรืออ่อนกว่าไว  หันมาใส่ใจดูสุขภาพกันด้วยการรับประทานอาหารค่ะ   6  อย่างต่อไปนี้ เลี่ยงได้ควรเลี่ยงค่ะ

pic5152ac7fc6ad2

1.อาหารที่มีไขมันสูง  นอกจากจะทำให้น้ำหนักมาก รูปร่างอ้วนไม่สวยแล้ว ยังเร่งความแก่ได้อีกด้วย

Composition with bottles of assorted alcoholic products isolated on white

2.  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันตรายล้นหลามทีเดียวกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแย่แล้ว ยังทำให้ผิวหนังเหี่ยว แก่ไวขึ้นถึง 70%

Depositphotos_19385249_s

 3.  เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ถ้าไม่อยากแก่ไวก็ควรลดชา กาแฟให้น้อยลง เพราะคาเฟอีนที่ผสมอยู่มีผลต่อผิวหนังของเรา อาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวไวได้

md
 4.  อาหารหมักดองและอาหารปนเปื้อนสารพิษ การรับประทานอาหารจำพวกนี้จะทำให้ร่างกายสะยมสารพิษเอาไว้ ถ้าไม่หมั่นดีท็อกซ์ร่างกายบ่อยๆก็เตรียมตัวแก่ไวได้เลยจ้า

cdeilntvw269
5. อาหารปิ้งย่างที่เกรียมไหม้ ไม่ใช่แค่จะทำให้เป็นมะเร็งอย่างเดียวนะ อาหารที่เกรียมไหม้ยังทำให้แก่ไวอีกด้วย

1299571258
6. อาหารทอดจากน้ำมันเก่า ตัวสะสมเชื้อก่อโรคมะเร็งและยังทำให้แก่ก่อนวัยอันควร

อาหารชนิดไหนที่หลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร เพื่อสุขภาพที่ดีและจะได้ไม่แก่กว่าวัยด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://newsupdate.thaiautocars.com/2016/04/6_7.html