“มะระ” ไม่กินไม่ได้แล้ว

bb1

เมื่อพูดถึงผักอย่าง “มะระ” ใคร ๆ ที่เคยได้ลิ้มลองคงนึกถึงรสชาติของความขมปร่าที่ลิ้นขึ้นมาได้ทันที แต่ประโยชน์ของมะระ มีมากมายเลยนะค่ะ

1. ช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือด

มะระจะช่วยลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเนื่องจากมีการเผาผลาญกลูโคสมากขึ้น ควรดื่มน้ำมะระทุกวันๆละ 1 แก้ว หรือถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอาหารก็ควรปรึกษาแพทย์ หยุดดื่มหากคุณมีอาการปวดช่องท้อง ท้องเสีย หรือมีไข้ ที่สำคัญหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในกระแสเลือดและปรับเปลี่ยนการใช้ยาเมื่อจำเป็นโดยมีแพทย์คอยให้คำปรึกษา

2. สลายก้อนนิ่วในไต

มะระสามารถสลายก้อนนิ่วในไตได้โดยธรรมชาติ นอกจากนี้ยังช่วยลดกรดที่ทำให้เกิดก้อนนิ่วได้อีกด้วย หากผสมมะระผงกับน้ำก็จะกลายเป็นชาที่ดีต่อสุขภาพ และที่น่าทึ่งคือเราไม่ต้องเติมความหวานเพิ่มลงไปอีกด้วย

3. ลดระดับคลอเรสเตอรอล

ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

หมายเหตุ : ระดับคลอเรสเตอรอลสูงสามารถวินิจฉัยได้จากผลตรวจเลือดเท่านั้น

6. ลดน้ำหนัก

มะระเป็นผักที่มีแคลอรี่ต่ำและเนื้อเยอะมากไม่ต่างจากผักส่วนใหญ่ เนื่องจากมะระมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากจึงมีประโยชน์มหาศาลในการลดน้ำหนักและบำรุงร่างกาย

7. ล้างพิษตับ

น้ำมะระจะช่วยในเรื่องการย่อยอาหาร ปรับปรุงการทำงานของถุงน้ำดี และลดอาการบวมน้ำ โรคตับแข็ง โรคตับอักเสบ และอาการท้องผูกก็สามารถบรรเทาลงได้ด้วยน้ำมะระ การดื่มน้ำมะระอย่างน้อยวันละครั้งจะช่วยในเรื่องลดน้ำหนักและบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวน

8. ย่อยคาร์โบไฮเดรต

นี่คือคุณประโยชน์สำคัญสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานประเภท 2 โดยคาร์โบไฮเดรตจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและมะระก็จะเผาผลาญน้ำตาลอีกที ยิ่งคาร์โบไฮเดรตได้รับการเผาผลาญเร็วเท่าไรก็หมายความว่าไขมันจะถูกเก็บไว้ในร่างกายของเราน้อยลงและทำให้น้ำหนักลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้การย่อยคาร์โบไฮเดรตอย่างเหมาะสมจะช่วยในเรื่องการพัฒนาและเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ

9. แหล่งวิตามินเค

วิตามินเคมีประโยชน์ในเรื่องการเสริมสร้างกระดูก ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และมีสรรพคุณต้านการอักเสบ อาการเจ็บปวดและอักเสบจากโรคไขข้อก็ทุเลาลงได้ด้วยการบริโภควิตามินเค ซึ่งการรับประทานมะระสามารถช่วยคุณได้และที่สำคัญมะระยังเป็นแหล่งเส้นใยอาหารชั้นดีอีกด้วย

10. เพิ่มภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีมีความสำคัญในการกำจัดเชื้อโรคและการติดเชื้อที่อาจจะเกิดขึ้น การรับประทานมะระผัดสามารถช่วยในเรื่องสุขภาพของเราได้โดยการยับยั้งหรือป้องกันโรคหวัดได้ทันท่วงทีแถมดีต่อระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยังป้องกันการแพ้อาหารและการติดเชื้อยีสต์ตามธรรมชาติด้วย ประโยชน์อีกอย่างของมะระคือช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://issue247.com/health/benefits-of-bitter-melon/

เด็กเรียนวิทย์ต้องรู้ 10 อาชีพที่ไทยยังขาดแคลน

C261A

ส่วนใหญ่ยังเข้าใจแบบเดิมๆ ว่าการที่เรียนวิชาวิทย์-คณิตนั้นก็เพื่อจบมาจะต้องเป็นหมอ พยาบาล แต่รู้หรือไม่ว่า สาขาอื่นๆ ของวิทยาศาสตร์ที่คุณอาจไม่คุ้นหูนั้น สามารถจบมาเป็นนักวิจัย ทดลอง และพัฒนาสิ่งต่างๆ ในประเทศให้ดีอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ ที่บ้านเรายังขาดแคลนอยู่จำนวนมากจนต้องนำบุคลากรจากต่างประเทศเข้ามาแทน

องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ระบุว่า 10 อาชีพเหล่านั้นประกอบด้วย

  1.  นักคิดค้นยา หรือนักเคมีปรุงยา 

2.  นักธรณีวิทยาปิโตเลียม 

3.  นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร

4.  นักวิทยาศาสตร์ด้านเครื่องสำอาง

5.  นักนิติวิทยาศาสตร์

6.  นักปรับปรุงพันธุ์พืช

7.  นักออกแบบผลิตภัณฑ์

8.  นักวิศวกรชีวการแพทย์

9.  นักพัฒนาซอฟต์แวร์

10.  นักออกแบบและสร้างภาพเคลื่อนไหว

ข้อมูลจาก matichon

5 แนวคิดชีวิตเป็นสุข/Life and Family

happy1

“ความสุข”   ทุกคนย่อมแสวงหา มาดูกันค่ะ  แนวคิดที่ทำให้ชีวิตเป็นสุข

ทั้งนี้ 5 แนวคิดชีวิตเป็นสุขด้วยย่างก้าวแห่งสติ  ขั้นต่อไปนี้ เป็นวิถีที่ทุกคนควรมีใจที่ตั้งมั่น   เพื่อที่ว่าขณะที่ก้าวขึ้นไปในแต่ละขั้นนั้น เราจะไม่สะดุดหกล้ม จนต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กันอีกครั้ง

ก้าวแรก–เคารพและขอบคุณตนเอง

ก่อนที่เราจะก้าวไปหาความสุขและความสำเร็จจากภายนอก แรกเริ่มเราควรสำรวจตัวเองเสียก่อน รักตัวเองก่อนที่จะไปรักผู้อื่น รวมไปถึงการพิจารณาความดีความชอบที่เราเคยกระทำมา

-เมื่อมีโอกาสตื่นขึ้นมาพบเช้าวันใหม่ในทุกๆวัน สิ่งที่ไม่ควรลืมนั่นคือ การขอบคุณพ่อและแม่ และขอบคุณตัวเอง ที่ทำให้เรายังสามารถลืมตาตื่นขื้นมาได้ เพราะคนเราไม่สามรถรับรู้ได้เลยว่า วันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของเรา

-สานต่อความดีที่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ การไม่โกรธ และการให้อภัยเพื่อทุกคนในบ้าน รวมไปถึงเพื่อนมนุษย์ เพราะเชื่อเถอะว่า การให้มีความสุขมากกว่าการรับ

-มีความหวังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่าแช่งตัวเองและอย่าดูถูกตัวเองเป็นอันขาด เพราะไม่มีคนเก่งที่ประสบความสำเร็จคนไหน มีความสุขในชีวิตด้วยการดูถูกเหยียดหยามตนเอง

ก้าวที่สอง–ให้โอกาส ไม่คาดหวัง

หลังจากที่ไม่ดูถูกตัวเอง และขอบคุณตัวเองรวมไปถึงพ่อและแม่ในทุกๆวันแล้ว บทหนึ่งในพระคัมภีร์ของพระเยซูได้สอนไว้ว่า ‘จงเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ’

ดังนั้น เมื่อนิ้วมือทั้งสิบนิ้วยังไม่เท่ากัน คนแต่ละคนที่แตกต่างกันจึงนับเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ควรคาดหวังในตัวผู้อื่นมากเกินไป โดยเฉพาะพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน หัวเลี้ยวหัวต่อ หากคาดหวังเชิงบังคับเขา บางทีสิ่งเหล่านี้อาจกลับมาทำร้ายครอบครัวได้ไม่น้อย

ขณะเดียวกันหากสิ่งไหนที่พลาดไปแล้ว ของให้ระลึกอยู่เสมอว่า คนทุกคนมักอยากได้โอกาส ดังนั้น หากเราสามารถเป็น “ผู้ให้โอกาส” แล้วจะรู้ว่าความสุขในชีวิตจะสุขมากขึ้นหากเรารู้จักแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่คนอื่นด้วย

ก้าวที่3–ไม่มีวันพรุ่งนี้

การอยู่กับปัจจุบัน ไม่จมปรักกับอดีต ไม่เพ้อฝันกับอนาคต และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ทำเต็มความสามารถของตนเอง เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะไม่พลาดพลั้งในเรื่องง่ายๆ และคนรอบข้างเองก็จะพลอยสุขไปกับเราด้วย

แต่ที่สำคัญเรื่องอดีตที่ผ่านมานั้น อย่าให้มันกลับมาทำร้ายคุณและคนในครอบครัวเป็นอันขาด เพราะการที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่คอยทำร้ายจิตใจทุกคนในบ้านนั้น เท่ากับการสะกิดแผลที่ไม่มีวันตกสะเก็ด ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ทุกคนทุกข์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ก้าวที่ 4 —ล้มแล้วลุก

แม้ว่าจะเจอมรสุมในชีวิตหนักหนาสักเพียงใด ขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่า เมื่อล้มไปแล้ว เราต้องปัดเข่าแล้วลุกขึ้น อย่านั่งจมอยู่ตรงนั้น เพียงรอให้ใครสักคนยื่นมือมา เพราะตราบใดที่เรายังมีเรี่ยวแรง มีกำลังที่จะก้าวต่อไปด้วยสติ เราก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้อารมณ์และเสียงหัวเราะ กำลังใจจากคนรอบข้าง และความหวังที่ยังไม่หายไป จะเป็นยาชูกำลังที่ดีอีกขนานหนึ่งที่จะทำให้เราก้าวต่อไปพร้อมๆทุกคนอีกด้วย

ก้าวสุดท้าย–ปรับปรุงตัวเองเสมอ

ทุกคนในครอบครัว ควรยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน ขณะที่ในสังคมเอง ก็ควรหมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

ส่วนตนเองนั้น ก็ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

———————————-

ปิดท้ายด้วย พร 4 ประการของท่าน ว. วชิรเมธี เพื่อสร้างครอบครัวที่อ่อนแอจะมีภูมิต้านทานขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

อย่าเป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่าหลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง

กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก” คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส “จิตประภัสสร” ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี “แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข”

อย่ามัวแต่คิดริษยา

แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน” คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น “ไฟสุมขอน” (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี “แผ่เมตตา”

อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ “ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น” มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ส่วนความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ “อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน” และ”อยู่กับปัจจุบันให้เป็น” ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี “สติ” กำกับตลอดเวลา

อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

“ตัณหา” ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ

ธรรมชาติของตัณหา คือ “ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม” ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู

ส่วนคุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า “เกิดมาทำไม”

คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน” ตามหา ” แก่น ” ของชีวิตให้เจอ คำว่า “พอดี” คือถ้า “พอ” แล้วจะ”ดี” รู้จัก “พอ” จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

——————————————
ที่มา http://edunews.eduzones.com  ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ประโยชน์ของแตงกวา

bb1

“แตงกวา” คนไทยเรารู้จักกันดีค่ะ และ นิยมนำแตงกวามาวางประดับตกแต่งจาน บางคนก็ละเลยที่จะทาน แต่หารู้ไม่ ว่าสิ่งที่เรียกว่า “แตงกวา” นี้แหละ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายไม่น้อยเลย   มาดูประโยชน์ของแตงกวากันค่ะ

ประโยชน์ของแตงกวา

  1.  แตงกวา ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดอาการขาดน้ำ เพราะในตัวของมัน  มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 90%
  2.  ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ทั้งภายนอก และภายใน
  3.  แตงกวา สามารถล้างสารพิษที่มีอยู่ในร่างกายได้ และยังสามารถช่วย  ละลายก้อนแข็งที่อยู่ในไตได้ด้วย
  4.  แตงกวา อุดมไปด้วยวิตามินมากมาย ทั้ง A B C
  5.  แตงกวา ถือเป็นทรีตเม้นท์ที่ดีต่อสุขภาพผิว เพราะมี โพแทสเซียม  แมกนีเซียม และ ซิลิคอน
  6.  ช่วยลดการเกิดถุงใต้ตา และอาการตาบวม
  7.  ช่วยลดความดันโลหิต
  8.  ช่วยรักษาสมดุลในร่างกาย เช่นระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้ระบบ  ภูมิคุ้มกัน อยู่ในสภาพวะที่เหมาะสม
  9.  ช่วยในการขับถ่าย แก้อาการท้องผูก
  10.  ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก ด้วยการทำแตงกวาฝานแผ่นบางๆ อมไว้ที่  เพดานปากซักครึ่งนาที สารจากแตงกวา จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อัน  เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้
  11.  แตงกวา สามารถแก้อาการเมาค้างได้ ถ้ารู้ตัวว่าดื่มหนัก ก่อนนอนให้ลอง  กินแตงกวาฝานซักหน่อย สารอาหารที่อยู่ในแตงกวา จะทำให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่มีอาการปวดหัว
  12.  แตงกวา ทำให้ผม เล็บเงางาม และแข็งแรงขึ้น
  13.  ช่วยบำรุงระบบการย่อยอาหารในร่างกาย
  14.  สามารถลดไข้ได้
  15.  เสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
  16.  ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร สำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ
  17.  แก้อาการนอนไม่หลับ
  18.  มีสารต้านมะเร็ง
  19.  มีฤทธิ์ ช่วยในการขับปัสสาวะ
  20.  สามารถดื่มน้ำแตงกวา เพื่อแก้อาการเจ็บคอได้

ขอบคุณรูปภาพจาก: www.organiclifestylemagazine.com

ชาไข่มุก ชาเย็น กาแฟเย็น เครื่องดื่มซ่อนโรค

bb1

ในปัจจุบันกระแสความนิยมการบริโภคเครื่องดื่มชานมไข่มุก ของชาวไทยเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อนจึงไม่แปลกที่เครื่องดื่มแบบเย็นจะได้รับความสนใจมากเพียงนี้ แต่ในความอร่อยดื่มแล้วชื่นใจนั้น ใครบ้างว่าการดื่มชานมไข่มุกในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกาย อาจเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่จะตามมาในอนาคตได้

นักวิชาการเตือน ชาไข่มุก ชาเย็น กาแฟเย็น เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้อ้วน โดยเฉพาะวัยรุ่นนิยมกันมากบางคนดื่มวันละ 3 แก้ว ทำน้ำหนักพุ่งและมีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน ชานมไข่มุก 1 แก้ว มิได้มีเพียงแต่น้ำชาเท่านั้น แต่ยังมีน้ำเชื่อม ครีมเทียม และไข่มุกเพิ่มขึ้นมา

ข้อมูลทางโภชนาการระบุว่า ชานมไข่มุก 1 แก้ว ให้พลังงาน 240 – 360 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 45 – 62 กรัม, ไขมัน 0 – 14 กรัม, โปรตีน 0.4 – 2 กรัม) ความแตกต่างของพลังงานและสารอาหารขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเชื่อมและครีมเทียมที่ใส่ลงไป

โดย  ไข่มุก  ที่อยู่ในชานมไข่มุกนั้น ผลิตมาจากแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล โดยไข่มุก 30 กรัม ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ ซึ่งพลังงานที่ได้จากการดื่มชานมไข่มุกใกล้เคียงกับการรับประทานก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ 1 ชาม  ที่ให้พลังงาน 326 กิโลแคลอรี่ (คาร์โบไฮเดรต 41 กรัม, ไขมัน 8 กรัม, โปรตีน 21 กรัม) หรือเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลที่ได้รับจากชานมไข่มุกจะเท่ากับข้าว 3 – 4 ทัพพี

จริงอยู่ว่ามีการศึกษามากมายที่ระบุถึงประโยชน์ของการดื่มน้ำชาเพื่อสุขภาพ   แต่การดื่มชาคู่กับนมหรือน้ำตาลจะลดคุณสมบัติของชาในการต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น   น้ำตาลที่ใส่ในน้ำชายังถือเป็นสิ่งที่ให้พลังงานสูญเปล่า การดื่มน้ำตาลในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่อง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจและหลอดเลือดเหมือนกับการดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มประเภทชาเขียวพร้อมดื่มที่มีวางจำหน่ายทั่วไป นอกจากนี้ ครีมเทียมที่ใส่ลงในชานม ไขมันส่วนใหญ่จะผลิตจากไขมันปาล์มซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวสูง โดยเป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า การบริโภคกรดไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

ดังนั้น ควรลดปริมาณการบริโภคชานมไข่มุกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิด โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดได้นะคะ

ที่มา : http://www.lovefitt.com/healthy-fact/ชาเย็น-ชาเขียว-ชาไข่มุก-ทำวัยรุ่นลงพุง-ให้คุณหรือโทษ/

10 คาถาฝ่าวิกฤต เมื่อคุณรู้สึกไม่โอเค

164312_552000004734501_400x400

  1. เมื่อรู้สึกว่า กำลังจะสติแตก  ให้บอกตัวเองว่า
    ทุกปัญหามีทางออก แค่ยังหาไม่เจอ

(ยามภาวะวิกฤติ   การสูญเสียความมั่งคงทางกายและใจ เพราะการรู้สึกถูกคุกคามอย่างกระทันหัน ทำให้ตั้งสติได้ยาก สติไม่มี ปัญญาไม่เกิด จึงมองไม่เห็นทางออกของปัญหา)

วิธีคือ  ถ้ารู้ว่าเรากำลังจะเจอปัญหา  ให้ใช้เวลากับการเตรียมตัวและหาข้อมูล
ถ้ากำลังเผชิญกับปัญหา  หายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย  แล้วเตือนตัวเอง  เพื่อตั้งสติ

  1. เมื่อรู้สึกว่า ในหัวเต็มไปด้วยความคิด    ให้บอกตัวเองว่า
    อย่าคิดเองเออเอง

(ความเครียดทำให้เราฟังกันน้อยลง คิดเอาเองมากขึ้น)

วิธีคือ เดินออกไปพูดคุยกับคนใกล้ๆ คุณบ้าง  รับฟังความทุกข์ของเขาแทนการหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเอง )

  1. เมื่อรู้สึกว่า ยิ่งพูดยิ่งกังวล  ให้บอกตัวเองว่า จงเปลี่ยนคำพูด เป็นการกระทำ

วิธีคือ  มองหาโอกาสในการช่วยเหลือคนอื่น  เข้าร่วมกิจกรรม  เพราะการเอาใจใส่คนอื่นมากขึ้นจะให้ความทุกข์ของเราลดลง

  1. เมื่อรู้สึกว่า เราช่างโชคร้ายให้บอกตัวเองว่า ดูดีๆ โชคดีก็มีอยู่

(เวลาจิตตกเรามักมองทุกอย่างในแง่ลบ และคิดว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำเกินความเป็นจริง)

วิธีคือ  มองหาสิ่งดี ๆ ที่ง่ายที่สุด  ใกล้ตัวที่สุด  เช่น  เสียทรัพย์แต่โชคดีปลอดภัย , โชคดีที่เราไม่ป่วย, ถึงป่วยก็โชคดีที่เราไม่ตาย, โชคดีที่ยังได้ความช่วยเหลือ เป็นต้น

  1. เมื่อรู้สึกว่า โกรธ   ให้บอกตัวเองว่า  โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

(ในภาวะวิกฤต ทุกคนย่อมมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดโดยธรรมชาติ เกิดความกล้าในการพูด คิด หรือลงมือทำตามความต้องการของตนเอง จนอาจเกิดเป็นความขัดแย้งกับคนอื่นได้ง่าย)

วิธีคือ  ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่ทับถม  ออกไปทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ทำให้ได้ออกแรง  จำไว้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรในเวลาโกรธ  สุดท้ายมันจะกลายเป็นการทำร้ายตัวเองและคนรอบข้าง

  1. เมื่อรู้สึกว่า ท้อแท้ ให้บอกตัวเองว่า  เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

(ความท้อแท้เกิดขึ้นเมื่อเรามองไม่เห็นทางออกของปัญหา ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้สึกโดดเดี่ยว   ไร้จุดหมาย นี่คือสัญญาณของการขาดกำลังใจ)

วิธีคือ  เร่งสร้างกำลังใจโดย  คิดถึงสิ่งที่ทำให้รู้สึกมั่นคงเช่น   ความรักของคนในครอบครัว  ศรัทธาที่เคยยึดมั้น  เป้าหมายชีวิตที่มี

  1. เมื่อรู้สึกว่า  เหนื่อยล้า  ให้บอกตัวเองว่า เหนื่อยนัก ก็พักบ้าง

(เมื่อเราเจอวิกฤตไปสักระยะ สิ่งที่ต้องทำ เรื่องที่ต้องคิด ภาพที่ต้องเห็น เสียงที่ต้องได้ยิน อาจทำให้รู้สึกเหนื่อยกาย เหนื่อยใจซึ่งทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กัน)

วิธีคือ  สร้างความสงบ  เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายจากภายใน  โดยให้รู้สึกตัวไปกับลมหายใจเข้าออกช้า ๆ อย่างผ่อนคลาย

  1. เมื่อรู้สึกว่า  ได้เวลานอน

ให้บอกตัวเองว่า การนอนคือสิ่งสำคัญ

วิธีคือ  เข้านอนซะ  ถึงแม้ว่าจะนอนไม่หลับก็ให้นอนแผ่ในท่าที่สบาย  แล้วก็หลับตา จิตนาการถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย  หรือรู้สึกตัวอยู่กับลมหายใจไปเรื่อยๆ  จะหลับหรือไม่ก็ช่างมัน

  1. เมื่อรู้สึกว่า  ไม่มีอะไรทำ  ให้บอกตัวเองว่า บริหารร่างกายเข้าไว้ ให้ร่างกายแข็งแรง

(เมื่อพ้นช่วงชุลมุน ขนข้าวของอพยพกันแล้ว การอยู่ในบ้านที่ถูกตัดขาดหรือศูนย์อพยพ อาจทำให้กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราหายไป)

วิธีคือ  กายบริหารง่าย ๆ ตามสถานที่และเวลาที่เหมาะสม ประมาณ 30 นาที เพราะการไหลเวียนเลือดที่ดีจะทำให้สมองมีพลังและดีต่อการคิดตัดสินใจ

  1. เมื่อรู้สึกว่า  มีอะไรต้องทำมากมาย  ให้บอกตัวเองว่า เราทำทุกอย่างไม่ได้ แต่เลือกทำสิ่งที่สำคัญได้

(การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา อาจทำให้รู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องคิด ต้องทำมากมาย)

วิธีคือ  เอากระดาษกับปากกามาจด  แยกระหว่าง  สิ่งสำคัญที่รีบด่วน  กับสิ่งสำคัญไม่รีบด่วน  แล้วค่อยๆ ลงมือทำ

 

———–  ข้อมูลจาก http://www.earnpiyada.com/10kata-fightflood.htm

โดย พ.. พิยะดา หาชัยภูมิ ดัดแปลงจากเอกสารกรมสุขภาพจิต โดย นายแพทย์ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล

 

 

ระวัง! ฉีดผิวขาว… สวยไว แต่ตายผ่อนส่ง

ข้อมูล : ผิวขาวขึ้นจริง แต่ตายไวขึ้น
เป็นกระแสสังคม และรสนิยมของคนยุคนี้ แล้วเราจะตามกระแสกันไหม

closeup portrait woman with ideal skin holding botox injection with shining needle

พูดถึงเทรนด์ผิวขาวคงต้องนึกถึงเทรนด์การฉีดผิวขาวที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นสาวๆ ที่อยากจะมีผิวขาวใสเหมือนดาราเกาหลี ด้วยกระแสสังคมและรสนิยมของคนยุคนี้ ทำให้ธุรกิจเสริมความงามเกี่ยวกับผิวพรรณเติบโตกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฉีดผิวด้วยกลูต้าและวิตามินซี” เพื่อให้ขาวใสในไม่กี่สัปดาห์ โดยใครจะทราบว่าการฉีดผิวขาวมีอันตรายกว่าที่คิด

การฉีดผิวขาวเป็นอย่างไร? อันตรายไหม?

การฉีดผิวขาวที่นิยมฉีดหลักๆคือ ‘กลูตาไธโอน’ สารสกัดที่ได้โดยบังเอิญจากกระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเมื่อฉีดยาดังกล่าวให้ผู้ป่วยแล้วพบว่าผิวของผู้ป่วยขาวขึ้นจากปกติ ทำให้พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าได้นำผลข้างเคียงของยานี้มาโฆษณาชวนเชื่อสำหรับสาว ๆ รวมไปถึงหนุ่ม ๆ บางคนที่อยากมีผิวขาวใสว่าฉีดผิวด้วยกลูต้าทำให้ขาวได้จริง

อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของกลูต้าไธโอนนั้น เป็นสารที่มีความไม่คงตัว สามารถสลายได้ง่ายมาก หากจะใช้ให้ขาวต้องใช้เป็นเวลานานและสม่ำเสมอ ในกรณีที่ต้องการให้ผิวขาวด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือดดำนั้น ต้องฉีดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่าอันตรายมากเพราะสามารถทำให้เกิดอาการตาพร่า เนื่องจากกลูต้าเป็นสารที่สามารถลดประมาณเม็ดสีภายในร่างกาย โดยเม็ดสีที่ว่านี้รวมทั้งสีผิวและสีตา ดังนั้นหากผิวหนังมีสีอ่อนลง สีตาก็อ่อนลงเช่นกัน เมื่อสีตาอ่อนลงก็จะสู้แสงได้น้อยลง และหากดวงตาสัมผัสกับแดดหรือแสงจากจอโทรศัพท์มือถือ ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอาการตาบอดในที่สุด

การฉีดผิวด้วยวิตามินซี ช่วยผิวขาวจริงหรือ?

นอกจากกลูตาไธโอนแล้ว ก็ยังมีสารอีกชนิดหนึ่งที่นิยมฉีดและรับประทานเพื่อความขาว นั่นก็คือ ‘วิตามินซี’ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าสามารถช่วยเรื่องหวัดและทำให้ผิวขาวใส แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่มีวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการใดที่ระบุว่าวิตามินซีส่งผลต่อสีผิว หรือแม้แต่ในเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันหวัดก็อยู่ในระดับ Possibly effective หรือระดับที่ ‘อาจจะ’ ป้องกันได้เท่านั้น ซึ่งการใช้วิตามินซีที่ถูกต้องคือ การใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันและลักปิดลักเปิดในผู้ป่วยที่ขาดวิตามินซีเท่านั้น

ถึงกระนั้นความเชื่อเรื่องการฉีดผิวขาวด้วยกลูตาไธโอนและวิตามินซีก็ยังคงอยู่กับคนไทยมาจนปัจจุบัน จนบางคลินิกถึงขั้นฉีดกลูต้าและวิตามินซีในคราวเดียวกันเพื่อให้เห็นผลเร็ว และฉีดด้วยความเข้มข้นสูงเพื่อให้ขาวถาวร ส่วนใหญ่อยู่ที่อาทิตย์ละสองครั้งซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้หากเกิดกับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงจะทำให้เกิดการเวียนศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อสั่น หายใจติดขัด ประสาทหลอนและอาจช็อกจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าการฉีดผิวขาวนั้นก่อให้เกิดอันตรายกว่าที่คิด อีกทั้งประสิทธิภาพเรื่องความขาวก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อใดการันตีว่าจะขาวได้ถาวร เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย กล่าวคือในการฉีดผิวขาวแต่ละครั้งนอกจากเจ็บตัวแล้ว เสียเงิน เสียสุขภาพแล้วยังต้องลุ้นกับผลลัพธ์ความขาวหลังฉีดอีกด้วย ทราบแบบนี้แล้วก่อนจะตัดสินใจฉีดผิวขาวก็คงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนว่า ความขาวเพียงชั่วคราวแลกกับสุขภาพและชีวิตคุ้มกันแล้วหรือยัง

ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา: http://sukkaphap-d.com

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การมีผิวขาว
– กรณีตัวอย่างปัญหาแพ้สาร http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1470569859

ยากิน ยาฉีด ยาทา

This is Hoax : “หนุ่มจอดรถจับ Pokemon GO จนเกิดอุบัติเหตุชนยับ”

มีเพื่อนทักเข้ามาว่าภาพข่าวนี้เป็น ข่าวปลอม หรือ Hoax
ตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่าเป็น ข่าวปลอม
แต่ข่าวนี้ดี เพราะทำให้การขับยวดยานพาหนะต้องเพิ่มความระมัดระวัง
ขับไป อัพเฟส กดไลน์ คงไม่ดีแน่ กฎหมายบอกว่าเจอเป็นจับ

สรุปว่าใช้รถใช้ถนนร่วมกัน .. ตั้งใจขับให้ดีที่สุด
เพราะพลาดไปแล้ว ย้อนเวลาไม่ได้

 

1-2-e1468049652974

ข่าวปลอม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชายหนุ่มคนหนึ่งนาม อายุ 26 ปี เป็นคนก่อให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่กลางทางหลวงของเมือง… เมื่อทำการสืบสวนสาเหตุแล้วก็พบว่า สาเหตุมาจาก Hickson จู่ๆก็จอดรถกลางถนนเพื่อจะจับโปเกม่อนในเกม Pokemon GO จนรถคันหลังเบรคไม่ทันและเกิดอุบัติเหตุขึ้น

http://www.pokemongo.com/en-us/

โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ มีเพียงบาดเจ็บกันเล็กน้อย โดยทางด้าน … รับสารภาพกับตำรวจว่าเขาเล่นเกม Pokemon GO ของมือถือที่เพิ่งออกมาขณะที่กำลังขับรถ และในระหว่างนั้นถ้าเจอโปเกม่อนกลางทางแล้วอยากจะจับมัน สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องจอดรถก่อนแล้วเล็งขว้างบอลจับมันเท่านั้น จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ

ทางด้วยตำรวจกล่าวว่าตอนนี้ยังไม่ได้พิจารณาว่าความผิดของนาย … อยู่ในข้อหาอะไรดี เพราะคดีนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าอุบัติเหตุนี้จะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่ในทางคดีแล้วก็ถือเป็นความผิดที่ส่งผลต่ออนาคต หลักๆแล้วก็คือความผิดที่เกิดจากความประมาทจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ว่าเดิมทีนั้น ความผิดข้อหาพิมพ์แชทขณะขับก็ว่าร้ายแรงแล้ว แต่ว่าการเล่นเกมขณะขับรถน่าจะมีความผิดร้ายแรงกว่า ทางที่ดีแล้ว อย่าใช้มือถือทำอะไรทั้งหมดขณะขับรถเลยจะดีที่สุด ตำรวจกล่าวไว้

#dontpokemongoanddrive เป็นแฮชแท็กที่ตำรวจเพิ่มเข้ามาใช้ในโซเชี่ยลมีเดีย หลังเกิดคดีนี้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com

 

ข่าวนี้ปลอม https://www.buzzfeed.com/craigsilverman/fake-pokemon-go-car-pileup

 

7 วิธีแก้ปัญหา “ผมขาดหลุดร่วง”

5

สาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วงมีอยู่หลายสาเหตุ แอดจะขอหยิบยกสาเหตุหลัก ๆ มานะคะ

1. ขาดสารอาหารสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม

2. สารเคมีภายนอกทำลายเส้นผมมากเกินไป เช่น การทำสีผม การดัดหรือยืดผม

3. ทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

4. มีปัญหาเรื่องสมดุลฮอร์โมน

5. รังแค หรือปัญหาหนังศรีษะเรื้อรัง

6. ความเครียด

มาดูวิธีแก้ไขเพื่อลดผมขาดหลุดร่วงกันเลย!!

1. ใช้แปรงหรือหวีซี่ใหญ่

หวีซี่ใหญ่กว่าช่วยลดการเสียดสีได้ดี ถ้าสาว ๆ ใช้หวีซี่เล็กและถี่เป็นปกติ การเสียดสีของผมแต่ละเส้นกันตัวหวีจะมีมากกว่า อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่าย

2. ไม่หวีผมขณะที่ผมเปียก

ขณะผมเปียก เกล็ดผมจะเปิดด้วย นั่นหมายถึงว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด การหวีผมทำให้เกิดการเสียดสีในขณะที่ผมอ่อนแอ อาจทำให้ผมแตกปลาย แห้งเสีย และหลุดร่วงในที่สุด

3. เปลี่ยนแชมพู

พยายามเลือกใช้แชมพูที่มีสารซัลเฟตและซิลิโคนน้อย เพื่อเลี่ยงสารเคมีที่ทำลายหนังศรีษะ

4. สระผมอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง

เพื่อหลีกเลี่ยงผมหลุดร่วงจากการติดเชื้อของหนังศรีษาะที่สกปรก

5. อย่าทำให้ผมเจ็บบ่อย ๆ

‘เจ็บ’ ในที่นี้หมายถึงการรัดผมด้วยยางรัด การทำดังโงะ บัน หรือการเปียผมแน่น ๆ ทั้งหลาย อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้เช่นกัน หากสาว ๆ ทำมันบ่อย ๆ พยายามเปลี่ยนตำแหน่งการมัดในทุก ๆ วัน หรือควรปล่อยผมให้ฟรีรับลมบ้าง วันเว้นวันไปเลยจะดีมาก

6. ทานอาหารเพิ่มพลังให้เส้นผม

ทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีสาร zinc, Vitamins A, B complex, Vitamin C, Vitamin E, omega-3 fatty acids และโปรตีน ช่วยเพิ่มชีวิตชีวา และบำรุงเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง

7. ใช้แชมพูและครีมนวดผมลดการขาดหลุดร่วงของผม

เส้นผมก็ต้องดูแลไม่แพ้ผิวหน้าผิวกายนะจ้ะสาว ๆ แต่หากสาว ๆ คนไหนมีอาการผมร่วงเรื้อรังจริง ๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาที่ดีที่สุด

————-ขอขอบคุณ http://www.girlsallaround.com/stop-hair-fall/

หลอดไฟก็ทำร้ายผิวได้

หลอดไฟก็มีรังสี UV นะค่ะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวของเราเช่นกัน วันนี้มาทำความรู้จักรังสีจากหลอดไฟแต่ละประเภทกันค่ะ

รังสี UVA จากหลอดไฟประเภทต่างๆ

 1. หลอดไส้หรือหลอดทังสเตน

light2

หลอดใส้หรือหลอดทังสเตน เป็นหลอดไฟที่ปลอดภัยจากรังสียูวี แต่ก็มีความร้อนสูงพอควร และแสงจากหลอดไฟนี้ ก็ทำให้เกิดความร้อนกับผิวหน้าได้มากค่ะ เพราะความร้อนเป็นต้นเหตุของรังสีอินฟราเรด ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเมลานินขึ้นได้ และอาจทำให้เกิด กระ ขึ้นที่บริเวณใบหน้าได้อีกด้วย จึงไม่ควรอยู่ใกล้หลอดไฟเป็นเวลานานเกินไปนะ

2.  หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์

Fluorescent-01

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดไฟที่ไม่ให้ความร้อน แต่ปล่อยรังสี UVA แทน ซึ่งระยะที่เป็นอันตรายต่อผิวมากๆ คือ ระยะที่ไม่ควรเข้าไปใกล้ไปมากกว่า 1 เมตร และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟอยู่หลายหลอดเป็นเวลานานๆ ด้วยนะคะ เพราะจะอาจทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ด้วยค่ะ

3. หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp)

หลอดเมทัลฮาไลด์

 

หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ จะปล่อยรังสี UVAค่อนข้างเข้มข้นมากกว่าหลอดประเภทอื่นๆ ค่ะ และเมื่อโดนเป็นเวลานานจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ง่าย เช่น หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ  เช่น เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี และถ้าไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่างๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน วิธีง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ ดีที่สุดค่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว ในแต่ละวัน แม้จะอยู่ในที่ทำงานตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ออกไปผจญกับแสงแดด หมั่นทาครีมกันแดด และป้องกันรังสี UV ให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำในทุกวัน   อย่าคิดว่าแสงจากหลอดไฟเพียงเล็กน้อยคงทำอะไรผิวเราไม่ได้ เพราะหากผิวต้องรับรังสี UV อยู่ทุกวัน อายุผิวก็จะยิ่งเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/notes/