ระวัง! ฉีดผิวขาว… สวยไว แต่ตายผ่อนส่ง

ข้อมูล : ผิวขาวขึ้นจริง แต่ตายไวขึ้น
เป็นกระแสสังคม และรสนิยมของคนยุคนี้ แล้วเราจะตามกระแสกันไหม

closeup portrait woman with ideal skin holding botox injection with shining needle

พูดถึงเทรนด์ผิวขาวคงต้องนึกถึงเทรนด์การฉีดผิวขาวที่นิยมกันมากในหมู่วัยรุ่นสาวๆ ที่อยากจะมีผิวขาวใสเหมือนดาราเกาหลี ด้วยกระแสสังคมและรสนิยมของคนยุคนี้ ทำให้ธุรกิจเสริมความงามเกี่ยวกับผิวพรรณเติบโตกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การฉีดผิวด้วยกลูต้าและวิตามินซี” เพื่อให้ขาวใสในไม่กี่สัปดาห์ โดยใครจะทราบว่าการฉีดผิวขาวมีอันตรายกว่าที่คิด

การฉีดผิวขาวเป็นอย่างไร? อันตรายไหม?

การฉีดผิวขาวที่นิยมฉีดหลักๆคือ ‘กลูตาไธโอน’ สารสกัดที่ได้โดยบังเอิญจากกระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งเมื่อฉีดยาดังกล่าวให้ผู้ป่วยแล้วพบว่าผิวของผู้ป่วยขาวขึ้นจากปกติ ทำให้พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าได้นำผลข้างเคียงของยานี้มาโฆษณาชวนเชื่อสำหรับสาว ๆ รวมไปถึงหนุ่ม ๆ บางคนที่อยากมีผิวขาวใสว่าฉีดผิวด้วยกลูต้าทำให้ขาวได้จริง

อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของกลูต้าไธโอนนั้น เป็นสารที่มีความไม่คงตัว สามารถสลายได้ง่ายมาก หากจะใช้ให้ขาวต้องใช้เป็นเวลานานและสม่ำเสมอ ในกรณีที่ต้องการให้ผิวขาวด้วยการฉีดเข้าเส้นเลือดดำนั้น ต้องฉีดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง ซึ่งเรียกได้ว่าอันตรายมากเพราะสามารถทำให้เกิดอาการตาพร่า เนื่องจากกลูต้าเป็นสารที่สามารถลดประมาณเม็ดสีภายในร่างกาย โดยเม็ดสีที่ว่านี้รวมทั้งสีผิวและสีตา ดังนั้นหากผิวหนังมีสีอ่อนลง สีตาก็อ่อนลงเช่นกัน เมื่อสีตาอ่อนลงก็จะสู้แสงได้น้อยลง และหากดวงตาสัมผัสกับแดดหรือแสงจากจอโทรศัพท์มือถือ ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงอาการตาบอดในที่สุด

การฉีดผิวด้วยวิตามินซี ช่วยผิวขาวจริงหรือ?

นอกจากกลูตาไธโอนแล้ว ก็ยังมีสารอีกชนิดหนึ่งที่นิยมฉีดและรับประทานเพื่อความขาว นั่นก็คือ ‘วิตามินซี’ ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าสามารถช่วยเรื่องหวัดและทำให้ผิวขาวใส แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่มีวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการใดที่ระบุว่าวิตามินซีส่งผลต่อสีผิว หรือแม้แต่ในเรื่องประสิทธิภาพการป้องกันหวัดก็อยู่ในระดับ Possibly effective หรือระดับที่ ‘อาจจะ’ ป้องกันได้เท่านั้น ซึ่งการใช้วิตามินซีที่ถูกต้องคือ การใช้รักษาโรคเลือดออกตามไรฟันและลักปิดลักเปิดในผู้ป่วยที่ขาดวิตามินซีเท่านั้น

ถึงกระนั้นความเชื่อเรื่องการฉีดผิวขาวด้วยกลูตาไธโอนและวิตามินซีก็ยังคงอยู่กับคนไทยมาจนปัจจุบัน จนบางคลินิกถึงขั้นฉีดกลูต้าและวิตามินซีในคราวเดียวกันเพื่อให้เห็นผลเร็ว และฉีดด้วยความเข้มข้นสูงเพื่อให้ขาวถาวร ส่วนใหญ่อยู่ที่อาทิตย์ละสองครั้งซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้หากเกิดกับผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงจะทำให้เกิดการเวียนศีรษะ อาเจียน กล้ามเนื้อสั่น หายใจติดขัด ประสาทหลอนและอาจช็อกจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

จะเห็นได้ว่าการฉีดผิวขาวนั้นก่อให้เกิดอันตรายกว่าที่คิด อีกทั้งประสิทธิภาพเรื่องความขาวก็ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อใดการันตีว่าจะขาวได้ถาวร เรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย กล่าวคือในการฉีดผิวขาวแต่ละครั้งนอกจากเจ็บตัวแล้ว เสียเงิน เสียสุขภาพแล้วยังต้องลุ้นกับผลลัพธ์ความขาวหลังฉีดอีกด้วย ทราบแบบนี้แล้วก่อนจะตัดสินใจฉีดผิวขาวก็คงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนว่า ความขาวเพียงชั่วคราวแลกกับสุขภาพและชีวิตคุ้มกันแล้วหรือยัง

ที่มา: คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ที่มา: http://sukkaphap-d.com

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ การมีผิวขาว
– กรณีตัวอย่างปัญหาแพ้สาร http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1470569859

ยากิน ยาฉีด ยาทา

This is Hoax : “หนุ่มจอดรถจับ Pokemon GO จนเกิดอุบัติเหตุชนยับ”

มีเพื่อนทักเข้ามาว่าภาพข่าวนี้เป็น ข่าวปลอม หรือ Hoax
ตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่าเป็น ข่าวปลอม
แต่ข่าวนี้ดี เพราะทำให้การขับยวดยานพาหนะต้องเพิ่มความระมัดระวัง
ขับไป อัพเฟส กดไลน์ คงไม่ดีแน่ กฎหมายบอกว่าเจอเป็นจับ

สรุปว่าใช้รถใช้ถนนร่วมกัน .. ตั้งใจขับให้ดีที่สุด
เพราะพลาดไปแล้ว ย้อนเวลาไม่ได้

 

1-2-e1468049652974

ข่าวปลอม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีชายหนุ่มคนหนึ่งนาม อายุ 26 ปี เป็นคนก่อให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่กลางทางหลวงของเมือง… เมื่อทำการสืบสวนสาเหตุแล้วก็พบว่า สาเหตุมาจาก Hickson จู่ๆก็จอดรถกลางถนนเพื่อจะจับโปเกม่อนในเกม Pokemon GO จนรถคันหลังเบรคไม่ทันและเกิดอุบัติเหตุขึ้น

http://www.pokemongo.com/en-us/

โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้ มีเพียงบาดเจ็บกันเล็กน้อย โดยทางด้าน … รับสารภาพกับตำรวจว่าเขาเล่นเกม Pokemon GO ของมือถือที่เพิ่งออกมาขณะที่กำลังขับรถ และในระหว่างนั้นถ้าเจอโปเกม่อนกลางทางแล้วอยากจะจับมัน สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องจอดรถก่อนแล้วเล็งขว้างบอลจับมันเท่านั้น จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ

ทางด้วยตำรวจกล่าวว่าตอนนี้ยังไม่ได้พิจารณาว่าความผิดของนาย … อยู่ในข้อหาอะไรดี เพราะคดีนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าอุบัติเหตุนี้จะไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แต่ในทางคดีแล้วก็ถือเป็นความผิดที่ส่งผลต่ออนาคต หลักๆแล้วก็คือความผิดที่เกิดจากความประมาทจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ว่าเดิมทีนั้น ความผิดข้อหาพิมพ์แชทขณะขับก็ว่าร้ายแรงแล้ว แต่ว่าการเล่นเกมขณะขับรถน่าจะมีความผิดร้ายแรงกว่า ทางที่ดีแล้ว อย่าใช้มือถือทำอะไรทั้งหมดขณะขับรถเลยจะดีที่สุด ตำรวจกล่าวไว้

#dontpokemongoanddrive เป็นแฮชแท็กที่ตำรวจเพิ่มเข้ามาใช้ในโซเชี่ยลมีเดีย หลังเกิดคดีนี้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.sanook.com

 

ข่าวนี้ปลอม https://www.buzzfeed.com/craigsilverman/fake-pokemon-go-car-pileup

 

7 วิธีแก้ปัญหา “ผมขาดหลุดร่วง”

5

สาเหตุที่ทำให้เกิดผมร่วงมีอยู่หลายสาเหตุ แอดจะขอหยิบยกสาเหตุหลัก ๆ มานะคะ

1. ขาดสารอาหารสำคัญในการหล่อเลี้ยงเส้นผม

2. สารเคมีภายนอกทำลายเส้นผมมากเกินไป เช่น การทำสีผม การดัดหรือยืดผม

3. ทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

4. มีปัญหาเรื่องสมดุลฮอร์โมน

5. รังแค หรือปัญหาหนังศรีษะเรื้อรัง

6. ความเครียด

มาดูวิธีแก้ไขเพื่อลดผมขาดหลุดร่วงกันเลย!!

1. ใช้แปรงหรือหวีซี่ใหญ่

หวีซี่ใหญ่กว่าช่วยลดการเสียดสีได้ดี ถ้าสาว ๆ ใช้หวีซี่เล็กและถี่เป็นปกติ การเสียดสีของผมแต่ละเส้นกันตัวหวีจะมีมากกว่า อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่าย

2. ไม่หวีผมขณะที่ผมเปียก

ขณะผมเปียก เกล็ดผมจะเปิดด้วย นั่นหมายถึงว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอที่สุด การหวีผมทำให้เกิดการเสียดสีในขณะที่ผมอ่อนแอ อาจทำให้ผมแตกปลาย แห้งเสีย และหลุดร่วงในที่สุด

3. เปลี่ยนแชมพู

พยายามเลือกใช้แชมพูที่มีสารซัลเฟตและซิลิโคนน้อย เพื่อเลี่ยงสารเคมีที่ทำลายหนังศรีษะ

4. สระผมอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 ครั้ง

เพื่อหลีกเลี่ยงผมหลุดร่วงจากการติดเชื้อของหนังศรีษาะที่สกปรก

5. อย่าทำให้ผมเจ็บบ่อย ๆ

‘เจ็บ’ ในที่นี้หมายถึงการรัดผมด้วยยางรัด การทำดังโงะ บัน หรือการเปียผมแน่น ๆ ทั้งหลาย อาจทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้เช่นกัน หากสาว ๆ ทำมันบ่อย ๆ พยายามเปลี่ยนตำแหน่งการมัดในทุก ๆ วัน หรือควรปล่อยผมให้ฟรีรับลมบ้าง วันเว้นวันไปเลยจะดีมาก

6. ทานอาหารเพิ่มพลังให้เส้นผม

ทานอาหารจำพวกผักผลไม้ที่มีสาร zinc, Vitamins A, B complex, Vitamin C, Vitamin E, omega-3 fatty acids และโปรตีน ช่วยเพิ่มชีวิตชีวา และบำรุงเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง

7. ใช้แชมพูและครีมนวดผมลดการขาดหลุดร่วงของผม

เส้นผมก็ต้องดูแลไม่แพ้ผิวหน้าผิวกายนะจ้ะสาว ๆ แต่หากสาว ๆ คนไหนมีอาการผมร่วงเรื้อรังจริง ๆ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาทางรักษาที่ดีที่สุด

————-ขอขอบคุณ http://www.girlsallaround.com/stop-hair-fall/

หลอดไฟก็ทำร้ายผิวได้

หลอดไฟก็มีรังสี UV นะค่ะ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวของเราเช่นกัน วันนี้มาทำความรู้จักรังสีจากหลอดไฟแต่ละประเภทกันค่ะ

รังสี UVA จากหลอดไฟประเภทต่างๆ

 1. หลอดไส้หรือหลอดทังสเตน

light2

หลอดใส้หรือหลอดทังสเตน เป็นหลอดไฟที่ปลอดภัยจากรังสียูวี แต่ก็มีความร้อนสูงพอควร และแสงจากหลอดไฟนี้ ก็ทำให้เกิดความร้อนกับผิวหน้าได้มากค่ะ เพราะความร้อนเป็นต้นเหตุของรังสีอินฟราเรด ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นทำให้เกิดการสร้างเมลานินขึ้นได้ และอาจทำให้เกิด กระ ขึ้นที่บริเวณใบหน้าได้อีกด้วย จึงไม่ควรอยู่ใกล้หลอดไฟเป็นเวลานานเกินไปนะ

2.  หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์

Fluorescent-01

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เป็นหลอดไฟที่ไม่ให้ความร้อน แต่ปล่อยรังสี UVA แทน ซึ่งระยะที่เป็นอันตรายต่อผิวมากๆ คือ ระยะที่ไม่ควรเข้าไปใกล้ไปมากกว่า 1 เมตร และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟอยู่หลายหลอดเป็นเวลานานๆ ด้วยนะคะ เพราะจะอาจทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ด้วยค่ะ

3. หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp)

หลอดเมทัลฮาไลด์

 

หลอดไฟเมทัลเฮไลด์ จะปล่อยรังสี UVAค่อนข้างเข้มข้นมากกว่าหลอดประเภทอื่นๆ ค่ะ และเมื่อโดนเป็นเวลานานจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิด กระ ฝ้า ได้ง่าย เช่น หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ  เช่น เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี และถ้าไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่างๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน วิธีง่ายๆ คือ หลีกเลี่ยงแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมากเป็นพิเศษ ดีที่สุดค่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว ในแต่ละวัน แม้จะอยู่ในที่ทำงานตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ออกไปผจญกับแสงแดด หมั่นทาครีมกันแดด และป้องกันรังสี UV ให้กับผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำในทุกวัน   อย่าคิดว่าแสงจากหลอดไฟเพียงเล็กน้อยคงทำอะไรผิวเราไม่ได้ เพราะหากผิวต้องรับรังสี UV อยู่ทุกวัน อายุผิวก็จะยิ่งเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/notes/

ความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูง

คือภาวะที่แรงดันในหลอดเลือดแดงสูง หากไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยทิ้งไว้ในระยะยาวจะทำให้เกิดความเสียหายแก่อวัยวะหลายระบบในร่างกาย

e1

เมื่อไหร่จะบอกว่าเป็นความดันโลหิตสูง

ค่าตัวบนเกิน 140 มิลลิเมตรปรอท
ค่าตัวล่างเกิน 90 มิลลิเมตรปรอท
หากปล่อยให้ความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มม.ปรอท ในระยะยาวจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ ดังนี้

1.หลอดเลือดแดงแข็งตัว และตีบตัยในอวัยวะต่างๆ ได้ทั่วร่างกาย เช่น

  • หลอดเลือดแดงเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บหน้าอก และหัวใจวายได้
  • หลอดเลือดแดงในสมองตีบตัน ทำให้สมองขาดเลือด เนื้อสมองตาย หรือเส้นเลือดในสมองแตกตาย เลือดออกในสมอง ทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไตตีบ ทำให้ไตเสื่อม และไตวายได้
  • หลอดเลือดแดงในตาแข็งและตีบ อาจมีเลือดออกที่จอภาพและประสาทตา ทำให้ตามัวหรือตาบอดได้
  • หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงแขนขาตีบตัน ทำให้มือเท้าขาดเลือดเป็นแผลเรื้อรัง หายยาก
  • หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก และช่องท้องโป่งพอง และแตก ทำให้เสียชีวิตได้ทันที

2. หัวใจโต ทำให้การสูบฉีดเลือดของหัวใจอ่อนแรง เกิดภาวะน้ำท่วมปอด และเหนื่อยง่าย

ความดันโลหิตสูงทำไมต้องรักษา

สาเหตุของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่ (กว่า 90%) ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ส่วนหนึ่งเกิดจากรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารและสิ่งแวดล้อม ในกรณีนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้โดยการรับประทานยาเป็นประจำ
มีคนไข้ความดันโลหิตสูงอีกประมาณ 5% ที่มีความดันโลหิตสูงเนื่องจากโรคอื่น เช่น เนื้องอกของต่อมหมวกไต ซึ่งถ้าผ่าออกความดันโลหิตก็จะกลับมาเป็นปกติ และหายขาดได้
จะเห็นว่าโรคความดันโลหิตส่วนใหญ่เป็นโรคประจำตัว ไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงรักษาอย่างไร…?
การรักษาขึ้นแรก คตือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิต

  • ควบคุมอาหาร และน้ำหนักตัว อย่าให้อ้วน โดยการลดอาหารประเภทไขมัน ได้แก่ อาหารที่ใช้เนย ไขมัน และน้ำมันในการปรุง
  • ลดอาหารเค็ม เช่น ของดองเค็ม ซุปกระป๋อง อาหารที่โรยเกลือ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที จะช่วยลดน้ำหนักและทำให้การไหลเวียนดี ป้องกันโรคหลอดเลือดได้ ที่สำคัญผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงก่อนเริ่มออกกำลังกายครั้งแรกควร ปรึกษาแพทย์
  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เครียด
  • งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาต
  • รับประทานยาให้สม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์

ทำอย่างไร…? จึงจะทราบว่า…ความดันโลหิตดี
ต้องวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ จะใช้ความรู้สึก เช่น อาการปวดหัวเพียงอย่างเดียวไม่ได้ การมาพบแพทย์วัดความดัน 2-3 เดือนต่อครั้ง ก็ไม่เพียงพอ   ควรเรียนรู้วิธีวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง โดยใช้เครื่องวัดความโลหิตระบบดิจิตอลวัดความดันเองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องวัดถี่เกินความจำเป็น และควรจดบันทึกเวลาค่าที่สัดได้ทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมความดันโลหิต

จะเห็นได้ว่าภาวะแทรกซ้อนของความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่จะเกิดปัญหากับระบบ หลอดเลือดทั่วร่างกาย จึงควรพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพและรับประทานยาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ตามคำ แนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูง

 

http://www.thaihealthyclubs.com/ความดันโลหิตสูง/