ความเชื่อเกี่ยวกับการ “นอน”

a259

โดยเฉลี่ยคนเราใช้เวลาหนึ่งในสามของชีวิตไปกับการนอนหลับ เพราะการนอนหลับ  คือ  การพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกาย   แล้วนอนกี่ชั่วโมงถึงจะเรียกว่านอนพอ  ไม่น้อยไม่มากเกินไป และเคยได้ยินมาว่าพออายุเพิ่มมากขึ้นการนอนมากถือว่าไม่จำเป็น จริงหรือไม่  มาหาคำตอบกันค่ะ

ความเชื่อ : ขณะนอนหลับพักผ่อน ร่างกายกับสมองจะหยุดพักไปด้วย
ข้อเท็จจริง : ในขณะหลับร่างกายจะหยุดพักผ่อนตามไปด้วย แต่สมองยังคงทำงานอยู่ การนอนหลับเป็นการลดภาระให้สมองทำงานเบาลง เสมือนว่าได้รับการชาร์ตแบตเตอรีเพื่อเตรียมพร้อมทำงานในวันต่อไป แต่ก็ยังคงต้องควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระบบหายใจ ระบบประสาท ฯลฯ

ความเชื่อ : ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องนอนมาก
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง ผู้สูงอายุต้องการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เช่นเดียวกับคนวัยหนุ่มสาวทั่วไป ทั้งนี้อายุที่มากขึ้น ประกอบกับการทำงานของอวัยวะในร่างกายเริ่มเสื่อมไปตามเวลา ทำให้กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลทำให้พฤติกรรมการนอนไม่เหมือนเดิม นอนหลับได้น้อยชั่วโมงลง หรือหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน แต่ไม่ว่านอนหลับได้ไม่เต็มอิ่มอย่างไร ร่างกายก็ยังคงต้องการเวลาพักผ่อนให้ได้ 7-9 ชั่วโมง

ความเชื่อ : การนอนหลับพักผ่อนน้อยเป็นประจำ ร่างกายจะชินและไม่ต้องการนอนมากอย่างที่เคย
ข้อเท็จจริง : ไม่จริง เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า ในวัยผู้ใหญ่หากนอนให้ได้ประมาณ 7-9 ชั่วโมงทุกวัน จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายโดยรวมดีอย่างน่าทึ่ง หากวันไหนนอนหลับได้ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะชดเชยชั่วโมงนอนที่ขาดรวมกับชั่วโมงนอนในอีก 2-3 คืนถัดไป ไม่ว่าเราจะนอนน้อยเป็นประจำหรืออดนอนเป็นประจำแค่ไหน ร่างกายไม่มีวันชินหรือยอมรับให้นอนน้อยได้ตลอด เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติการพักผ่อนที่ร่างกายต้องการ

ความเชื่อ : ง่วงหาวตอนกลางวันแสดงว่านอนไม่พอ
ข้อเท็จจริง : จริง สาเหตุของอาการง่วงหาวตอนกลางวันอาจมีส่วนหนึ่งมาจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ แต่ก็อาจเกิดกับคนที่นอนหลับเต็มอิ่มได้ด้วย และถ้าง่วงผิดสังเกตอาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีเรื่องสุขภาพอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องไปปรึกษาแพทย์ต่อไป

ความเชื่อ : นอนน้อยมีผลต่อน้ำหนัก
ข้อเท็จจริง : จริง หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเลปตินและเกรลิน ส่งผลทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำหน้าที่มีหน้าที่ควบคุมและสร้างสมดุลความต้องการอาหาร ฮอร์โมนเกรลินถูกผลิตขึ้นในระบบทางเดินอาหาร มีหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร ในขณะที่เลปตินถูกผลิตในเซลล์ไขมัน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณรับรู้ว่าอิ่มไปยังสมอง เมื่อได้รับอาหารพอดีกับความต้องการ ดังนั้นหากนอนหลับไม่เพียงพอ จะส่งผลทำให้ระดับเลปตินต่ำลง ร่างกายไม่รู้สึกอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามฮอร์โมนเกรลินจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายรับประทานอาหารเกินพอดี น้ำหนักก็เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการนอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน เป็นการสร้างเสริมสุขภาพร่างกายที่ดีที่สุด

——–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.247friend.net/blog/domebt/2013/09/16/entry-1

รอบเอวคุณเกินมาตรฐานหรือไม่….

p0

นอกจากดัชนีมวลกายที่ช่วยในการตรวจสอบว่าเรามีภาวะน้ำหนักเกินหรือยัง เราเข้าสู่ภาวะ อ้วนแล้วหรือไม่ ก็ยังมีดัชนีอีกตัวที่ช่วยเราตรวจเช็คเพิ่มเติมได้ ดัชนีตัวนี้คืออัตราส่วนรอบเอว ต่อรอบสะโพก (Waist/Hip Ratio : WHR)สาเหตุที่บางครั้งจำเป็นต้องใช้ดัชนีตัวนี้ช่วยตรวจสอบเพิ่มเติมเพราะว่าหลายคนมีร่างกายที่ค่อนข้างสมส่วน และดัชนีมวลกายอยู่ในภาวะเหมาะสมหรือน้ำหนักเกิน แต่มีลักษณะลงพุงเช่นนี้แล้วคุณก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างได้เช่นกัน

 อัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (WHR) สามารถหาได้จาก

 ความยาวเส้นรอบเอว ( หน่วยเป็น ซม.) / ความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็น ซม.)

ค่าที่ได้ ถ้าเกิน 0.85 : แสดงว่ามีภาวะ อ้วนลงพุง

ค่าที่ได้ 0.76-0.84 : แสดงคว่าคุณกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะลงพุง ควรเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แล้ว

ค่าที่ได้ ตำกว่า 0.75 : แสดงว่าคุณไม่มีความเสี่ยงทางด้านสุขภาพจากไขมัน

 

ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าคุณมีรอบเอว = 65 ซม. และรอบสะโพก = 85 ซม. 3

ความยาวเส้นรอบเอว ( หน่วยเป็น ซม.) / ความยาวเส้นรอบสะโพก (หน่วยเป็น ซม.)
อัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพก (WHR) = 65/85 = 0.76

 

ค่า 0.76 ที่ได้นั้น ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 0.85 แสดงว่าคุณยังไม่เข้าสู่ภาวะอ้วนลงพุงนั่นเอง แต่ก็ควรจะเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกายของคุณได้แล้ว

 เกี่ยวกับความยาวเส้นรอบเอว สำหรับคนไทยแล้ว มาตรฐานคือ

สำหรับผู้ชาย ไม่ควรเกินกว่า 90 ซม.(36 นิ้ว)
สำหรับผู้หญิง ไม่ควรเกินกว่า 80 ซม.(32 นิ้ว)

จากการศึกษาพบว่า เส้นรอบเอวที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆ 5 ซม. นั้น เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรค เบาหวานมากขึ้นถึง 3-5 เท่า ซึ่งจะนำไปสู่โรคอื่นๆได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ  ความดันโลหิตสูง  และโรคหัวใจ  เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.thaidietinfo.com/Waist_Hip_Ratio.html

แก้ปัญหารักแร้ดำ..ง่ายๆ ตามนี้เลยจ้า

วันนี้มีวิธีแก้รักแร้ดำแบบง่ายๆ   โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี พร้อมกับเคล็ดลับดีๆ ที่ช่วยแก้ปัญหารักแร้ดำให้กลับมาขาวเนียน จนสาวๆ  สามารถโชว์วงแขนได้โดย ไม่ต้องอายใครอีกต่อไปค่ะ

สาเหตุรักแร้ดำคล้ำเกิดจากอะไรบ้าง ?
1. กรรมพันธุ์
2. แพ้สารเคมี
3. การติดเชื้อแบคทีเรีย
4. อาการระคายเคืองจากการโกนขนรักแร้
5. การเช็ดถูแรงๆ หรือ การเสียดสีเป็นเวลานาน

แต่ปัญหาทั้งหมดนี้จะหายไปเพียงแค่คุณทำตามสูตรแก้รักแร้ดำ  ดังต่อไปนี้

Magyee

1. มะขาม  สุดยอดสมุนไพรสารพัดประโยชน์ใกล้ตัวที่ช่วยให้คุณบอกลาปัญหารักแร้ดำได้อย่างเห็นผลชัดเจน เพียงแค่นำเอามะขามเปียกมาผสมกับน้ำผึ้งเพียงนิด หน่อย แล้วนำมาทาที่รักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แนะนำว่าควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง หรือวันเว้นวัน ไม่นานรักแร้ที่เคยดำก็จะค่อยๆกลับมาขาวเนียนอีกครั้งค่ะ

p0

2. มะนาว   อีกหนึ่งเคล็ดลับแก้รักแร้ดำที่ได้รับความนิยมมากๆ เพียงแค่มะนาวสดนำมาฝานเป็นแว่นๆ แล้วนำเมล็ดออก จากนั้นก็นำมาถูที่รักแร้ และทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด พยายามเป็นประจำทุกๆวัน ก็จะช่วยทำให้รักแร้ของคุณค่อยๆ  ขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ

—————–ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.bedtaledidea.com/2015/05/5-100.html

10 อย่าง ที่ทำแล้วจะรุ่งเรืองทุกด้าน

a259

เราชาวพุทธก็จะมีความสุขเมื่อได้ทำบุญ  และก็มีความหวังว่าสิ่งที่เราได้ทำลงไปนั้นจะส่งผลให้เรามีความสุข ความเจริญ สมหวัง และทำให้ชีวิตรุ่งเรื่องยิ่งๆ ขึ้นไป  วันนี้นำวิธีการทำบุญ  10 อย่าง ที่ทำแล้วจะทำให้ชีวิตรุ่งเรืองทุกๆ ด้านมาฝากค่ะ

ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ   ว่ามีข้อไหนที่เพื่อนๆ  ทำเป็นประจำกันบ้าง

1. บุญที่เกิดจากการให้ทาน  ซึ่งบุญที่เกิดจากการให้ทาน จะส่งผลให้เราเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก เชื่อว่าข้อนี้เพื่อนๆคงทำกันเป็นประจำนะคะ
2. บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีล  บุญที่เกิดจากการหมั่นรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เรามีสุขภาพดี ชีวิตมีสวัสดิภาพ
 3. บุญที่เกิดจากการภาวนา  ถ้าเราหมั่นภาวนาอยู่เสมอทุกวันๆ เจริญสติ ฝึกสมาธิอยู่ทุกขณะ อย่าให้ขาด ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นคนที่มีพลังอำนาจในตนเองและมีสติปัญญา
 4. บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม  ถ้าใครเคยประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ รู้จักถ่อมตน เราก็ได้บุญไปแล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรแล้วเกิดผลดี สิ่งนั้นก็เป็นบุญหมด ผู้ที่ควรอ่อนน้อม คือ ผู้ประเสริฐ ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจ เราจะต้องประพฤติอ่อนน้อมอยู่เสมอ ซึ่งบุญนี้จะส่งผลให้เราเป็นที่รักที่เมตตา และอยู่ในสังคมอันสูง
 5. บุญที่เกิดจากการขวนขวายในกิจผู้อื่น   ใครก็ตามที่ควรได้รับความช่วยเหลือ เราจะช่วยเขาตามสมควรแก่ฐานะ คือ ถ้าทุกคนดีขึ้นจริงๆ บุญนี้ก็จะส่งผลให้เรามีบริวารมาก มีคนอาสาช่วยเรายามเดือดร้อน
 6. บุญที่เกิดจากการฟังธรรม  บุญนี้จะรวมไปถึง การที่เราอ่านหนังสือ ฟังเทป หรือฟังเทศน์ ที่จะช่วยเราให้เห็นแง่มุมของสัจจะครบถ้วน บุญในข้อนี้จะส่งผลให้วิสัยทัศน์ของเรากว้างขวางล้ำลึก
 7. บุญที่เกิดจากการแสดงธรรม   เมื่อเรารู้ว่าใครที่ด้อยกว่าเราแล้ว เราก็ควรแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนเขาด้วยความเมตตา ด้วยใจที่ปรารถนาดีจริงๆ เป็นการแสดงธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เราแตกฉานและมั่งคงในความดีงาม หรือถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องธรรมมากนัก เราก็อาจจะซื้อหรือแจกซีดีธรรมะก็ได้
  8. บุญที่เกิดจากการอุทิศบุญ  เมื่อเราทำความดีใดๆ เราก็ควรหมั่นเผื่อแผ่ความดีให้แก่คนอื่น บางความดี ความชอบในผลงานให้แก่คนอื่น บุญจะส่งผลให้เราจิตใจสะอาด อิสระและยิ่งใหญ่ขึ้น (ถ้าเรายิ่งอุทิศบุญมากแล้ว บุญนั้นก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเป็น 2 เท่าของบุญทั้งหมด เราไม่ต้องกลัวว่าบุญของเราจะหมดไป)
 9. บุญที่เกิดจากการอนุโมทนา   ในข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า เมื่อใครทำความดี เราควรยินดีในความดีของเขา ทำให้จิตใจของเราสูงขึ้น ไม่อิจฉาริษยา บุญนี้จะส่งผลให้เรามีมิตรมาก มีความสัมพันธ์ที่ดี
 10. บุญที่เกิดจากการทำความเห็นให้ตรงสัจจะ  คือ ทำปัญญาให้ตรงสัจจะอันล้ำลึกหรือการทำปัญญาให้ตรงกับเป้าหมายสูงสุดของชีวิตปรับวิถีทาง ทำกิจการงานทุกอย่างให้ได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่าย
 ————-
ขอบคุณข้อมูลจาก : มาจากท็อปเท็นไทยแลนด์ และ
https://sites.google.com/site/jeeworn/p1/10-xandab