ประโยชน์ของ “นมเปรี้ยว”

“นมเปรี้ยว” นมอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนนิยมดื่มกัน เกิดจากการหมักจุลินทรีย์ในนมจนเกิดรสเปรี้ยว และอาจเติมแต่งสี กลิ่น รส ให้เป็นที่น่ารับประทาน ซึ่งนมเปรี้ยวไม่ได้ให้แค่เพียงรสชาติที่อร่อยเท่านั้น เพราะนมเปรี้ยวอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกายผู้บริโภค และที่สำคัญนมเปรี้ยวนั้น ยังช่วยดูแลระบบย่อยอาหารของเราได้เป็นอย่างดี

69_1
1. รักษาอาการท้องเสีย

การดื่มนมเปรี้ยวที่เกิดจากวิธีการหมักจะเป็นนมเปรี้ยวที่มีทั้งกรดแลคติก และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิตอยู่ในน้ำนม ทุกครั้งที่ดื่มนมเปรี้ยว ไม่เพียงแต่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์เท่านั้น แต่ยังได้รับจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย จุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพของลำไส้ให้กลับมาอยู่ในภาวะสมดุลอีกครั้ง และทำให้อาการท้องเสียหายไปได้ รวมถึงสามารถรักษาโรคท้องเดินและแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ซึ่งจุลินทรีย์ที่มีชีวิตนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้นมเปรี้ยวมีคุณค่าต่อร่างกาย

2. ยกระดับภูมิคุ้มกันโรคให้สูงขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวไม่เพียงแต่ป้องกันและรักษาโรคได้ แต่ยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย และยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสจะช่วยควบคุมปริมาณคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด นอกจากนี้เชื้อแลคโตบาซิลัสยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเชื้อแลคโตบาชิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง จับกับโลหะหนักและกรดน้ำดี ซึ่งมีพิษยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรท (สารไนเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง)

3. ควบคุมจุลินทรีย์ที่เราไม่ต้องการในลำไส้

ในนมเปรี้ยวมีการสะสมของสารเมตาบอไลท์ที่จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลคติกขับออกมา สารเหล่านี้มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการในลำไส้ได้หลายชนิด เช่น Salmonella และ E.coll ทำให้พวกจุลินทรีย์เหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายเราได้ ดังนั้นเราควรจะดื่มนมเปรี้ยวอย่างสมํ่าเสมอ เพื่อให้มีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

4. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของลำไส้ดีขึ้น

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว จะสร้างเอ็นไซน์ที่สามารถย่อยอาหารได้มากกว่าปกติ เช่น เอ็นไซน์ย่อยโปรตีน จะช่วยให้การย่อยเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีอยู่มากในนม ช่วยให้มีการหลั่งนํ้าลายและเอ็นไซน์ในกระเพาะอาหารและตับอ่อนมากขึ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ดีขึ้น จุลินทรีย์เหล่านี้ยังสร้างเอ็นไซน์ย่อยน้ำตาลแลคโตส (B-galactosidase) ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลแลคโตส ซึ่งคนเราทั่วๆ ไปจะขาดเอ็นไซน์นี้หลังจากหย่านม ทำให้บางคนเมื่อทานนมแล้วจะมีอาการท้องเสีย เนื่องจากน้ำตาล แลคโตสไม่ถูกย่อย แต่จุลินทรีย์ที่เติมลงในนมเปรี้ยวนี้จะไปช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตส ทำให้ผู้บริโภคไม่เกิดอาการท้องเสีย นอกจากนี้จุลินทรีย์ที่สร้างกรดแลคติกยังช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

5. แหล่งวิตามินบี และวิตามินเค

จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยวสามารถสังเคราะห์วิตามินบี 1 (ไรโบฟลาวิน) และวิตามินเคในลำไส้ ซึ่งเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย ป้องกันโรคเหน็บชา และช่วยในการแข็งตัวของเลือด

อย่างไรก็ดี การดื่มนมเปรี้ยว ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ แต่นมเปรี้ยวก็ให้โทษได้เหมือนกันถ้ากระบวนการผลิตไม่ได้มาตรฐาน เกิดการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสารต่างๆ นอกจากนี้หากบริโภคไม่หมดภายในหนึ่งวัน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น และไม่ควรดื่มนมเปรี้ยวเป็นอาหารหลักควรดื่มเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่ดี ที่สำคัญควรดูวันผลิตก่อนซื้อ และควรดูวันหมดอายุก่อนรับประทานเสมอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069996
ข้อมูลอ้างอิงจาก : วารสารฟ้าดัชมิลล์ ฉบับที่ 50

ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง

กรมอนามัยวิจัย 10  ผลไม้ไทย  มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า

4ff

ผลไม้ 10  อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

ผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร

2. มะขามเทศ

3. มังคุด

4. ลิ้นจี่

5. สาลี่

 10  อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่

2. ฝรั่งไร้เมล็ด

3. มะขามป้อม

4. มะขามเทศ

5. เงาะโรงเรียน

6. ลูกพลับ

7. สตรอเบอร์รี่

8. มะละกอสุก

9. ส้มโอขาว

10. แตงกวา

11. พุทราแอปเปิล

 การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง

2. มะขามเทศ

3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ

4. มะเขือเทศราชินี

5. มะม่วงเขียวเสวยสุก

6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

7. มะม่วงยายกล่ำสุก

8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู

9. สตรอเบอร์รี่

10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูง  คือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ บต้าแคโรทีน วิตามินซี และอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้

จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน  เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากมะเร็ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.herb4life.net/article/6/%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87