วิธีคิด..เพื่อสร้างความสุข

ความสุข ใครๆก็อยากมีกันทั้งนั้น ซึ่งการทำให้มีความสุขนั้นก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเช่นกัน แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการทำให้มีความสุข คือ การรักษาความสุขให้อยู่กับเราไปนานๆ

ความสุข ก็คือความพอใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความพอใจที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะทำให้แต่ละคนมีความสุขจึงมีความยากง่ายไม่เท่ากันเช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการ ความปรารถนาของบุคคลนั้นๆ แต่โดยรวมแล้ว การจะทำให้ชีวิตมีความสุขนั้นก็มีหลักการคิดอยู่ไม่กี่ข้อ ดังนี้ค่ะ

การสร้างความสุขนั้นสามารถทำได้โดย

smile
smile

1. การตั้งความหวัง หรือการคาดหวัง จะต้องระลึกถึงความเป็นไปได้จริงด้วย พยายามอย่าคาดหวังอะไรที่เกินความสามารถ ที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริง หรือคาดหวังโดยมีผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าเกิดการผิดหวังขึ้นมากะทำให้ชีวิตพบกับความทุกข์ได้

2. รักและเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะไปรักใคร เข้าใจใครเราจะต้องรักและเข้าใจตัวเองก่อน ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ดีเท่าคนอื่น แต่ก็ยังมีคนที่ด้อยกว่าเรา ไม่มีใครที่ดีไปเสียหมดทุกอย่างหรอก เราต้องยอมรับความเป็นจริง ในเมื่อธรรมชาติสร้างมาให้เราเท่านี้ เราก็ต้องพอใจและยอมรับมัน คนเราเลือกที่จะเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ค่ะ

3. รู้จักเมตตาและให้อภัย คำนี้ต้องสร้างให้เป็นนิสัยติดตัวไปตลอด โดยการเริ่มจากตัวเองก่อน เมื่อผิดพลั้ง ผิดพลาดไป ก็ต้องรู้จักให้อภัยตัวเอง ไม่โกรธ ไม่เกลียดตัวเอง ไม่มีใครที่ถูกไปหมด หรือผิดไปหมดทุกเรื่องหรอกค่ะ เราจะต้องรู้จักการให้อภัย ซึ่งเมื่ออภัยให้ตัวเองได้แล้วก็จะเป็นพื้นฐานการ ให้อภัย และเมตตาผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เราไม่มีนิสัย อาคาด พยาบาท ไม่คิดร้ายก็ทำให้ชีวิตมีความสุข

4. รู้สึกดีกับตัวเอง เพราะการรู้สึกดีกับตัวเองก็คือการมีความสุขกับตัวเองนั่นเอง ลดความอิจฉา อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่เค้ามีในสิ่งที่เราต้องการมากกว่า แต่จงมองดูว่าสิ่งที่เรามีนี้ บางคนเค้าก็อยากมีแต่ไม่มีเหมือนเรา จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา และจงอย่าไปอิจฉาชีวิตของคนอื่น พอใจในสิ่งที่ตนเองมี รู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เพียงเท่านี้กะมีความสุขแล้ว

อย่างไรก็ตามถ้าพยายามจนถึงที่สุดแล้ว ชีวิตก็ยังมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่าชีวิตนี้หาความสุขไม่ได้อีกแล้ว  เราขอแนะนำให้คุณรีบไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อหาทางออกที่ดีค่ะ อย่าคิดว่าคนที่มีปัญหาทางจิต หรือเป็นบ้าเท่านั้นที่จะต้องไปพบจิตแพทย์ เพราะไม่เช่นนั้นการที่คุณหาทางออกจากความทุกข์ไม่ได้ จะเป็นสาเหตุให้สุขภาพกายแย่ สุขภาพจิตตก โรคต่างๆ รุมเร้าได้ รีบหาทางแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะคะ

ที่มาบทความ:Thaieditorial.com

http://women.mthai.com/women-variety/102739.html

การใช้ยาอย่างถูกวิธี

ยาเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ซึ่งยาแต่ละชนิดก็มีวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน เช่น ยาทา ยาฉีด ยากิน เป็นต้น หากเราใช้ยาไม่ถูกต้อง หรือใช้โดยไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนและทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา เราจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา ทั้งในเรื่องของการใช้ยาที่ถูกต้อง รู้จักวิธีการเก็บรักษายาไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว และรู้จักสังเกตว่ายานั้นเสื่อมสภาพหรือยัง ดังนี้

ยา
ยา

1. ใช้ให้ถูกโรค คือ ใช้ยาให้ตรงกับโรคที่เป็น เราไม่ควรซื้อยาหรือใช้ยาตามคำบอกเล่าของคนอื่น หรือหลงเชื่อคำโฆษณา ควรจะให้แพทย์ หรือเภสัชกรเป็นคนจัดให้ เพราะหากใช้ยาไม่ถูกกับโรคอาจทำให้ได้รับอันตรายจากยานั้นได้ หรือไม่ได้ผลในการรักษา และยังอาจเกิดโรคอื่นแทรกซ้อนได้ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะทั้งที่โรคที่เป็นไม่เกี่ยวกับการติดเชื้อเลย ซึ่งทำให้เชื้อโรคเกิดการดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้ในภายหลัง

2. ใช้ยาให้ถูกกับคน คือ ต้องดูให้ละเอียดก่อนใช้ว่า ยาชนิดใดใช้กับใคร เพศใด และ อายุเท่าใด เพราะอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคนแต่ละเพศ แต่ละวัยมีความแตกต่างกัน เช่น ในเด็กการตอบสนองต่อยาจะเร็วกว่าผู้ใหญ่มาก ในสตรีมีครรภ์ยาหลายชนิดมีผลทำให้ทารกพิการได้ ในสตรีที่ให้นมบุตรก็ต้องระวังเพราะยาอาจถูกขับทางน้ำนมซึ่งจะส่งผลให้ทารกได้ ในผู้สูงอายุการทำลายยาโดยตับและไตจะช้ากว่าคนหนุ่มสาว

3. ใช้ยาให้ถูกเวลา ควรปฏิบัติดังนี้

– การรับประทานยาก่อนอาหาร ต้องรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดี ถ้าลืมกินยาในช่วงดังกล่าวก็ให้รับประทานเมื่ออาหารมื้อนั้นผ่านไปแล้วอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมได้ดี

– การรับประทานยาหลังอาหาร โดยทั่วไปจะให้รับประทานยาหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วประมาณ 15 – 30 นาที

– การรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือพร้อมอาหาร ให้รับประทานยาทันทีหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หรือจะรับประทานยาในระหว่างที่รับประทานอาหารก็ได้ เพราะยาประเภทนี้จะระคายเคืองต่อกระเพาะมาก หากรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง อาจทำให้กระเพาะเป็นแผลได้

– การรับประทานยาก่อนนอน ให้รับประทานยาก่อนเข้านอนตอนกลางคืนประมาณ 15-30 นาที

– การรับประทานยาเมื่อมีอาการ ให้รับประทานยาเมื่อมีอาการของโรค เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ และยาลดไข้ แก้ปวด

4. ใช้ยาให้ถูกขนาด ควรรับประทานให้ถูกขนาดตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ จึงจะให้ผลดีในการรักษา และควรใช้อุปกรณ์มาตรฐานในการตวงยาไม่ใช้ช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟ เพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง แต่หากต้อง สามารถเปรียบเทียบหน่วยมาตรฐานดังนี้

1 ช้อนชา (มาตรฐาน) = 5 มิลลิลิตร = 2 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 1 ช้อนกินข้าว
1 ช้อนโต๊ะ (มาตรฐาน) =15 มิลลิลิตร = 6 ช้อนกาแฟ (ในครัว) = 3 ช้อนกินข้าว

5. ใช้ยาให้ถูกวิธี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ยาที่ใช้ภายนอก ได้แก่ ขี้ผึ้ง ครีม ยาผง ยาเหน็บ ยาหยอด มีข้อดีคือมีผลเฉพาะบริเวณที่ให้ยาเท่านั้นและมีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อย จึงไม่ค่อยมีผลอื่นต่อระบบในร่างกาย ข้อเสียคือ ใช้ได้ดีกับโรคที่เกิดบริเวณพื้นผิวร่างกายเท่านั้น และฤทธิ์ของยาอยู่ได้ไม่นาน โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาใช้ทา ให้ทาเพียงบางๆ เฉพาะบริเวณที่เป็นหรือบริเวณที่มีอาการ ระวังอย่าให้ถูกน้ำล้างออกหรือถูกเสื้อผ้าเช็ดออก

– ยาใช้ถูนวด ก็ให้ทาและถูบริเวณที่มีอาการเบาๆ

– ยาใช้โรย ก่อนที่จะโรยยาควรทำความสะอาดแผล และเช็ดบริเวณที่จะโรยให้แห้งเสียก่อน ไม่ควรโรยยาที่แผลสด หรือแผลมีน้ำเหลือง เพราะผงยาจะเกาะกันแข็งและปิดแผล อาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคภายใน แผลได้

– ยาใช้หยอด จะมีทั้งยาหยอดตา หยอดหู หยอดจมูก หรือพ่นจมูก

ยาที่ใช้ภายใน ได้แก่ ยาเม็ดยาผง ยาน้ำ ข้อดี คือ สะดวก ปลอดภัย และใช้ได้กับยาส่วนใหญ่ แต่มีข้อเสียคือ ออกฤทธิ์ได้ช้าและปริมาณยาที่เข้าสู่กระแสเลือดอาจแตกต่างกันตามสภาพการดูดซึม โดยมีวิธีการใช้ดังนี้

– ยาเม็ดที่ให้เคี้ยวก่อนรับประทาน ได้แก่ ยาลดกรดและยาขับลมชนิดเม็ดทั้งนี้เพื่อให้เม็ดยาแตกเป็นชิ้นเล็ก จะได้มีผิวสัมผัสกับกรดหรือฟองอากาศในกระเพาะอาหารได้มากขึ้น

– ยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ได้แก่ ยาชนิดที่เคลือบน้ำตาล และชนิดที่เคลือบฟิล์มบาง ๆ จับดูจะรู้สึกลื่น ยาดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์เนิ่นนาน ต้องการให้ยาเม็ดค่อยๆละลายทีละน้อย

– ยาแคปซูล เป็นยาที่ห้ามเคี้ยวให้กลืนลงไปเลย ข้อดีคือรับประทานง่าย เพราะกลบรสและกลิ่นของยาได้ดี

– ยาผง มีอยู่หลายชนิด และใช้แตกต่างกัน เช่น ตวงใส่ช้อนรับประทานแล้วดื่มน้ำตาม หรือชนิดตวงมาละลายน้ำก่อน และยาผงที่ต้องละลายน้ำในขวดให้ได้ปริมาตรที่กำหนดไว้ก่อนที่จะใช้รับประทาน เช่นยาปฏิชีวนะชนิดผงสำหรับเด็ก โดยน้ำที่นำมาผสมต้องเป็น น้ำดื่มที่ต้มสุกและทิ้งให้เย็น ต้องเก็บในตู้เย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็งและหากใช้ไม่หมดใน 7 วันหลังจากที่ผสมน้ำแล้วให้ทิ้งเสีย

– ยาน้ำแขวนตะกอน (Suspension) เช่น ยาลดกรดต้องเขย่าขวดให้ ผงยาที่ตกตะกอนกระจายเป็นเนื้อเดียวกัน จึงรินยารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วตะกอนยังไม่กระจายตัว แสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

– ยาน้ำใส เช่น ยาน้ำเชื่อม ต้องเขย่าขวดก่อนใช้ ถ้าเกิดผลึกขึ้น หรือเขย่าแล้วไม่ละลาย ไม่ควรนำมารับประทาน

– ยาน้ำแขวนละออง (Emulsion) เช่น น้ำมันตับปลา ยาอาจจะแยกออกให้เห็นเป็นของเหลว 2 ชั้น เวลาจะใช้ให้เขย่าจนของเหลวเป็นชั้นเดียวกันก่อน จึงรินมารับประทาน ถ้าเขย่าแล้วยาไม่รวมตัวกันแสดงว่ายานั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

สรุปข้อแนะนำการใช้ยา

1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหาร ในมื้อนั้นๆ

5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้ว มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที

http://www.mnst.go.th/dicpharmacy/PATIENT2.html

เคล็ดลับสุขภาพดี..คุณสร้างได้ไม่ยาก

การมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นใครก็ต้องการกันทั้งนั้น และคนที่เข้าใจวิธีการดูแลตัวเอง รวมถึงใส่ใจตัวเองอย่างจริงจังจึงจะสามารถดูแลสุขภาพให้แข็งแรงได้สมใจ และถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องการทราบถึงวิธีดูแลตัวเองแบบง่ายๆ วันนี้มีเคล็ดลับมาฝากค่ะ

Health
Health

กินอาหารเช้า อาหารเช้าเปรียบเสมือนขุมพลังอันยิ่งใหญ่ให้เราได้มีแรงพลังสำหรับการใช้ชีวิตวันใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ยังช่วยในเรื่องของการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน กระตุ้นการทำงานของสมองทำให้ปลอดโปร่ง อารมณ์ดีแจ่มใสไปทั้งวัน

หมั่นออกกำลังกายเสมอ เลิกใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกายกันได้แล้ว เพราะแม้คุณจะอยู่ที่ทำงานก็สามารถขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ เดินเข้าออกปากซอยเข้าบ้านแทนการนั่งรถ หากระยะทางที่คุณจะผ่านไปไหนไม่ได้ไกลจนเกินไปก็อาจจะปั่นจักรยานไปทำธุระแทนบ้างก็ได้เช่นกัน เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการออกกำลังกายแล้ว

ไม่กินอาหารขณะดูโทรทัศน์ ทราบไหมว่าการกินอาหารหน้าจอโทรทัศน์นั้นจะยิ่งทำให้เรายิ่งกินมากขึ้นอย่างไม่รู้ปริมาณ จึงทำให้เราอ้วนไม่รู้ตัวนั่นเอง โดยเฉพาะพวกขนม ขบเคี้ยว และน้ำอัดลมต่างๆ ยิ่งกินไปดูรายการโปรดไปรับรองพฤติกรรมนี้ทำคุณอ้วนแน่

เลือกเฉพาะเครื่องดื่มที่สำคัญ ควรเน้นการดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ โดยอาจจะค่อยๆ จิบในระหว่างวันแทนการยกดื่มรวดเดียวจนหมด เพราะการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยกระตุ้นการขับสารพิษออกจากร่างกาย อีกทั้งหากต้องการห่างไกลความอ้วนควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงโดยเฉพาะน้ำอัดลม เพราะเป็นตัวการทำให้คุณอ้วนได้โดยง่าย

กินโปรตีนช่วยอิ่มเร็วขึ้น อาหารที่มีโปรตีนช่วยได้ดีในเรื่องของการควบคุมน้ำหนัก โดยหันมากินโยเกิร์ต ธัญพืชต่างๆ ถั่ว เนยแข็ง เมล็ดอัลมอนด์ เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน และเนื้อปลาอย่างปลาทูน่า เป็นต้น นอกจากนี้ ควรทานพร้อมผักและผลไม้ให้ได้ทุกมื้อ เพราะจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์แถมแคลอรี่ก็ต่ำ ไม่ทำให้อ้วน เนื่องจากมีไฟเบอร์สูง ทำให้คุณอิ่มท้องนานมากขึ้นและไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินไว้อีกด้วย

นอนพักผ่อนให้เพียงพอและไม่เครียด การนอนให้เพียงพอทำใจให้สบาย ไม่เครียดเป็นอาหารทางธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพร่างกายมากที่สุด เพราะร่างกายจะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆ ได้ในตัวเอง ส่งผลให้ผิวพรรณผ่องใส และช่วยยืดอายุให้ยืนยาวได้อีกด้วยนะ

เคล็ดลับเหล่านี้ ช่วยคุณห่างไกลจากโรคต่างๆ ได้ ทำให้สุขภาพดีแข็งแรง และสำหรับใครที่ต้องการมีรูปร่างดี แนะนำเลยค่ะกับการทานอาหารต่างๆ รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่หนุนให้ร่างกายของคุณสุขภาพดีแข็งแรงในเวลาต่อมาอย่างได้ผลดีทีเดียว

http://health.todayza.com/2012/12/28/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89/

ลดความอ้วนแบบง่ายๆ อย่างได้ผล

20 ไอเดียง่ายๆ ที่ช่วยคุณ ที่ลดความอ้วนอย่างได้ผล

ลดความอ้วนให้ได้ผล ก็ต้องออกกำลังกายตามโปรแกรม รับประทานอาหารอย่างระวัง แต่สำหรับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลามากนัก เพราะชีวิตยังมีสิ่งอื่นที่ต้องทำมากมาย

fitness dance
fitness dance

ทำ 20 ต่อไปนี้  ทำแล้วให้ผลในเรื่องของการลดน้ำหนัก

1. อย่าปล่อยให้ปริมาณอาหารกำหนดการกินของคุณ
เพราะปริมาณอาหารไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการ ทุกมื้ออาหารควรทานให้อิ่มพอดีๆ อย่าให้ถึงกับรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องเสียดายอาหารที่เหลือในจาน แต่ให้คิดเสียว่าอาหารที่เหลือต่อวัน คือแคลอรีที่คุณสามารถลดได้

2. หาน้ำดื่มทุกครั้งก่อนที่คุณจะหาขนมนมเนยเข้าปาก
ถ้าทำได้ วิธีนี้จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ทั้งลดความอ้วนและประหยัดค่าขนมไปในตัวด้วย

3. กฎเหล็กของการลดความอ้วนคือ การตัด ABC ออก
A หมายถึง Alcohol (แอลกอฮอร์)
B หมายถึง Bread (ขนมปัง)
C carbohydrates (คาร์โบไฮเดรต)

4. ปล่อยให้ตู้เย็นโล่งสะอาดตา
โดยหาเพียงสิ่งที่ทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือทานแล้วช่วยให้คุณดูสวยขึ้น เช่น หาผลไม้หรือน้ำผลไม้ประดับตู้เย็นแทนขนมเค๊ก นมพร่องไขมันเนย และน้ำแร่แช่แทนน้ำอัดลม และที่สำคัญ ควรหาภาพนางแบบหุ่นดีๆ ใส่เสื้อผ้าโชว์สัดส่วนโค้งเว้า มาติดตู้เย็นแทนแม่เหล็กที่แถมจากร้านอาหาร

5. ทานอาหารเช้าเป็นประจำ
เพราะอาหารเช้าสามารถช่วยให้คุณทานอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลง

6. ผลวิจัยบอกว่า การได้ฟังดนตรีเพลงโปรด (ต้องเพลงช้าๆ นะ)
เปรียบเสมือนได้รับประทานอาหารรสเยี่ยม ทีนี้เมื่อคุณเกิดอาการอยากอาหาร ให้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงเพราะแทน

7. เตือนความจำตัวเองด้วยการนำชุดตัวเก่งที่คุณใส่ได้เมื่อครั้งยังผอม แขวนในตู้เสื้อผ้า
ที่คุณสามารถเห็นได้ชัดทุกวัน เพื่อเตือนความจำให้คุณอยากกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง

8 .เมื่ออยู่ห้องแอร์เย็น ๆ ให้หาน้ำขิงหรือชาเขียวดื่มแทน กาแฟ
กาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน น่าตกใจไหมล่ะ

9. นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
เพราะผู้หญิงเรา หากได้นอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40% เชียวนะ

10. ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทุกครั้ง ควรจดรายการที่ต้องการ
แล้วซื้อตามรายการที่จด แทนการเลือกซื้อแบบตามใจฉันจะนึกออก ณ ตอนนั้น หากตั้งใจช้อปของไม่มาก แนะนำให้ถือตระกร้าแทนรถเข็น เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณได้ออกแรงแล้ว ยังช่วยไม่ให้คุณเลือกซื้อของเกินรายการที่ต้องการอีกด้วย

11. หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำงานในเวลากลางคืน
เนื่องจาก แสงของยามค่ำคืนและการนอนดึกจะยิ่งทำให้คุณอยากทานของจุกจิก หรือหิวระหว่างคืนได้ แต่หากคุณต้องการดูหนังในเวลากลางก็สามารถทำได้ด้วยการเปิดไฟดวงน้อย เมื่อหนังจบก็สามารถดับไฟนอนได้เลย

12. เปลี่ยนขนมจุกจิกเป็นลูกอม
เพราะลูกอมมีแคลอรีเพียง 20 แคลอรี และสามารถช่วยให้คุณหายหิวได้ถึง 20 นาที

13. เติมความสดชื่นด้วยชาเขียว
เพราะชาเขียวสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ควรหาชาเขียวมาดื่มร้อนๆ สักสามถ้วยต่อวัน

14. ทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยไม่ทานอาหารในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ
เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต หากต้องการกิน ก็ควรนั่งกินบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

15. หาเวลาสัก 20 นาทีต่อวัน
สำหรับการเดินเล่น ชมสวน หรือนั่งเล่นท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ วิธีนอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยเผาผลาญแคลอรีต่อวันได้อีกด้วย

16. ใช้บันไดแทนลิฟ
หากคุณทำงานหรือเรียนอยู่บนชั้นสูงๆ ให้ขึ้นลิฟไปถึงก่อนชั้นทำงานหรือชั้นเรียนอย่างน้อย 2 ชั้นที่เหลือให้ใช้บันไดแทน

17. ปลดปล่อยอารมณ์ให้สุดเหวี่ยงขณะขับรถ
โดยการฟังเพลงแดนซ์เพลงโปรดของคุณ ร้องออกมาดังๆ แล้วขยับร่างกายตามจังหวะเพลง ไม่ต้องไปสนใจใครหรอก โดยเฉพาะหากรถยังแล่นอยู่

18. ยุ่งนัก หาเวลาออกกำลังไม่ได้ ให้หาถุงเท้าใส่อยู่บ้านแล้วโลดแล่นให้ทั่วพื้นบ้าน
จินตนาการว่ากำลังเล่นสเก็ตอยู่ เพียง 10 นาทีก็ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีเชียวนะ

19. หาวีดีโอหรือวีซีดีออกกำลังกายสักหนึ่งชุด
แล้วเปลี่ยนห้องของคุณให้กลายเป็นเฮ็ลท์คลับส่วนตัว เปิดแอร์ได้ไม่ว่ากันค่ะ

20. เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ แล้วเริ่มหัดทำงานบ้านเสียบ้าง
เพราะทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเปรียบเสมือนได้ออกกำลังกายและเผาผลาญแคลอรีในตัว

ขอบคุณข้อมูล สนุกดอทคอม (Sanook.com)

http://www.suksabay.com/p/150/20-%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9C%E0%B8%A5.html

คอลลาเจนผงแบบชงดื่ม ช่วยให้ผิวขาวใสได้จริงหรือไม่

ต้องบอกก่อนว่าคอลลาเจนที่หลาย ๆ คนสงสัยว่ามันคืออะไร แท้จริงแล้วมันก็คือ โปรตีนธรรมชาติที่อาศัยอยู่ในร่างกายเราถึง 75% มีลักษณะเป็นเส้นสายใยที่มีความยืดหยุ่นได้ดีซึ่งทำงานร่วมกันอีลาสติน ทำหน้าที่ปกป้องรองรับไปจนถึงเชื่อมอวัยวะต่าง ๆ อาทิ กระดูก เอ็น เนื้อ เล็บ ทั้งยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึงได้อีกด้วย

ซึ่งคอลลาเจนในรูปแบบผงที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วจะสกัดมาจากปลาทะเล น้ำลึก เปลือก เกล็ดหรือส่วนต่าง ๆ จากสัตว์ทะเลผสมรวมกับกลูต้าไทโอน วิตามินซี วิตามินอีและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งก็แตกต่างกันออกไปตามแต่ละแบรนด์ที่ได้กำหนดและคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดูแลผิวให้สวย มีสุขภาพดี สดใสด้วยคอลลาเจน

ข้อดีที่น่าสนใจของคอลลาเจนแบบชงดื่มนั่นก็คือ วิธีการกินของมันไม่ยุ่งยาก เพียงผสมกับน้ำดื่ม แถมยังหาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่สูงเมื่อเทียบเท่ากับวิธีการอื่น ๆ ส่วนข้อเสียที่ตามมาก็มีอยู่มากนั่นคือ ผลข้างเคียงของการกิน อาทิ หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น ไตทำงานหนัก ซูบซีด ความดันผิดปกติ อันเนื่องมาจากตัวยาหรือสารสกัดบางตัวที่ผสมอยู่ในคอลลาเจน เป็นต้น

การกินคอลลาเจนผงแบบชงนั้น ก็ยังไม่มีบทสรุปอย่างเป็นทางการว่าจะช่วยทำให้ร่างกายและผิวขาวใสเต่งตึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางที่ดีแล้วสาว ๆ ควรพิจาณาถึงผลดี ผลเสียของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแต่ละประเภทก่อนซื้อมาใช้  รวมไปถึงลองหันกลับมาดูแล เสริมสร้างคอลลาเจนตามวิถีธรรมชาติด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1.  ดื่มน้ำสะอาดต่อวันให้มาก ไม่น้อยกว่าวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยเติมให้ผิวชุ่มชื้นอยู่ตลอด

2. เน้นกินอาหารที่มีวิตามินและมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้ทุกชนิด เนื้อสัตว์ อาทิ ปลาทะเล ถั่วเหลือง สาหร่าย เห็ด เป็นต้น หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อย่างแป้ง ของทอด ของมัน

3. หลีกเลี่ยงการตากแดดหรืออยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เพราะเหล่านี้จะเป็นตัวทำลายผิวให้หมองคล้ำ แห้งเสียขาดสมดุล

4. บำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่นอย่างสม่ำเสมอด้วยครีมมอยส์เจอไรเซอร์

5. ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอในทุก ๆ วัน

จริง ๆ แล้วคอลลาเจนที่ดีและมีประโยชน์นั้น เราเองก็สามารถเสริมสร้างและเติมลงสู่ผิวได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อคอลลาเจนสกัดจากที่ไหน ๆ มารับประทานให้เปลืองเงิน เพียงแค่ใช้เวลาและหันมาดูแลตัวเองเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย เราก็จะมีผิวสวย นุ่มเนียน ตึงกระชับแล้วหละค่ะ

อยากผิวดูเปล่งปลั่ง ลองใช้วิธีตบตาแบบนี้ (Lisa)

ขั้นตอนที่ 1 : บรอนเซอร์คือผลิตภัณฑ์จำเป็นในการสร้างความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า ซึ่งควรเลือกใช้แบบเนื้อแมตต์ (ที่ไม่ได้ผสมผงเรืองรองหรือชิมเมอร์) เพื่อจะได้ดูเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยลูบไล้จากบริเวณใบหูไปถึงมุมปาก พยายามเกลี่ยให้สีจางลงเรื่อย ๆ จนถึงมุมปาก

ขั้นตอนที่ 2 : เติมความแดงระเรื่อบนโหนกแก้มให้ดูสมจริง โดยจำเป็นต้องพึ่งบลัชออนในขั้นตอนนี้ ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งก็ควรเลือกใช้แบบครีม เพราะจะช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีกว่า แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวมันง่ายก็ควรเลือกใช้เนื้อแมตต์ เลือกโทนสีชมพูอมน้ำตาลจะทำให้ดูเปล่งปลั่งเป็นธรรมชาติได้ดีกว่า

ขั้นตอนที่ 3 : ใช้แปรงปัดแก้มอันใหญ่ ๆ ฟู ๆ เกลี่ยสีบรอนเซอร์กับบลัชออนให้มีสีกลืนกัน อย่าให้เห็นเป็นเส้นขอบตัดกัน ถ้าคุณอยากได้ความเปล่งปลั่งเรืองรองก็ควรย้ายไปเติมบริเวณดวงตา โดยใช้อายแชโดว์สีเมทัลลิค หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำไฮไลท์แตะแต้มบริเวณโหนกคิ้ว

ศ.พิเศษ ภาวิช ขอแค่ 6 เดือนทำหลักสูตรใหม่

ผู้บริหารประเทศด้านการศึกษา
ผู้บริหารประเทศด้านการศึกษา


ปฏิรูปการศึกษา

1. ศ.พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ขอ 6 เดือน ทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่เสร็จ
2. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา  ขอจับเรื่องปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปครูก่อน
3. รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ ชี้ว่าประเทศผู้นำด้านการศึกษาใช้เวลาปฏิรูปหลักสูตรถึง 10-20 ปีกว่าจะสำเร็จ
กรุงเทพฯ *ภาวิช” ขอ 6 เดือนทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่เสร็จ ชี้จะกำหนดให้ชัดเจนไปเลยว่าครูต้องสอนอะไร สอนอย่างไร ขณะที่นักเรียนจะเรียนในห้องเรียนน้อยลง แต่ให้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนแทน พร้อมเสนอ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปการศึกษาชาติ ขณะที่ “พงศ์เทพ” ขอจับเรื่องปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปครูก่อน “สมพงษ์” เตือนต้องรอบคอบระวังพลาด ชี้เพราะประเทศผู้นำด้านการศึกษาใช้เวลาปฏิรูปหลักสูตรถึง 10-20 ปีกว่าจะสำเร็จ แต่ไทยจะใช้เวลาแค่ 6 เดือนหรือ
ศ.พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ที่ปรึกษา รมว.ศธ.) ในฐานะประธานกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวบรรยายเรื่อง “การปฏิรูปหลักสูตร : ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาไทย” ในงานประชุมระดมความคิดเรื่องกรอบแนวทางการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศธ. เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า หลักสูตรการศึกษาเป็นสาเหตุหนึ่งของคุณภาพการศึกษา ซึ่งหลักสูตรการศึกษาที่ดีจะต้องมีความทันสมัย มีวงจรการประเมินผลการใช้งาน มีการกำหนดระยะเวลาปรับหลักสูตรเป็นรอบๆ ขณะที่ปัจจุบันระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของเราใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ซึ่งหากดูในเนื้อหาแล้วหลักสูตรดังกล่าวเป็นเพียงการปรับเล็กจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ฉะนั้นอาจบอกได้ว่าหลักสูตรที่เรายึดใช้อยู่เก่าไปแล้ว ขณะเดียวกันก็ดูจะมีปัญหากับการใช้อยู่ในปัจจุบัน
ที่ปรึกษา รมว.ศธ. กล่าวอีกว่า หากลงลึกในหลักสูตรแกนกลางฯ พ.ศ.2551 จะพบว่าเป็นหลักสูตรแบบย่อ เพื่อจะเปิดโอกาสให้ครูสามารถนำความรู้ไปต่อยอดการสอนเอง หรือเป็นการออกแบบหลักสูตรที่ต้องการครูเก่ง แต่สภาพความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้น ทำให้หลักสูตรปัจจุบันไม่ช่วยให้ผลสัมฤทธิ์การศึกษาดีขึ้น ขณะเดียวกันหลักสูตรปัจจุบันยังมีวิธีการบรรจุความรู้ให้นักเรียนแบบหน้ากระดาน ผ่านวิชาตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 โดยเฉพาะกับนักเรียนช่วงชั้นประถมต้น ไม่เหมือนในต่างประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์การศึกษาดี อย่างประเทศฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และอังกฤษ ที่มีวิธีการบรรจุความรู้ให้นักเรียนอย่างมีการวางระบบที่สอดคล้องกับช่วงวัย อย่างช่วงชั้นประถมต้น จะเน้นเรื่องการสอนทักษะชีวิต การใช้ภาษาเป็นหลัก อาทิ วิชาวิทยาศาสตร์ จะเป็นการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ผ่านการบรูณาการหลายเนื้อหาของช่วงชั้นประถมต้น และเพิ่มเป็นรายวิชาวิทยาศาสตร์ในชั้นประถมปลาย หรือช่วงชั้นที่สูงขึ้น
ส่วนโครงสร้างเวลาเรียน พบว่า ปัจจุบันเด็กไทยมีชั่วโมงเรียนในห้องเรียนมากเป็นอับดับ 2 ของโลก คือระดับประถมศึกษา 1,000 ชั่วโมงต่อปี ระดับมัธยมศึกษา 1,200 ชั่วโมงต่อปี เป็นรองประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกาที่มีชั่วโมงในห้องเรียนมากสุด 1,400 ชั่วโมงต่อปี ขณะที่ประเทศฮ่องกงซึ่งมีคะแนนการสอบพิซาเป็นอันดับ 1 มีชั่วโมงเรียนในห้องเรียน 700 ชั่วโมงต่อปี และผลวิจัยของยูเนสโกชี้ว่า ชั่วโมงเรียนในห้องเรียนที่ดีต้องอยู่ที่ประมาณ 800 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้น ดังนั้น แน่นอนว่าการปฏิรูปหลักสูตรครั้งนี้จะต้องมีการปรับสัดส่วนชั่วโมงเรียนในห้องเรียนลดลงแน่นอน แต่ก็ยืนยันว่าไม่ใช่การลดการจัดการศึกษา เพราะจะเป็นการทดแทนด้วยชั่วโมงเรียนโครงงาน กิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
คาดว่าจะออกแบบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ได้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือนนับจากนี้ ส่วนแนวทางหลักสูตรครั้งนี้ เราจะลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น อย่างครู เราจะกำหนดเลยว่าต้องสอนอะไร สอนอย่างไร หรือครูคนใดเก่งอยู่แล้ว อยากสอนนอกเหนือที่กำหนดก็สามารถทำได้ ใครไม่คิดเพิ่มก็ทำตามที่กำหนด ส่วนนักเรียนจะเรียนเนื้อหาวิชา มีชั่วโมงเรียนที่เหมาะสม โดยเราจะออกแบบไม่ทำให้การเรียนเหมือนการติดคุก” ศ.พิเศษภาวิชกล่าว
ศ.พิเศษภาวิช กล่าวทิ้งท้ายว่า การปฏิรูปหลักสูตรจะทำอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำควบคู่กันไปเป็น 5 ยุทธ ศาสตร์ ได้แก่ การปฏิรูปหลักสูตร การปฏิรูปครู การตั้งศูนย์  STEME ทุกจังหวัดเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ และอังกฤษ ให้โรงเรียนทั่วประเทศ การใช้ไอซีทีเพื่อการศึกษา และการปฏิรูปโครงสร้าง ศธ. ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสนอนายพงศ์เทพไปแล้ว ขณะที่ รมว.ศธ.ก็หนักใจ และขอจับเรื่องปฏิรูปหลักสูตรก่อน อย่างไรก็ตาม เพราะเรื่องการกระจายอำนาจก็มีผลต่อคุณภาพการศึกษา อย่างกรณีตั้งเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่าเขตพื้นที่ฯ ไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร เพราะเราไม่กำหนดชัดเจน ทำให้เกิดการกินหัวคิวโยกย้าย การรับใต้โต๊ะเต็มไปหมด ขณะที่โรงเรียนก็เริ่มหมดความเข้มแข็งลงไปทุกวัน แต่หากเป็นประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีกลับไม่ต้องมีเขตพื้นที่ฯ เพราะเขาให้อำนาจโรงเรียนไปเลย
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เราต้องมีการทบทวนสัดส่วนโครงสร้างเวลาเรียนใหม่ ปัจจุบันเรามีชั่วโมงเรียนมาก แต่ประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีกลับมีชั่วโมงเรียนน้อยกว่าเรา ดังนั้นทัศนคติที่ว่าเรียนมากจะรู้มากก็ไม่จริงเสมอไป ทั้งนี้ หากเราสอนให้เด็กรู้จักคิด วิเคราะห์เป็น เด็กก็สามารถคิดวิเคราะห์เรื่องอื่นได้ด้วยโดยอาจไม่ต้องสอนเนื้อหานั้น อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปหลักสูตรและการปฏิรูปครูเป็นเรื่องหลักที่ตนเน้น ส่วนเรื่องปฏิรูปโครงสร้าง ศธ.เป็นเรื่องเสริม ซึ่งค่อยทำเมื่อเรื่องหลักสำเร็จก็ได้
ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราฯ กล่าวว่า ระยะเวลา 6 เดือนที่ตั้งเป้าทำหลักสูตรใหม่เสร็จสิ้น อยากเตือนให้ออกแบบหลักสูตรด้วยความละเอียดรอบคอบ เพราะกลัวจะพลาด อย่างประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาอันดับที่ 1 หรือ 2 ของโลก เขาทำทั้งวิจัยและพัฒนาหลักสูตรใช้เวลา 10-20 ปี ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอ 5 ยุทธศาสตร์ เพราะเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งอยากให้นำแต่ละข้อเสนอมากำหนดขอบเขตเวลาที่จะเริ่มต้นและเสร็จสิ้นเพื่อให้เป็นรูปธรรมด้วย.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.glongchalk.com/?p=3174
http://www.thaipost.net/news/110313/70685
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32003&Key=hotnews

ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบตลอดเวลา (itinlife388)

spec tab ป.1 ม.1 2556
spec tab ป.1 ม.1 2556

สุดสัปดาห์ก็จะนั่งดูรายการ take me out เป็นรายการที่เอาผู้หญิงกับผู้ชายมายืนเลือกกัน รู้สึกว่าการหาคู่ชีวิตคือการเปรียบเทียบคุณสมบัติของเพศตรงข้ามที่ไม่ซับซ้อนเหมือนชีวิตจริง  อีกรายการคือ 12 ราศี ที่ต้องทำนายทายทักตามดวงดาวต้องเปรียบเทียบว่าแต่ละสัปดาห์จะไปในทิศทางใดกระทบโชคชะตาของเราอย่างไรตามโจทย์ที่รายการกำหนดขึ้น ส่วนเวทีประกวดร้องเพลง the star ก็จะมีคนหนุ่มสาวมายืนร้องเพลง แล้วให้เราส่ง sms ไปเชียร์ ก่อนส่งก็ต้องเปรียบเทียบว่าผู้เข้าแข่งขันคนใดที่เราเลือกลงทุนลงแรงเชียร์ ล่าสุดก็เลือกตั้งผู้ว่ากทม. เพราะรายการทีวีทุกช่องนำเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง คนต่างจังหวัดก็ร่วมลุ้นเชียร์การชิงชัยครั้งนี้ไปด้วย มีข้อมูลให้เปรียบเทียบทุกวัน เปลี่ยนใจได้ทุกเวลาตามกระแสข้อมูลที่เข้ามา แล้วสุดท้ายผลการเลือกตั้งก็พลิกไม่เป็นตามผลโพลล์

เดือนมีนาคม 2556 มีกระแสเรื่องแท็บเล็ต ป.1 และการเตรียมงบประมาณสำหรับติดตั้ง wi-fi สนับสนุนการใช้แท็บเล็ต จะทำให้นักเรียนระดับประถม และมัธยมมีอุปกรณ์ใช้รวมกันเป็น 1 ใน 4 ของนักเรียนทั้งหมดในประเทศไทย หากดูสถิติจะพบว่าปัจจุบันคนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมี 25 ล้านคน จากข้อมูลของ truehits.net และเข้าถึงเฟซบุ๊ค 18 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 70 หากไม่นับผู้คนในชนบท ผู้ใหญ่ใกล้เกษียณ และเด็ก ก็อาจประเมินได้ว่ามากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะเข้าถึงเฟซบุ๊คด้วยเช่นกัน แล้วมาเปรียบเทียบว่าการใช้เฟซบุ๊คกับไม่ใช้เฟซบุ๊ค ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่เคยฟังคุณโน๊ตในเดี่ยว 9 พูดถึง social media พบว่าวิธีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนไป

ชีวิตมักขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบ พบเห็นได้ในเฟซบุ๊ค อาจเปรียบเทียบตัวเองกับตัวเองหรือกับคนอื่น ว่าอดีต ปัจจุบัน อนาคตเป็นอย่างไร แต่ในชีวิตจริงเรานำผลการเปรียบเทียบมาปรับวิถีชีวิตมากน้อยเพียงใดก็ยังเป็นคำถาม จากการติดตามข่าวเรื่องแท็บเล็ต ป.1 ที่ใช้มาแล้ว 1 ปีก็มีเรื่องให้เปรียบเทียบว่าใช้แล้วมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คุณภาพการศึกษา ความสามารถในการแข่งขันของเยาวชนดีขึ้นหรือไม่ ส่วนผู้ที่ดูแลนโยบายด้านการศึกษาก็มีกันหลายมุมมอง บางท่านก็บอกว่าปรับหลักสูตร 6 เดือนเสร็จ บางท่านก็บอกว่าปฏิรูปครูก่อน บางท่านก็บอกว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จใช้เวลานับสิบปี ประเทศไทยมีอะไรให้ติดตามและเปรียบเทียบกันอยู่ตลอดเวลา ที่ต้องตามกันต่อไป

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=30719&Key=hotnews

คนไทยป่วยเป็นโรคไตเพิ่มปีละเป็นหมื่น

ลดเค็มก็ลดโอกาสเกิดโรคไต
ลดเค็มก็ลดโอกาสเกิดโรคไต

อึ้ง! คนไทยป่วยไตเพิ่มปีละหมื่น “เหนือ-อีสาน” สภาพแวดล้อมเอื้อเป็นนิ่ว
ย้ำลดเค็มลดเสี่ยงได้

นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มผู้ป่วยโรคไตมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีเฉลี่ยประมาณปีละ 1 หมื่นราย จากข้อมูลล่าสุดพบคนไทยป่วยเป็นโรคไตร้อยละ 17.5 ของประชากร หรือประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งมีตั้งแต่ระยะต้นไปถึงระยะท้าย สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มระยะท้ายที่ต้องล้างไต ฟอกเลือด ประมาณ 4 หมื่นคน จะใช้ค่าใช้จ่ายสูงอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อคนต่อปี สำหรับสัดส่วนการเกิดโรคไตยังคงมาจาก 2 โรคหลัก คือ เบาหวานและความดันโลหิตสูง และยังมีสาเหตุจากโรคอื่น เช่น นิ่ว การรับประทานยาบางชนิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน เป็นต้น ทั้งนี้ จะพบประชากรที่ป่วยด้วยโรคนิ่วและทำให้เกิดโรคไตชุกในภาคเหนือและภาคอีสาน แม้จะยังเป็นรองจากความดันและเบาหวาน แต่ก็ถือเป็นปัจจัยที่ต้องระวังในประชากรกลุ่มนี้

ความชุกในการเกิดโรคนิ่ว ที่เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังในภาคเหนือ และภาคอีสาน ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่มีความผิดปกติของเกลือแร่บางอย่าง และสภาพอากาศที่ร้อนจัด เมื่อดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัสสาวะข้น และเป็นสาเหตุการเกิดโรคนิ่วขึ้นได้ และยังพบว่า มีส่วนมาจากพันธุกรรมของประชากรในภาคเหนือและอีสานด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดยังเป็นเรื่องของความดันโลหิตและเบาหวาน จึงต้องควบคุมน้ำหนักและลดเค็มเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคไตด้วย” นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร กล่าว

นาวาอากาศเอก นพ.อนุตตร กล่าวว่า สำหรับประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังด้วยวิธีฟอกเลือด เมื่อเปรียบเทียบกับการล้างไตผ่านช่องท้องนั้นงานวิจัยทั่วโลกและประเทศไทย พบว่า มีอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อน และอัตราการเสียชีวิตใกล้เคียงกัน และจะมีข้อดีและข้อเสียในการรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วยเอง เช่น ความสะดวกในการเดินทาง การช่วยเหลือตนเอง โดยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้อง จะเหมาะกับคนอายุไม่มากนักสามารถดูแลตัวเองได้ เพราะสามารถทำได้ด้วยตนเองทุกวัน และอาจเหมาะกับผู้ป่วยในบางจังหวัด ซึ่งเครื่องล้างไตไม่เพียงพอ เพราะไม่ต้องเดินทางมาโรงพยาบาลทุก 3 วัน
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000029980

โพลล์หลายค่ายได้ผลสำรวจไม่ตรงกับความจริง ในเลือกตั้งผู้ว่ากทม.56

vote ออกเสียง
vote ออกเสียง

โพลล์พลาดครั้งที่ 2
จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั้งก่อนเลือกตั้ง และ exit poll ในการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2556 เวลา 8.00น. – 15.00น. พบว่าสำนักโพลล์เกือบทุกแห่งสรุปผลว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จะได้รับคะแนนเสียงสูงสุด แต่หลังจากนับคะแนนอย่างเป็นทางการ ผลที่ได้คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ได้คะแนนเสียงสูงสุด ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ที่ผลสำรวจผิดพลาดจากการสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ
+ http://news.mthai.com/bangkokelection2013

สวนดุสิตโพล ผู้ว่ากรุงเทพฯ 2556
สวนดุสิตโพล ผู้ว่ากรุงเทพฯ 2556

โพลล์พลาดครั้งที่ 1
ครั้งแรกนั้นเกิดในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 24 ของประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2554 ผลโพลล์สำหรับพื้นที่เป็นกรุงเทพฯ มีการเผยแพร่ว่าผลสำรวจที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกเป็นจำนวนที่มากกว่า แต่เมื่อผลออกมาอย่างเป็นทางการพบว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ 23 เขต และพรรคเพื่อไทยได้ 10 เขต จากทั้งหมด 33 เขตในกรุงเทพฯ
+ http://hilight.kapook.com/view/60420
+ http://www.siamintelligence.com/thai-general-election-2011/

กรุงเทพฯ โพลล์ ผู้ว่ากทม. 2556
กรุงเทพฯ โพลล์ ผู้ว่ากทม. 2556

ผลสำรวจของดุสิตโพลล์ 2556
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯที่มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. กรณี  “การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในสายตาของคนกรุงเทพฯ” จำนวน 3,214 คน โดยกระจายครบทั้ง 50 เขตเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 26-30 มกราคม 2556 สรุปผล ดังนี้

อันดับ 1    พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ    41.00%
อันดับ 2    ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร    36.12%

อันดับ 3    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส      6.88%
อันดับ 4    นายโฆษิต สุวินิจจิต      0.97%
อันดับ 5    นายสุหฤท สยามวาลา      0.53%
*    ยังไม่ตัดสินใจ    13.93%

+ http://www.krobkruakao.com/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%A1/

นิด้าโพลล์ เลือกผู้ว่า 2556
นิด้าโพลล์ เลือกผู้ว่า 2556
บ้านสมเด็จโพลล์ และเอแบคโพลล์ เลือกผู้ว่า 2556
บ้านสมเด็จโพลล์ และเอแบคโพลล์ เลือกผู้ว่า 2556