อันตรายต่อสุขภาพกับการอยู่หน้าจอเป็นเวลานานๆ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ในชีวิตคนทำงานปัจจุบันเราจำเป็นต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายพันชั่วโมงต่อปี คนทำงานโดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิศ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจกับอันตรายที่อยู่ใกล้กว่าที่คิด ทั้งอาจเกิดอาการไหลตาย และเป็นโรคร้ายสะสม ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน รวมถึงเด็กและวัยรุ่นที่ติดเกมคอมพิวเตอร์ด้วย

1. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ถ้าเล่นจนเกินขอบเขต เกินความพอดี อาจเป็นอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่ามีนักศึกษา เล่นเกมจนช็อกตายหรือ ไหลตายคาร้านเกม

2. กลุ่มคนที่มีโอกาสพบปัญหาไหลตายในอนาคต คือ เด็กวัยรุ่นที่เล่นเกมโดยไม่นอนทั้งคืน หรือคนทำงานที่เสพข้อมูลทาง

3. อินเทอร์เน็ตแบบหามรุ่งหามค่ำบ่อย ๆ ในทางการแพทย์เชื่อว่ามันเป็นโรคทางพันธุกรรม และเกิดจากการขาดวิตามินบางตัว และส่วนหนึ่งเกิดจากร่างกายทำงานหนักเกินจะรับไม่ไหว จากสถิติพบว่าคนในวัยกลางคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้มีความเสี่ยงมากที่สุด การไหลตายหน้าจอคอมพิวเตอร์ เกิดด้วยสาเหตุรวมของการอดนอนมาก ๆ ขาดวิตามินบางตัวหรือสารอาหารบางตัว มีปัญหาโรคโดยไม่ทราบ สาเหตุ ติดคอมพิวเตอร์คล้ายติดสิ่งเสพติดจนต้องเพิ่มขนาดปริมาณ เดี๋ยวอีก 10 นาทีจะนอน กลายเป็นตีสาม และ 6 โมงเช้าต้องตื่นกลางวันต้องทำงาน ก็ดื่มกาแฟไปมาก ๆ บางครั้งต้องใช้ยากระตุ้นประสาทเพื่อไม่ให้ง่วง ถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ คุณต้องคิดใหม่ทำใหม่ ด่วน!!!!

4. ผลกระทบทางตรงของคอมพิวเตอร์ คือ ดวงตา อาจเกิดอาการเบลอ ๆ มองภาพไม่ชัดเจนซึ่งเกิดชั่วคราวจากรังสีที่แผ่ออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ อาการที่เกิดขึ้นจากการมองจอภาพเป็นเวลานาน ๆ นี้เรียกว่า Computer Vision Syndrome (CVS) และเมื่อเราใช้คอมพิวเตอร์ไปนาน ๆ หรือเพ่งจอมาก ๆ จะทำให้รู้สึกว่าปวดตา อาจทำให้สายตา มีปัญหา เช่น สายตาสั้น จึงควรพักสายตา เมื่อใช้มันจ้องหน้าจอนาน ๆ จนเริ่มปวดตา ควรหยุด โดยละสายตามองทางอื่น หรือลุกขึ้นไปเพื่อผ่อนคลายก่อนแล้วจึงลงมานั่งทำงานต่อ อย่าฝืนมากเกินไปอาจจะเป็นผลเสียต่อตัวเอง

5. เกิดอาการ Repetitive Strain Injury หรือ RSI ซึ่งสามารถเป็นได้กับทุกส่วนของร่างกายจากการนั่งทำงานหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบไม่ถูกสุขลักษณะ ตั้งแต่แขน, ข้อมือ, ข้อนิ้ว, แผ่นหลัง, ต้นคอ, หัวไหล่ และสายตา เนื่องจากอวัยวะส่วนที่มีปัญหาถูกวางค้าง ถูกทิ้งน้ำหนัก หรือกดทับนาน ๆ จนอักเสบ หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจต้องผ่าตัดเอ็น ปัจจุบันมีบริษัทที่ได้พยายามผลิตเครื่องป้องกันอันตราย จากคอมพิวเตอร์ที่มีผลต่อร่างกาย เช่น ทำให้เมาส์มีรูปทรงการใช้งานในแบบขนานเหมาะมือ ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นเพื่อสร้างโต๊ะวางคอมพิวเตอร์ และเก้าอี้นั่งพิมพ์ให้เหมาะสมกับร่างกาย ของใหม่อาจจะมีราคาแพงกว่าของทั่วไป แต่ก็คุ้มกว่าค่ารักษาพยาบาล และสุขภาพที่เสื่อมโทรม

6. ในอเมริกาอาการของโรค RSI เป็นโรคที่เกิดจากการทำงานที่ มีตัวเลขสูงเป็นอันดับหนึ่ง มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีประมาณ 300,000 คน อัตราการเจริญเติบโตเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี ประมาณ 20% พนักงานต้องขาดงานโดยเฉลี่ย 30 วันทำงานต่อปี แม้ขณะนี้ RSI จะยังไม่ใช่ปัญหาของสังคมไทย แต่คาดว่าอนาคตอันใกล้ คนไทยจะมีเปอร์เซ็นต์จาก อาการเจ็บป่วยเมื่อใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ มากขึ้น เพระมีการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นจนน่ากลัวในทุกกลุ่มคน เภทภัยที่น่ากลัวและอันตรายที่สุดมักมากับความเงียบในรูปแบบของความเพลิดเพลิน ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับใครไม่อยากมีอันตรายผ่อนส่ง คือการรู้จักสำรวจตัวเองเป็นระยะด้วยการตรวจสุขภาพ และใช้เวลากับทุกอย่างรอบตัวอย่างสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำจัดนิสัยเสีย ๆ จากความสุขที่ส่งผลต่อร่างกาย

7. ระวังจะเป็น Qwerty Tummy โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษร ชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ด ซึ่งอาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย สาเหตุเกิดจากอาหารเป็นพิษ โดยผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ด การศึกษาแสดงว่าคีย์บอร์ด เป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัวด้วยคนทำงาน 1 ใน 10 ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์ ขณะที่ 50%ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือนดังนั้นจึงควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาด ๆ อย่างน้อยเดือนละครั้งเสมอ

8. จัดระเบียบเพื่อระบบสุขภาพที่ดี ด้วยการสำรวจท่านั่งเวลาทำงานของตัวเอง ควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ ประมาณ 18-24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อ สามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขน โต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่น ๆ ในการทำงาน

และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่งใกล้จอเกินไป โดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้อง นั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซี ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสีไฟฟ้าออกมา แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ปลอดภัยกว่า หากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน

http://brightlives.th.88db.com/health/monitor.htm

กินทุเรียน…อย่างไรให้สุขภาพดี

ทุเรียน
ทุเรียน

แนะกินทุเรียน เพื่อให้สุขภาพดี ควรกินไม่เกินครั้งละ 2 เม็ด เนื่องจากให้พลังงานสูง แต่คนเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจต้องกินอย่างระวัง และห้ามกินทุเรียนแกล้มเหล้าเพราะทำให้เมาเร็ว และเสี่ยงเสียชีวิต หรือเกิดอาการร้อนใน เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

เนื่องจากทุเรียนได้รับการยอมรับว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ไทย เป็นผลไม้ที่มีความอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการ และได้รับความนิยมสูง มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ถ้ากินพอดีและกินให้ถูกจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย

กินทุเรียนเพื่อสุขภาพ โดยกินครั้งละไม่เกิน 2 เม็ดขนาดกลาง น้ำหนักเฉพาะเนื้อประมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานสูงถึง 187 กิโลแคลอรี ให้ไขมัน 4.1 กรัม โปรตีน 2.5 กรัม และให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินเอ ประมาณ 18 มก. 36 มก. 1 มก. และ 22 มก.ตามลำดับ

แต่ถ้าหากกินครั้งละ 2-3 พู เท่ากับ 4-6 เม็ด หรือเกือบครึ่งลูก ก็จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากความหวานของทุเรียนมากเกินไปถึงประมาณ 400 กิโลแคลอรี ซึ่งพอๆ กับกินข้าว 5 ทัพพี หรือกินน้ำอัดลมเกือบ 2 กระป๋อง หรือก๋วยเตี๋ยวหมู 1 ชาม

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ให้ระมัดระวังในการกินทุเรียน กินได้แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าคนปกติ นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องระมัดระวังในการกินทุเรียน คือ ต้องไม่กินร่วมกับการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันหรือซัลเฟอร์อยู่มาก ซึ่งจะละลายได้ดีในแอลกอฮอล์ ทำให้แอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดได้เร็ว ทำให้เมาเร็วและเมาหนักขึ้น ก่อให้เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เสี่ยงเสียชีวิตหรือเกิดอาการร้อนใน เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ส่วนความเชื่อที่ว่า กินทุเรียนแล้วให้กินมังคุดตามเพื่อแก้ร้อนใน ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดี แม้จะไม่มีงานวิจัยรองรับ แต่คิดว่าเป็นกุศโลบายของคนรุ่นเก่า ที่คิดว่าทุเรียนเป็นของร้อน แล้วให้กินมังคุดเป็นของเย็นแก้กัน และคงต้องการให้คนกินผลไม้ที่หลายหลากชนิดด้วย

http://www.chiantavee.com/index.php?mo=3&art=195011

วิธีที่ทำให้อายุยืนถึง 100 ปี

ปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น โดยดูตัวเลขจากหน่วยงานของรัฐที่เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ.2546  ซึ่งนับว่าเร็วกว่าอีกหลายประเทศในเอเชีย จำนวนผู้สูงอายุไทยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 10% ของจำนวนประชากรในวัยทำงาน เป็น 23% ในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ใน ปี พ.ศ. 2575 แม้ว่าการมีอายุยืนมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ แต่วิถีการดำรงชีวิตก็เป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน   ดังนั้น การจะอยู่ให้ถึง 100 ปี จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากคุณลองทำตามคำแนะนำ 10 วิธีที่ทำให้ตัวเองอายุยืน ดังต่อไปนี้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. กินอาหารทะเล
ประเทศไทยนับว่าโชคดีที่มีอาหารทะเลให้รับประทานตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา อาหารทะเลอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา-3 ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง รวมถึงสุขภาพองค์รวมในทุกๆ วัย

2. ดื่มน้ำเยอะๆ
บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย น้ำมีประโยชน์ต่อร่างกาย คุณควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรหรือ 8 แก้ว และจะยิ่งดีหากคุณเลือกดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หรือน้ำตาล เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีอายุยืนถึง 100 ปีได้อย่างสบายๆ

3. ทำอาหารทานเอง
การทำอาหารรับประทานเอง ทำให้เราเลือกวัตถุดิบที่นำมาปรุงได้ ต้องปราศจากสารกันบูด และไม่มีน้ำตาลหรือเกลือมากเกินควร จะดีไปกว่านั้นหากเป็นพืชผักที่คุณปลูกไว้ทานเอง เพราะเมื่อเก็บมาสดๆ จะอุดมด้วยธาตุอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน คืนความเยาว์วัยให้สมองและร่างกาย

4. ออกกำลังกายอยู่เสมอ
มีงานวิจัยระบุว่า คนที่ออกกำลังกายพื้นฐานเป็นประจำ เช่น เดินสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง จะมีชีวิตยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเฉพาะในคนสูงอายุที่ไม่ยอมขยับเขยื้อน หากคุณยังคงกระฉับกระเฉง ควบคุมน้ำหนักให้พอดีกับเพศ อายุ และความสูง ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆทำงานได้ดี ไม่ต้องกินยารักษาโรค และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะปัญหาสุขภาพของคนยุคนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับวิถีการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพดี จะทำให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกดีไปด้วย และยิ่งรู้สึกดีมากเท่าไหร่ จะทำให้อายุยืนมากขึ้นเท่านั้น

5. โยนความเครียดทิ้งไป
อย่าเก็บความรู้สึกเครียดวิตกกังวลไว้กับตัวเองตลอดเวลา ต้องหาทางระบายออกเสียบ้าง เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้จักจัดการกับความเครียดซึ่งมีผลกระทบต่อ หัวใจ เมื่อเร็วๆ นี้มีงานวิจัยชี้ว่า ผู้หญิงที่อายุต่ำกว่า 50 ปีและผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ที่มีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มมากขึ้น

6. ทำสมาธิ
ความเครียดเป็นสิ่งที่สะสมได้ เช่นเดียวกับความสงบในจิตใจ การใช้ชีวิตของคนเรา ก็เหมือนการขับขี่รถยนต์ หากคุณไม่แวะเติมน้ำมันบ้างตลอดเส้นทาง เมื่อน้ำมันในถังหมด รถก็จะวิ่งไม่ได้ ชีวิตก็เช่นกันที่นอกจากจะต้องกินอาหารเพื่อให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังต้องดูแลจิตใจให้อยู่ในสภาพที่ดีด้วย ลอง หาเวลาสวดมนต์ ทำสมาธิ ฝึกหายใจ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกสงบและเกิดภาวะสมดุลของร่างกายและจิตใจ คุณจะรู้สึกได้ถึงความเครียดที่เริ่มจางหายไป ความสงบจะเข้ามาแทนที่ ซึ่งเมื่อทำเป็นประจำทุกวัน ไม่เพียงทำให้มีความสุขสงบ หากแต่อายุจะยืนยาวขึ้นด้วย

7. ทำงานที่รักและถนัด
ถ้าเลือกได้ จงทำงานที่รักและมีความถนัด เพราะไม่มีอะไรที่ทำให้ดูแก่เร็วไปกว่าการต้องทนทำงานที่ไม่ได้ชอบ หรือไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานที่ทำอยู่ เพียงแค่หาหนทางนำจุดแข็งที่มีมาใช้และกำจัดจุดอ่อน แล้วจะเห็นว่า ยิ่งเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์มากเท่านั้น

8. ลองทำสิ่งใหม่ๆ
ความหลากหลายเป็นตัวเพิ่มรสชาติให้ชีวิต และเมื่อคุณให้โอกาสตัวเอง สมองก็สามารถเรียนรู้ไปเรื่อยๆ แม้จะมีอายุ 100 ปีแล้วก็ตาม หาก เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต จะทำให้สมองตื่นตัว เช่น ปกติถนัดมือขวา ให้ลองเปลี่ยนเป็นใช้มือซ้ายหยิบจับสิ่งของหรือทำภารกิจประจำวันเป็นครั้ง คราว วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นสมองให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะเมื่อทำแต่สิ่งเดิมๆ สมองจะเชื่อยชา และหากปล่อยไปเรื่อยๆ ก็ยากที่จะกลับมาตื่นตัวอีกครั้ง

9. อารมณ์ดีเสมอ
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้มีชีวิตยืนยาวได้ถึง 100 ปี คือ ต้องตระหนักรู้ว่าสิ่งภายนอกมีผลกระทบต่อจิตใจ อารมณ์ขณะนั้นเป็นตัวสร้างสถานการณ์ คนที่เข้าใจตรรกะนี้จะดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่น ปราศจากความเครียด และไม่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์กดดันภายนอก

10.  คิดบวก
พลังความคิดด้านบวกจะช่วยเยียวยา กระตุ้นให้เกิดพลังกายพลังใจ มีความคิดสร้างสรรค์ ส่งผลให้มีความสุขในชีวิต สิ่งที่เราบอกกับตัวเองและได้ฟังจากคนอื่น ล้วนมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา ทั้งทางด้านร่างกาย ความคิด และจิตวิญญาณ

เมื่อถามคนทั่วไปที่อายุยืนและสุขภาพร่างกายแข็งแรงว่า อยากมีอายุยืนยาวแค่ไหน พวกเขามักตอบว่า “ตราบเท่าที่ยังมีความสุขใจ”  นี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอยู่กับการมีสุขภาพทางความคิดที่ดี ซึ่งจะทำให้อายุยืนยาวถึง 100 ปีเลยทีเดียว

http://www.toptenthailand.com/449-top.html

ประโยชน์จากการดื่มน้ำเปล่า

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

น้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่บางคนเห็นความสำคัญและประโยชน์จากการดื่มน้ำมากน้อยแตกต่างกันไป และหลายๆ คนชอบทานน้ำอัดลม ชาเขียว น้ำหวาน แทนน้ำเปล่า

วันนี้เราเลยจะนำเสนอประโยชน์จากการดื่มน้ำเปล่ากันค่ะ

1. น้ำเปล่าทำให้ผิวพรรณดี นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวันแล้ว การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวันยังมีส่วนช่วยให้ผิวพรรณดี เพราะน้ำเปล่าจะช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดในร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้หน้าตาดูไม่หมองคล้ำ บ่งบอกว่าเป็นคนสุขภาพดี

2. น้ำเปล่าช่วยลดอาการปวดศรีษะได้ การดื่มน้ำนอกจากจะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง มีใครทราบมั้ยว่าน้ำช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ด้วยนะครับ หากเราดื่มน้ำเปล่าเฉลี่ยในหนึ่งวันได้ประมาณ 8-14 แก้ว น้ำจะช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะได้ และมีการวิจัยแล้วว่าคนที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้อาการปวดศรีษะรุนแรงยิ่งขึ้น ฉนั้นใครที่ปวดไมเกรนบ่อยๆ ลองหันมาดูว่าตัวเองดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่นะครับ

3. น้ำเปล่ามีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร บางท่านยังไม่ทราบว่าในทุกเช้าที่เราตื่นมาจากเตียง สิ่งแรกที่เราควรทำคือการดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วเพื่อเป็นการปรับสมดุลน้ำในร่างกาย อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารที่เราจะทานในมื้อเช้าให้ดียิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นน้ำเปล่ายังช่วยกันหรือลดอาการกรดไหลย้อนได้ด้วยนะครับผม

4. น้ำเปล่าช่วยในการระบบขับถ่าย ระบบขับถ่ายของเราจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากเราดื่มน้ำเพียงพอในแต่ละวัน น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบากและจะทำให้เกิดอาการท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งหากเราปล่อยให้ท้องผูกแล้วจะมีผลเสียแก่ร่างกายเช่น หน้าตาดูหมองคล้ำเพราะร่างกายนำของเสียกลับไปร่างกายอีกครั้ง ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น และอาจทำให้เกิดอาการร้อนในได้อีกด้วยครับ

ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ในวันหนึ่ง (อาจเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยตามความสะดวก)

ดื่มนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว (แก้วบรรจุ 400 ซี.ซี.)

ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น.)

ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 14.00 น.)

ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 19.00 – 20.00 น.)

ใครที่เริ่มอยากจะดูแลสุขภาพตัวเอง เราลองมาเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวจากการดื่มน้ำให้เพียงพอก่อนนะคะ (น้ำเปล่านะค่ะ ไม่ใช่น้ำอัดลม หรือน้ำหวาน) ไม่เพียงเท่านั้นหากเราได้ทานอาหารที่มีประโยชน์สารอาหารครบถ้วน 5 หมู่ในแต่ละวัน แล้วยังออกกำลังอีกด้วย รับรองเลยว่าสุขภาพร่างกายของเราจะดีขึ้นกว่าเก่าแน่นอน เผลอๆ น้ำหนักอาจจะลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เราดูดีขึ้นอีกเยอะ ไม่จำเป็นต้องพึ่งอาหารเสริมหรือเสียเงินไปกับบริการฟิตเนสแพงเลย

http://volunteerconnex.com/2012/drinking_water

นิสัยดีๆ ที่คู่รักควรทำ

อย่ารอจนถึงโอกาสพิเศษถึงจะแสดงออกซึ่งความรักของคุณแต่บำรุงเลี้ยงชีวิตรักของคุณอย่างสม่ำเสมอในทุกวันด้วยวิธีการต่อไปนี้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

บอก “รัก” กันอย่างน้อยวันละครั้ง : คู่รักของคุณต้องการได้ยินคำนี้
อย่าหงุดหงิดไปกับเรื่องเล็กๆ : คุณจะปล่อยให้นิสัยไม่ดีของเขารบกวนคุณให้วอกแวก หรือจะยอมรับมันและหาทางเลี่ยงมันซะล่ะ ถ้าเขาชอบเปิดฝาหลอดยาสีฟันทิ้งไว้ ก็ซื้อแยกกันคนละหลอด เขาชอบทิ้งเสื้อผ้าเกลื่อนเหรอ เก็บมันซะ หรือไม่ก็ไม่ใส่ใจมัน

หายใจลึกๆ เวลาโกรธ : อย่าพยายามพูดกันเวลาที่อารมณ์ไม่ดี หลบกันไปสักพักเพื่อจะได้ตั้งสติ คุณจะได้พูดคุยกันได้ว่าอะไรรบกวนจิตใจคุณ แทนการชี้หน้าด่าว่ากันที่จะเสียใจในภายหลัง

อย่าใช้จุดอ่อนของเขาหรือเธอโจมตีกัน…เด็ดขาด : สิ่งที่อาจดูไม่สลักสำคัญ จิ๊บจ๊อย หรือน่ารักในสายตาคุณอาจเป็นเรื่องซีเรียสสำหรับเขา รับรู้ว่าอะไรสำคัญสำหรับเขา และอย่าเอาไปพูดกับเพื่อน พ่อแม่ หรือใครเด็ดขาด และอย่าได้เอามันมาโจมตีเขาในภายหลังด้วย
นับถือคู่ของคุณ : อย่าพูดถึงเขาในทางไม่ดี เมื่อพูดถึงเขา ให้ความรักและนับถือเปล่งประกายออกมา

หาหนทางที่จะใช้เวลาด้วยกันทุกวัน : กินอาหารเย็นด้วยกัน ดื่มกันตอนค่ำ เดินเล่นกัน ประเด็นก็คือใช้เวลาด้วยกันทุกวัน พูดคุยหรือแม้แต่อยู่ด้วยกันเงียบๆ มันจะยิ่งสร้างความใกล้ชิดสนิทแน่นระหว่างกัน

http://www.lisaguru.com/sexlovemoney/sex-v12no31-01

โรคเสี่ยง..ของเด็กยุคดิจิตอล

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ปัจจุบันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันที่เด็กๆ จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์-ไอแพท  และก็โทรทัศน์  เรามาทำความเข้าใจกับเรื่องพวกนี้กันดีกว่าค่ะ ว่ามีผลกระทบต่อลูกรักของเราอย่างไรกันบ้าง….

1. เจ้าหนูกับการดูโทรทัศน์

ช่วง 1-3 ปี

การที่เด็กนั่งดูโทรทัศน์นาน ๆ เด็กจะขาดทักษะการใช้กล้ามเนื้อที่กำลังเจริญเติบโต เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ฉะนั้น ถ้าใช้เวลาในการนั่งดูโทรทัศน์นาน ๆ จะไม่ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์จินตนาการ ซ้ำร้ายโทรทัศน์ยังทำลายศูนย์รวมความสนใจของเด็กอีกด้วย ขบวนการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ๆ จะฝึกการเรียนรู้จากการลงมือกระทำ จากการเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเขา เด็กที่ดูโทรทัศน์จะไม่ได้พัฒนาทักษะต่าง ๆ

ช่วง 3-5 ปี

เป็นช่วงเวลาที่เด็กพัฒนาอารมณ์ความรู้สึก จิตใจ และจังหวะการหายใจ หากเด็กติดโทรทัศน์จะส่งผลกระทบต่อระบบการหายใจของเด็ก เพราะภาพมีความเร็วเกินไป เมื่อระบบการหายใจของเด็กติดขัดจะนำผลไปสู่อารมณ์ความรู้สึกและจิตใจของเด็ก ทำให้เกิดความก้าวร้าว การเล่นที่รุนแรง แล้วยังกระทบต่อสุขภาพของเด็กดังนี้ค่ะ

โทรทัศน์กับพัฒนาการทางสมอง

สำหรับเด็กเล็กโทรทัศน์มีรังสีที่มีผลเสียต่อสายตา ในขณะที่จอรับภาพทางประสาทตาของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้สายตาของเด็กก่อนขวบปีจะเห็นภาพและสีต่าง ๆ ได้อย่างลางเลือน และเหมือนคนสายตาสั้น คือ เด็กอายุเดือนแรกจะมองเห็นแต่สีขาวและดำในระยะ 12-15 นิ้วนานไม่เกิน 5 วินาที เด็กอายุ 2 เดือนมองเห็นสิ่งของและสีแดง สีเขียว สีเหลือง ได้ชัดเจนในระยะไม่เกิน 20 นิ้ว และอายุ 3 เดือน มองเห็นชัดเจนในระยะ 1 ฟุต

การให้เด็กเล็กดูโทรทัศน์จะได้รับแสงที่มากเกินไปจะส่งผลต่อสายตา เช่น ระบบประสาท การปรับแสงของเลนส์ตา กล้ามเนื้อตาเกร็ง สายตาสั้น เป็นต้น และอาจทำให้ดวงตาเกิดการเหนื่อยล้าและเสียเร็วขึ้นได้ เมื่อเด็กอยู่ในวัยที่เริ่มดูโทรทัศน์ได้ 2-3 ปีไม่เกิน 15 นาที, 3-5 ปีไม่เกิน 30 นาที และ 6-8 ปี ไม่เกิน 1 ชั่วโมง

โทรทัศน์จะกระตุ้นสมองส่วนเล็ก ๆ ส่วนหน้า เป็นการรับรู้ข้อมูลโดยปราศจากการวิเคราะห์อย่างตระหนักรู้ความเร็วของภาพที่เร็วเกินไปจะทำให้เซลล์สมองของเด็กรับภาพแล้วถูกตัดทิ้ง หากดูเกิน 20 นาที ประสาทหู และตาจะล้า

การดูโทรทัศน์เป็นการใช้สมองซีกขวามากเกินไป ในสมองเด็กที่กำลังพัฒนาต้องมีการเปลี่ยนถ่ายจากซีกขวาที่ไม่มีคำพูดมีภาวะฝันไปสู่ซีกซ้ายที่ใช้ตรรกะคำพูด ทักษะต่าง ๆ ที่จำเป็นในการอ่านวิเคราะห์และการฟังแบบเชื่อมโยง โทรทัศน์ไม่มีสิ่งกระตุ้นให้เด็กได้พูดโต้ตอบ มีเพียงภาพและเสียงที่ผ่านลำโพง ซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) ทำให้เด็กไม่ได้พูดโต้ตอบด้วย เด็กที่ติดโทรทัศน์มากเกินไปอาจส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาช้า เนื่องจากไม่ได้มีความจำเป็นที่จะโต้ตอบทางภาษา เด็กวัยนี้ยังต้องเรียนรู้ผ่านการสื่อสารสองทาง (Two-way Communication) เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทางภาษา

2.  สุขภาพเจ้าหนูกับโทรศัพท์มือถือ

เด็ก ๆ กับโทรศัพท์มือถือที่ต้องแนบหูนั้น แบตเตอรี่เกิดความร้อน ส่งผลให้หูและศีรษะสัมผัสความร้อนโดยตรง จะทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณของโทรศัพท์มือถือกระทบกับอวัยวะโดยตรงทั้งบริเวณ หู ตา และเข้าไปถึงสมองส่งผลให้เกิดการทำลายเซลล์และเนื้อเยื้ออ่อน ๆ ในบริเวณนั้นได้

3. สุขภาพเจ้าหนูยุคคอมพิวเตอร์+ไอแพด

นอกจากผลเสียทางสายตาแล้ว ยังมีอาการท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง คือ คีย์บอร์ดมักมีแบคทีเรียสะสมอยู่ เมื่อเด็ก ๆ เล่นคอมพิวเตอร์ อาจจะหยิบอาหารกินระหว่างอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีคีย์บอร์ดตั้งอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้อาจจะเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้

ผลกระทบในระยะสั้น โรคเกี่ยวกับการปวด

เช่น อาการปวดหู ปวดศีรษะ มึนงง ขาดสมาธิ และเครียด เนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน

โรคเกี่ยวกับดวงตา

การจ้องหน้าจอโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานเกินกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการได้ตามมา คือ ตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว ระบบประสาท การปรับแสงของเลนส์ตากล้ามเนื้อตาเกร็ง สายตาสั้น เพราะกล้ามเนื้อตาจะบีบรัดเลนส์ตาจนล้า ถ้าระดับที่วางความสว่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อระบบของการกลอกตา ระบบกล้ามเนื้อและประสาท ซึ่งจะเกิดหลังจากใช้สายตานานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการดวงตาล้า ดวงตาตึงเครียด ตาช้ำ ตาแดง แสบ

สำหรับเด็กเล็กรังสีที่มาจากจอโทรทัศน์ มีผลเสียต่อสายตา เพราะจอรับภาพทางประสาทตาของเด็กเล็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้สายตาของเด็กก่อนขวบปีจะเห็นภาพและสีต่าง ๆ ได้อย่างลางเลือน และเหมือนคนสายตาสั้น

ผลกระทบในระยะยาว สมาธิสั้น

เด็กในวัยแรกเกิด ถึง 6 ปี เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดสำหรับพัฒนาการของเด็ก ซึ่งการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การกระตุ้นโดยพ่อแม่เป็นผู้สอน ดังนั้นการที่พ่อแม่ปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์นาน ๆ จะทำให้เด็กไม่มีพัฒนาการสมวัย และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคสมาธิสั้น เด็กมีสมาธิ และความจดจ่อแย่ลง จนอาจทำให้เกิดโรคความจดจ่อเสื่อมหรือสมาธิสั้น

โรคอ้วนและคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

การดูทีวีมาก ๆ สัมพันธ์กับโรคอ้วนและคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เนื่องจากการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ การกินของขบเคี้ยวระหว่างดูทีวี และโรคอ้วนในเด็กจะมีแนวโน้มทำให้เป็นผู้ใหญ่อ้วนหรือเกิดโรคหลายโรค เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็งในลำไส้ มะเร็งเต้านม ปวดหลัง ตามมาอีก

ภาวะ “เคาช์โปเตโต้” (couch potato)

เด็กที่เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูโทรทัศน์ วิดีโอ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ไม่เคลื่อนไหวทำกิจกรรม ทำให้เป็นโรคอ้วน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดจากภาวะเคาช์โปเตโต้ ควรมีการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น เด็ก ๆ ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมง เล่นเกมหรือดูทีวี เด็กเล็กไม่เกิน 30 นาที

Tips : คุณพ่อคุณแม่พาไปเรียนรู้ธรรมชาตินอกบ้าน สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ที่สำคัญจำกัดช่วงเวลาการดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์และส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมที่หลากหลายก็จะช่วยให้สมองของลูกรักได้มีการเรียนรู้อย่างสมดุลและป้องกันผลเสียกับสุขภาพของเด็ก ๆ ด้วยค่ะ

http://guru.thaibizcenter.com/articledetail.asp?kid=10777

ร้อยไหม…ช่วยให้กระชับได้จริงหรือ

โดย ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา ภาควิชาตจวิทยา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

การร้อยไหม ช่วยยกกระชับได้จริงหรือ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานยืนยันทางการแพทย์ว่า การร้อยไหมสามารถทำให้ผิวหนังเกิดการยกกระชับได้จริง หรือคงสภาพการกระชับได้นาน และจากรายงานผลการร้อยไหมชนิดมีเงี่ยง ทำให้ผิวดูกระชับขึ้นในช่วงเดือนแรกหลังการร้อยไหม เชื่อว่าเกิดจากการที่ผิวเกิดการบวมและอักเสบจากการสอดไหม อย่างไรก็ตาม ผิวจะกลับสู่สภาพเดิมในเวลาต่อมา อีกทั้งยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเส้นใยคอลลาเจน ที่เชื่อว่ามีการสร้างใหม่จากการร้อยไหมละลายเป็นคอลลาเจนปกติของผิวหนัง หรือเกิดจากแผลพังผืดที่อาจส่งผลต่อผิวหนังในระยะยาวได้ ซึ่งการร้อยไหมเพื่อยกกระชับใบหน้านั้นมีมานานแล้ว โดยในระยะแรกใช้ไหมชนิดมีเงี่ยง (barb) สอดเข้าไปในความลึกระดับชั้นไขมันใต้ผิวหนังเกี่ยวชั้นใต้ผิวหนังเพื่อล็อกเนื้อเยื่อ ก็จะช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าได้ ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยระดับหนึ่ง

ส่วนที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จะเป็นไหมชนิดไม่มีเงี่ยง (non-barb) โดยจะสอดไหมในระนาบแนวความลึกของชั้นหนังแท้ ใช้เส้นไหมขนาดความยาวตั้งแต่ 2.5-6 มิลลิเมตร จำนวนตั้งแต่ 20 ถึงกว่า 100 เส้น สอดเข้าไปในผิวหนังที่แพทย์ผิวหนังต้องอาศัยทักษะความชำนาญสูง และยิ่งนำไหมทองมาใช้ ซึ่งไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว สิ่งที่ต้องทราบคือ การร้อยไหมทองไม่สามารถแก้ไขหรือเอาออกได้ เนื่องจากทองถูกพังผืดยึดเอาไว้ หากดึงออกมาจะทำให้ผิวบุ๋มจนเสียโฉมได้ ส่วนผลในระยะยาว หากเจ็บป่วยแล้วไม่บอกแพทย์ว่า เคยร้อยไหมทองมาก่อน เมื่อเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องมือที่ให้ความร้อน หรือเกิดกรณีรังสีแม่เหล็กวิ่งเข้าสู่ทองซึ่งเป็นโลหะ จะทำให้เกิดความร้อนจนไหม้ ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เนื่องจากรูปหน้าคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวินาที เมื่อร้อยไหมแบบถาวร หากวันหน้ามีการหย่อนคล้อยก็ต้องแก้ไปเรื่อยๆ สิ่งแปลกปลอมก็จะสะสมมากจนเกิดเป็น เนื้องอกขึ้นได้

ว่าไปแล้วมีหลายวิธีที่ช่วยให้ผิวใส กระชับ และปลอดภัย เช่น ทำความสะอาดใบหน้าให้ถูกวิธี ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะกับผิวและวัย รับประทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และคุณประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ที่สำคัญพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะช่วงเวลาขณะหลับเป็นเวลาที่ผิวฟื้นฟูตนเองให้กลับสดใสแข็งแรง กล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายเต็มที่ ไร้ริ้วรอย โดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมค่ะ

———

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000044447

เตือนมาเรื่อยๆ น้ำแข็งขั้วโลกใต้ลดลง 10 เท่าในรอบพันปี

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

งานวิจัยล่าสุดชี้น้ำแข็งแอนตาร์กติกาละลายเร็วขึ้นถึง 10 เท่าในรอบ 1,000 ปี (ไลฟ์ไซน์)

งานวิจัยพบคาบสมุทรในทวีปแอนตาร์กติกาแถบขั้วโลกละลายเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในรอบพันปี โดยการละลายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อน และการละลายอย่างฉับพลันนี้อาจทำให้ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งที่ยื่นไปในมหาสมุทรพังทลายลงมาได้ ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหากการละลายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“สิ่งที่เกิดขึ้นหมายถึงคาบสมุทรแอนตาร์กติกา (Antarctic Peninsula) ได้ร้อนขึ้นระดับที่แม้แต่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่การละลายของน้ำแข็งในช่วงหน้าร้อนได้มโหฬาร” เนริลี อาบรัม (Nerilie Abram) ผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) และองค์การสำรวจแอนตาร์กติกอังกฤษ (British Antarctic Survey) กล่าว

อีริค สไตจ์ (Eric Steig) ผู้ร่วมวิจัยและศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) สหรัฐฯ กล่าวว่า การละลายของน้ำแข็งในคาบสมุทรแอนตาร์กติก ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป มีสาเหตุหลักๆ มาจากภาวะโลกร้อนโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งคาบสมุทรดังกล่าวเป็นหนึ่งในสถานที่ร้อนขึ้นเร็วที่สุดในโลก และการวิจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้เผยให้เห็นว่า ฤดูกาลละลายของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกายาวนานผิดปกติ

เพื่อศึกษาภูมิอากาศในอดีตของแอนตาร์กติกาไลฟ์ไซน์ระบุว่า ทีมศึกษาได้เจาะลึกลงไปถึง 364 เมตรในแกนน้ำแข็งของเกาะเจมส์ รอสส์ (James Ross Island) ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ใกล้ปลายตะวันออกเฉียงเหนือของแอนตาร์กติกา โดยแกนน้ำแข็งได้ให้ร่องรอยของอุณหภูมิในอดีตของแอนตาร์กติกา และมีชั้นของของน้ำแข็งที่ละลายในหน้าร้อน และแข็งตัวขึ้นใหม่หลังจากนั้น ซึ่งมองเห็นได้จากแกนน้ำแข็งดังกล่าว ความหนาของของชั้นในแกนน้ำแข็งนี้เผยให้เห็นการละลายของน้ำแข็งในทวีปย้อนไปถึง 1,000 ปีที่ผ่านมา

อาบรัมกล่าวว่า ตอนนี้การละลายของน้ำแข็งในหน้าร้อยอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา และในขณะที่ช่วง 200-300 ปีแรกของสหัสวรรษ การละลายของน้ำแข็งก็เพิ่มสูงขึ้นมากครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 โดยการศึกษาของพวกเขาตีพิมพ์ลงวารสารเนเจอร์จีโอไซน์ (Nature Geoscience) ซึ่งบ่งชี้ว่า คาบสมุทรแอนตาร์กติกานั้นอาจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

ส่วนภาพจากแกนน้ำแข็งที่เจาะขึ้นมาจากแอนตาร์กติกาตะวันตกนั้นยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก โดยมีลักษณะของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นมากในอดีตคล้ายๆ กัน แต่ภาพดังกล่าวยังซับซ้อนและยากที่จะหาถึงสาเหตุที่แท้จริงของอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าการละลายของน้ำแข็งที่ฝั่งตะวันตกนั้นเกิดจากสภาพอากาศเอลนีโญเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1990

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000046266

ชีวิตประสบผลสำเร็จ ด้วย 10 วิธี

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. อย่านอนดึกตื่นสาย

เป็นเรื่องธรรมดาที่หลังจากวันทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อย ใครๆก็อยากนอนแหมะอยู่กับเตียงในช่วงวันสุดสัปดาห์กันแทบทั้งนั้น แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Rush University ในสหรัฐฯ เผยว่าการนอนดึกตื่นสายทำให้ความสามารถในการจดจำลดลง และถ้าช่วงสุดสัปดาห์คุณเอาแต่นอนตื่นสาย มันก็จะส่งผลต่อการทำงานในวันจันทร์ต่อมาอีกด้วย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็ตั้งนาฬิกาปลุกซะ แล้วก็อย่าจมอยู่กับเตียงนานเกินไปด้วย

2. อย่าหมายคว้าดาวที่สูงเกินไปนัก

แม้เราๆแทบทุกคนจะอยากควงคู่คนสวยๆหล่อๆระดับพระเอกนางเอกซุปเปอร์สตาร์ แต่ผลการวิจัยชี้ว่าการตั้งเป้าหมายจะหาคนรักที่เลิศเลอแตกต่างกับตัวเราเองจนเกินไป มักจะนำไปสู่ความรักแบบปรบมือข้างเดียวได้เท่านั้น ทางที่ดีเราควรมองคนที่อยู่ในระดับที่ใครเคียงกับเราซะจะดีกว่า เพื่อที่ชีวิตของคุณจะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความฝันลมๆแล้งๆจากเรื่องแบบนี้ด้วยไงล่ะ

3. เกาะติดเทรนด์

การตามเทรนด์แฟชั่นคงไม่ใช่อะไรที่มีประโยชน์ต่อชีวิตการงานเท่าไหร่นัก แต่การตามเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตการงานจะช่วยทำให้คุณเข้าใกล้ความสำเร็จได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการอ่านข่าวเป็นประจำ ติดตามข่าวสาร กฎเกณฑ์ใหม่ๆที่เพิ่งประกาศใช้ ฯลฯ ให้คุณสามารถเก็บเกี่ยวสิทธิประโยชน์ต่างๆที่คุณควรจะได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

4. กินปลาเยอะๆ

มีงานวิจัยจำนวนนับไม่ถ้วนค้นพบว่าการกินปลาช่วยให้คุณฉลาดขึ้นได้ ล่าสุดบทความที่ลงตีมพิมพ์ในนิตยสาร British Journal of Nutrition  ระบุว่าอาหารที่อุดมไปด้วยสาร โอเมกา-3 จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของความคิด และยังเพิ่มอัตราความเร็วของปฏิกิริยาโต้ตอบของร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าคุณอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ควรกินปลาที่มีน้ำมันปลาสูงๆอย่างแมคเคอเรล, ทูน่า, หรือปลาแซลมอน

5. ตั้งเป้าหมายในชีวิต

น่าเศร้าที่แค่ความต้องการจะประสบความสำเร็จ ไม่ได้ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จจริงๆได้ ดังนั้นถ้าคุณอยากไปถึงฝั่งฝันก็ควรวางแผนการชีวิตให้เป็นรูปเป็นร่าง ตั้งเป้าหมายแล้วกำหนดเป็นขั้นตอน กำหนดวันที่คุณหวังไว้ว่าจะทำมันได้สำเร็จ เพื่อช่วยเป็นแรงบันดาลใจและดึงให้คุณโฟกัสอยู่ที่เป้าหมายตามที่ได้วาดฝันไว้

6. หารายได้เพิ่ม

พอเราหมายถึงการประสบความสำเร็จ เราไม่ได้หมายความแต่ถึงเรื่องเงิน แต่แน่นอนว่าพลังทางการเงินก็ช่วยให้คุณมีอิสรภาพและความมั่นคงเพียงพอที่จะเรียกได้ว่าคุณประสบความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าคุณอยากจะมีเงินมากขึ้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการจัดการบัญชีรายรับรายจ่ายต่างๆในชีวิต ออมเงินทุกเดือน ลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นออก

ถ้าทุกคนได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายดูแล้ว คุณก็จะรู้เองว่า ในทุกๆวันคุณต้องหมดเงินไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากแค่ไหน ยกตัวอย่างง่ายๆก็เครื่องดื่มน้ำตาลเยอะทุกๆแก้วที่คุณซื้อมากินตอนบ่าย เรียนรู้ที่จะหักห้ามใจตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออก ถ้าทำได้ซักเดือนก็ลองเอาไปเปรียบกับเดือนก่อนๆดูซิว่าคุณเก็บเงินได้มากขึ้นแค่ไหน?

7. หาหนุ่ม/สาวในฝัน

ถ้าคุณตัดสินว่าสุขภาพที่ดีกับชีวิตที่ยืนยาวเป็นหนึ่งในปัจจัยของความสำเร็จในชีวิต เห็นทีคุณคงต้องหารักแท้ให้ได้แล้วล่ะ เพราะสถิติเผยให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตของชายโสดอายุระหว่าง 30-59 ปี สูงกว่าชายที่มีคู่แล้วถึง 2.5 เท่า! ส่วนสาวๆก็คล้ายๆกัน เพราะหญิงโสดก็มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าหญิงที่สละโสดไปแล้วถึง 23% ดังนั้นถ้าคุณอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ไปนานๆก็คงต้องหาแฟนดีๆ ซักคนให้ได้นะ

8. ออกกำลังกายกลางสัปดาห์

จริงอยู่ที่พอเลิกงานแล้ว เราๆส่วนใหญ่ก็อยากจะรีบตรงดิ่งกลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ก็นั่งดูทีวีรายการโปรด แต่ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย University of Bristol ในอังกฤษค้นพบว่าคนที่ออกกำลังกายในช่วงวันทำงานจะมีความสุขมากกว่าและเครียดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย

9.  เปลี่ยนพฤติกรรม

การมีตังค์เหลือมากขึ้นจะช่วยให้คุณตามไล่ล่าความฝันได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นคุณก็ควรลองเปลี่ยนพฤติกรรมที่ฟุ่มเฟือยๆบางอย่างเพื่อให้เก็บตังค์ได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เลิกไปยิมแพงๆหรูๆแล้วหันไปหาอุปกรณ์ออกกำลังกายไว้ใช้เองที่บ้านหรือตามสวนสาธารณะก็ได้ หรือจะเลิกไปกินอาหารร้านเว่อร์ๆแล้วลองเปลี่ยนมาทำอาหารเองอยู่บ้านดูดีกว่ามั๊ย? สังเกตตัวเองแล้วหาจุดด้อยมาแก้ไขเปลี่ยนพฤติกรรม ให้คุณได้เข้าใกล้ความฝันของคุณได้ไม่มากก็น้อย

10. กลับไปวัยเรียน

ว่ากันว่าชีวิตคือการเรียนที่ไม่สิ้นสุด และถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต คุณก็ต้องไปหาวิชาความรู้เพิ่มเติม ลองไปหาข้อมูลคอร์สเรียนที่เปิดสอนในวิชาที่จะช่วยยกระดับคุณสมบัติและความสามารถของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสาขาวิชาที่ดูดีเป็นที่ต้องการเวลาคุณกรอกข้อมูลลงใบสมัครงานในฝันของคุณ ศึกษาเปรียบเทียบของแต่ละสถาบันดูเพื่อให้ได้คอร์สที่ดูมีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมที่สุด

และที่สำคัญที่สุดต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำในสิ่งนั้นๆ นะค่ะ รับรองประสบผลสำเร็จแน่นอนค่ะ


http://lifestyle.th.msn.com/beauty/10-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88#image=11

ของขวัญ..ที่มาจากใจ

“ของขวัญ” อย่างที่ทราบกันว่าเราจะมอบให้กันในวาระพิเศษต่าง ๆ เช่น แสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ  หรือวันปีใหม่  วันเกิด วันวาเลนไทน์… ซึ่งแต่ละโอกาสก็จะพยายามสรรหาของขวัญที่แตกต่างกันออกไป  ซึ่งแน่นอนผู้ได้รับย่อมมีความยินดี ปลาบปลื้มค่ะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

และในวันนี้เราจะมาพูดถึงของขวัญที่สามารถมอบให้กันได้ทุกวัน  ไม่ต้องรอมอบในช่วงเทศกาล   เราสามารถมอบให้กันได้ตลอดทั้งปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แล้ว ผู้รับเกิดคุณค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวค่ะ  ไม่ยากเลยค่ะ ลองอ่านต่อเลยนะค่ะ

ของขวัญจาก “การฟัง” จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอคนอื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก

ของขวัญจาก “ภาษากาย “ อย่าอายที่จะแสดงความรักแก่ครอบครัว หรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ โอบไหล่ สวมกอด หอมแก้ม ฯลฯ

ของขวัญจาก “ความเบิกบาน” แบ่งปันเสียงหัวเราะ และความสนุกสนานให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุก อย่าแอบหัวเราะคนเดียว

ของขวัญจาก “การเขียน” กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ฉันรักคุณจังเลย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ จะสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับคนอ่านได้ไม่น้อย

ของขวัญจาก “คำชม” ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากจะได้รับคำชม เช่น ผมทรงนี้ดูดีจัง กับข้าวอร่อยมากเลยนะ

ของขวัญจาก “ความมีน้ำใจ” ความจริงพวกเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอด ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการหลับใน การแบ่งปันให้กัน จะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น

ของขวัญจาก “เวลาส่วนตัว” บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เมื่อเขาต้องการ

ของขวัญจากการ “ให้กำลังใจ” คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด ช่วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้ ยากกว่านี้ เธอยังทำได้เลย สักวันรถคุณเองก็อาจจะขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้

ของขวัญจาก “มธุรสวาจา” คำพูดดีๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ขอบคุณ ขอโทษ คุณอยากฟังคำพูดดีๆ คนอื่นเขาก็เหมือนกัน

ช่วยกันมอบของขวัญที่มาจากใจให้กันและกันทุกวันนะค่ะ….โลกของเราจะได้มีแต่รอยยิ้ม..

http://variety.teenee.com/foodforbrain/51951.html