ลิปสติกของคุณมีสารตะกั่วหรือไม่ลองเช็คดู

อย่าวางใจว่า ลิปสติกของคุณยี่ห้อสุดหรู ราคาแพงลิบลิ่ว จะปลอดภัยนะคะ
ลองทดสอบลิปสติกของคุณว่ามีสารตะกั่วหรือไม่ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

ลิปสติก
ลิปสติก

ทาลิปสติกที่มือหรือแขนก็ได้ แล้วใช้แหวนทองคำ(แท้นะคะ) ถูที่รอยลิปสติกนั้น ถ้าสีของลิปสติกเปลี่ยนเป็นสีดำ แสดงว่ามีสารตะกั่วอยู่ แนะนำว่าอย่าเสียดายโยนทิ้งไปเถอะค่ะ

ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า ทุกครั้งที่คุณเลียริมฝีปากหรือทานอะไรเข้าไป ก็จะได้สารตะกั่วเข้าร่างกายทีละนิดผ่านทางลิปสติกสีโปรดที่ใช้อันตรายมาก ๆ

http://women.thaiza.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B9/200997/

7 วิธีง่ายๆ ที่จะทำให้คุณมีเงินเก็บ

ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะประกาศ นโยบายปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท หรือค่าแรงรายวัน 300 บาท เป็นนโยบายหลัก ซึ่งได้เริ่มไปแล้ว และแม้ว่าเงินเดือนของเราจะเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้มีเงินเก็บ เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

7-เปลี่ยนเพื่อให้คุณมีเงินออม-660x330

เพราะเมื่อได้รับเงินมา เรามักจะนำเงินไปใช้ทันทีหรือบางครั้งก็อาจใช้จ่ายมากกว่าเดิม ไม่สามารถเก็บออมได้ แต่ในความจริงทุกคนสามารถเก็บออมได้ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน และกันเงินสำหรับการออมก่อน หรือที่เรียกว่าออมก่อนใช้ มีวิธีการง่ายๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมการออม และการใช้จ่ายของท่าน เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บออมมาฝาก

1.เริ่มต้นจากสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ ทันที เช่น การเก็บเหรียญสตางค์ไม่ว่าจะเป็นเหรียญ 1 บาท 5 บาท หรือ 10 บาท อย่างที่คนโบราณกล่าวไว้ว่า “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท” และควรสร้างวินัยด้วยการออมก่อนใช้ โดยออมให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้เสมอ

2.ตั้งงบประมาณ และกำหนดจำนวนเงินในกระเป๋า วิธีการนี้ช่วยจำกัดการใช้จ่ายเงิน โดยอาจจะพกเงินติดตัว ให้พอที่จะใช้จ่ายในช่วง 1-2 สัปดาห์ วิธีนี้ช่วยให้เราตระหนักรู้ตระหนักใช้ เลือกใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นตามงบประมาณที่มี

3.เก็บเงินแยกไว้ให้ชัดเจน นอกจากจะแบ่งเงินออมและเงินสำหรับค่าใช้จ่ายแล้ว ในเงินออมที่เก็บไว้นี้ให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกนี้จะถือเป็นเงินเก็บที่จะไม่ถูกนำมาใช้เลย โดยอาจจะเก็บออมในรูปของบัญชีเงินฝากประจำเท่าๆ กันทุกเดือน ส่วนที่สองนั้นสามารถนำไปใช้ได้เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือที่เรียกว่าเงินออมสำรองฉุกเฉิน ซึ่งควรมีไม่น้อยกว่า 3 – 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน โดยเก็บออมในบัญชีออมทรัพย์

4.อย่าซื้อของตามใจชอบ แยกแยะความจำเป็น และความอยากออกจากกัน ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อสินค้าทุกครั้งให้ถามตนเองก่อนเสมอว่า มีความจำเป็นต้องใช้สิ่งของเหล่านั้นหรือไม่

5.ไม่ซื้อของที่มีอยู่แล้วซ้ำอีก ควรสำรวจสิ่งของที่มีอยู่เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์และยังเป็นการช่วยลดรายจ่ายทำให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้น

6.ทำอาหารรับประทานกันในบ้าน ปาร์ตี้ ทานข้าวนอกบ้านให้น้อยลง นอกจากจะช่วยประหยัดแล้วยังเป็นการใช้เวลากับคนในครอบครัว อิ่มกายและยังอิ่มใจด้วย

7.ใช้บัตรเครดิตอย่างระวัง ไม่ใช้เกินแผนการใช้เงินที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก และจ่ายชำระยอดหนี้บัตรเครดิตเต็มจำนวนทุกครั้ง จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย

ช่วงแรกของการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินนั้น อาจจะเกิดความลำบากใจ แต่หากทำอย่างสม่ำเสมอก็จะเกิดเป็นความเคยชิน เริ่มกันตั้งแต่วันนี้เลยนะจ้าาา.

ขอบคุณ : ข้อมูลจาก บริการ K-Expert  ธนาคารกสิกรไทย

http://ananmoney.com/easy-ways-help-you-have-more-money/

10 เคล็ดลับบริหารเวลา ลดความเครียด

บางทีการที่คุณรู้สึกยุ่งและเครียดอยู่ตลอดเวลา อาจจะไม่ได้มาจากการที่คุณมีงานมากเกินไป หรือมีเวลาไม่มากพอ แต่เพราะคุณไม่รู้จักใช้เวลาของตัวเองมากกว่า

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

หนึ่งในปัญหาหลักที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงาน ก็คือ งานที่มากเกิน และไม่มีเวลาพอจะทำให้เสร็จ วิธีง่ายๆ ในการออกจากปัญหานี้ก็คือ การจัดระเบียบ และบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายของการบริหารเวลา ไม่ใช่เป็นการหาเวลามากขึ้น แต่คือการจัดลำดับความสำคัญ และใช้เวลาที่มีอยู่อย่างชาญฉลาด เราได้รวบรวมเคล็ดลับ 10 อย่าง เพื่อให้คุณควบคุมชีวิตตัวเองได้ และสนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำ

1.  ทำรายการสิ่งที่ต้องทำและจัดลำดับความสำคัญ นี่คือจุดเิริ่มต้นของการบริหารเวลา เขียนรายการของภารกิจที่ต้องทำ จัดลำดับมันตามความสำคัญ และวางแผนว่าคุณจะทำมันเสร็จเมื่อไร เขียนหน้าที่และกิจกรรมที่จะช่วยทำมันได้เร็วที่สุด การจัดความสำคัญของภารกิจจะช่วยคุณลดความตึงเครียดลงได้

2. สร้างกิจวัตร เลือกเวลาใดก็ได้ในแต่ละวันหรือสัปดาห์ เพื่อจัดการกับภารกิจบางอย่าง เช่น ตอบอีเมล์ โทรศัพท์ ทำงานเอกสาร และทำตามนั้นให้เป็นกิจวัตร

3. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ มันมีบางเวลาที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะสร้างขอบเขต การจัดเวลาที่ไม่ดีบ่อยครั้งเป็นผลมาจากตัวเราเอง ที่ชอบตอบตกลงกับหลายสิ่งหลายอย่างเกินไป ทุกครั้งที่เราตกลงจะทำบางอย่างที่นอกเหนือตารางของเรา ภารกิจอื่นที่จัดเวลาเอาไว้ก็จะไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นเรียนรู้ที่จะปฏิเสธบ้าง บางครั้งคำว่า “ไม่” ก็ต้องพูดกับตัวเองด้วย อย่างได้รับอะไรก็ตามที่มากเกินขอบเขตความสามารถของคุณ

4. เรียนรู้ว่าคุณทำงานตอนไหนดีที่สุด คุณสามารถค้นพบตัวเองได้ด้วยการดูผลงานของตัวเองสักช่วงหนึ่ง จากนั้น ก็ให้เวลาที่ตัวเองทำงานได้ดีที่สุดสำหรับการทำงานสำคัญที่สุด

5. แบ่งภารกิจใหญ่ๆ ให้ย่อยลง ถ้าเป็นไปได้ ภารกิจใหญ่ๆ ควรถูกแบ่งเป็นภารกิจเล็กๆ หลายๆ เรื่อง มันจะทำให้ง่ายขึ้นที่จะรับมือกับมัน นอกจากนี้ การใช้วิธีการแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ คุณจะสามารถจัดมันให้เข้ากับตารางเวลาอันแสนยุ่งของคุณได้ง่ายขึ้น

6. ประหยัดความพยายามเอาไว้บ้าง ตัดสินใจว่าภารกิจไหนที่ต้องการความใส่ใจอย่างละเอียดลออ และอะไรที่สามารถทำได้แบบสบายๆ การพยายามทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ นอกจากจะเป็นได้ยากแล้ว มันยังยิ่งทำให้คุณเครียดหนักขึ้นไปอีก

7. เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็น แยกแยะงานที่ต้องทำให้เสร็จ กับงานที่สามารถแบ่งไปให้คนอื่นได้ มองหาวิธีที่จะพัฒนาวิธีทำงานให้เสร็จเร็วขึ้น และพยายามทำงานที่ต้องทำเป็นประจำให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ หรือปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพขึ้น

8. จำกัดเวลา เรากำลังพูดถึงการบริหารเวลา ฉะนั้น โดยธรรมชาติ พร้อมกับการตั้งเวลาเริ่มต้นสำหรับกิจกรรม เราจำเป็นต้องตั้งเวลาที่จะหยุดเอาไว้ด้วย นี่จะต้องการการประมาณการ แต่การเดาของคุณจะพัฒนาขึ้นเมื่อได้ฝึกฝน นี่จะปล่อยให้คุณและคนอื่นสามารถจัดเวลาของกิจกรรมได้ดีกว่า

9. อย่าโหดร้ายกับตัวเอง ให้เวลาตัวเองมากพอที่จะทำงานให้เสร็จ และลดความวิตกกังวล ถ้าคุณมีปัญหาในการทำงานให้ทันเดดไลน์ ให้เวลาตัวเองมากกว่าทีุ่คุณคิดว่าต้องการ เพื่อทำงานให้เสร็จอีก 20 เปอร์เซ็นต์

10. วางแผนเพื่อทำให้ทุกอย่างเสร็จ คุณต้องหาเวลาเอาไว้เพื่อวางแผนและจัดตารางเวลาของคุณด้วย

http://www.yourhealthyguide.com/article/am-10-time-manage.html

วิธีจับผิดเครื่องสำอาง เลือกแบบไหนปลอดภัย?

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วิธีแรก -> แหล่งขายน่าเชื่อถือเพียงใด?

เคาน์เตอร์แบรนด์ของเครื่องสำอาง เช่น ตามห้างสรรสินค้าชั้นนำ หรือบูธของเครื่องสำอางนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือในการซื้อเครื่องสำอางมากกว่าตลาดนัด เพราะนอกจากเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าโดยตรงของแบรนด์นั้นเอง ยังมี tester ให้ลองก่อน

ในปัจจุบันมีช่องทางการขายเครื่องสำอางออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ มากมาย สาวๆ จำนวนไม่น้อยไม่ว่างออกไปช้อป สะดวกคลิกสั่งซื้อทางออนไลน์มากกว่า ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อตามแหล่งซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือ มีสถานที่ตั้งและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีบริการที่ดีทั้งในระหว่างการขายและหลังการขาย มีตัวแทนจำหน่าย สามารถคืนได้หากแพ้

วิธีสอง -> ผ่านการรับรองจาก อย. ล่ะยัง?

เห็นกันเกลื่อน! ตามร้านเปิดท้ายของห้างฯ หรือตามตลาดนัด แป้งพัฟ 50 บาท อายแชโดว์ 50 บาท ลิปสติก 5 แท่ง 100 บาท ทาวันเดียวติดทนไปสามวัน!!

กฎเหล็กเลยนะคะว่า เครื่องสำอางที่จะซื้อต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อาทิ เช่น องค์การอาหารและยา (อย.) ดังนั้น ควรส่องหาเครื่องหมาย อย. บนฉลากเสียก่อน อย่าบุ่มบ่ามซื้อโดยไม่มี อย.อย่างซื้อเด็ดขาด  เพราะเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรอง อาจจะมีการผสมสารต้องห้ามที่เป็นพิษต่อร่างกาย ผสมสารปรอท คุณก็ทราบดีว่าพิษสงมันร้ายแรงขนาดไหน

อย่างกเงิน หรือคิดเพียงว่าราคาแค่นี้ ซื้อมาลองไม่เสียหาย แค่เงินไม่ถึงร้อยอาจทำคุณหน้าเน่า ยับเยิน ต้องเสียเงินเพื่อกู้หน้าเก่ากลับมาอีกเป็นปี จะไปฟ้องร้องใครก็ลำบาก เพราะไม่ไตร่ตรองก่อนซื้อเสียก่อน

วิธีสาม -> ต้องลองใช้ เกิดอาการแพ้ไหม?

ก่อนตัดสินใจซื้อไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ คนดังใช้ หรือได้รับการรับรองจากหลายสถาบันชั้นนำ ก็อาจจะไม่ถูกกับผิวของเราได้ แล้วอาการแพ้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น คุณๆ จึงควรทดสอบก่อน

สามารถทดสอบได้ง่ายๆ  คือ การทาหรือฉีดลงบริเวณท้องแขน หลังหู หรือผิวเนื้ออ่อน ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น คัน เกิดรอยแดง ผื่นขึ้น บวม ระคายเคือง หรือแสบร้อน ควรหลีกเลี่ยงทันที  ทว่า หากจะทดสอบควรทดสอบเครื่องสำอางประเภทเดียว ไม่ควรลองหลายอย่าง หากแพ้เราจะได้ทราบว่าแพ้ตัวใด ยี่ห้อไหน

วิธีสี่ -> อ่านฉลาก หมดอายุเมื่อไร?

เครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิตประมาณ 3-5 ปี ก่อนซื้อจงตรองดูก่อน

วิธีสังเกตเครื่องสำอางหมดอายุ ดูได้จากสี กลิ่น เนื้อของเครื่องสำอางไม่เหมือนเดิม ส่วนผสมแยกชั้น ตัดใจทิ้งเถอะ

หรือหากคุณเป็นคนขี้ลืม อาจเขียนวันที่เราเปิดใช้ครั้งแรกเอาไว้ เพื่อจะได้รู้อายุเครื่องสำอางและเตือนความจำได้ง่ายขึ้น อ่านข้อมูลและส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าเครื่องสำอางนั้นมีส่วนผสมที่เราแพ้หรือเปล่า เช่น บางคนที่อาจแพ้เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น

นอกจากนี้ อีกส่วนที่เราควรให้ความใส่ใจก็คือบริษัทผู้ผลิต หรือบริษัทนำเข้า ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เพื่อสอบถาม ร้องเรียนได้

วิธีใช้ของเครื่องสำอางในแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน เราควรรู้ว่าต้องใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ต้องใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้อย่างถูกต้อง เช่น ครีมบางตัวทาร่วมกับครีมอย่างอื่นไม่ได้ก็มีนะ และอย่าอุตริเอาลิปสติกมาทาเปลือกตา เพราะเครื่องสำอางบางประเภทเอาไว้ใช้เฉพาะที่เท่านั้น

http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000054096


ข้อดีและข้อเสียของการดื่มเบียร์

เบียร์
เบียร์

เบียร์ เป็นเครื่องดื่มที่ใครหลายคนติดใจเป็นหนักหนา เพราะรสชาติที่มันนุ่มลิ้นดีแท้ นักวิจัย กล่าวว่า เบียร์นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อหัวใจ จากการวิจัยของมหาวิทยาลัย Emory กล่าวว่าผู้หญิงและผู้ชายสูงอายุ 2,200 คน ที่ดื่มเบียร์วันละ 1.5 แก้วต่อวัน จะมีการเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลวลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ เบียร์ยังดีต่อสมองอีกด้วย นักวิทยาศาสตร์ในบอสตัน พบว่า
ผู้ที่ดื่มเบียร์ตั้งแต่หนึ่งถึง 6 แก้วต่อสัปดาห์ จนถึงผู้ที่ดื่ม 7-14 แก้วต่อสัปดาห์ จะเกิดอาการชักได้น้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเลย แต่ถ้าผู้ที่ดื่มเกินกว่านี้ก็จะมีอาการชักได้มากที่สุด เพราะเบียร์สามารถช่วยลดขนาดเม็ดเลือดและไม่ทำให้เลือดไปครั่งที่สมองได้

วันนี้เรานำเกร็ดความรู้มีประโยชน์ และโทษของการดื่มเบียร์มาฝากกัน…

เริ่มจากประโยชน์ของเบียร์ก่อนเลยค่ะ

ประโยชน์ของเบียร์มีมากมายเลยทีเดียวค่ะ นอกจากจะมีสารต่าง ๆ มากกว่า 1,000 ชนิด อีกทั้งมีทั้งวิตามิน เกลือแร่ ที่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง ใครที่ชอบดื่มเบียร์คงจะถูกใจมิใช่น้อย เมื่อได้ยินว่า เบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะมีข้อดียังไงก็ควรดื่มแค่ควรก็พอค่ะ วันนี้เราจึงแนะนำ ประโยชน์ของเบียร์ ให้ได้ศึกษาเอาไว้ ดังนี้

– ป้องกันโรคหัวใจ

จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 – 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

– ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาต

– ช่วยลดความดันโลหิต

แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

– ป้องกันเบาหวาน

ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึง ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์

– ช่วยให้กระดูกแข็งแรง

เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

– ช่วยให้อายุยืน

จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 – 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

– ป้องกันท้องร่วง

โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

– ต้านความเครียด

นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

– ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต

นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรค นิ่วในไตได้ถึง 40%

– ป้องกันโรคนอนไม่หลับ

สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

– ช่วยต้านมะเร็ง

เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งโดยการดักจับอนุมูลอิสระตัว ร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

– ช่วยให้ผิวสวย

ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม

ทุกๆ อย่างในโลกของเราก็จะมีทั้งให้ประโยชน์ และให้โทษเสมอนะค่ะ มาศึกษาถึงผลเสียของการดื่มเบียร์กันบ้างค่ะ ดังนี้เลยค่ะ

ผลเสียของเบียร์ :
ไม่ใช่เฉพาะเบียร์ที่จะทำให้เกิดผลเสีย เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทำให้เกิดผลเสียทุกชนิด โดยเฉพาะกับตับ  ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป
ตับ เป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญ เบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะดื่มเบียร์ครั้งต่อไป ก็ลองคิดให้ดี ๆ  ว่าร่ายกายเราพร้อมแค่ไหนก่อนดื่มนะค่ะ

โรคภัยกับตับของเรา
โรคภัยกับตับของเรา

ไวรัสตับอักเสบ

เพื่อสุขภาพที่ดีต้องดื่มให้เป็น  และพอประมาณนะค่ะ
ถ้าอะไรที่มากเกินไปก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพเราได้ค่ะ

http://blog.msu.ac.th/?p=10178

http://www.emory.edu/EMORY_REPORT/stories/2010/09/07/beer.html

วิธีขจัดรอยคราบเปื้อนบนเสื้อผ้า

เมื่อชุดสวยเกิดเปื้อนรอยคราบที่ทำให้ต้องหงุดหงิด แต่จากนี้ไม่ว่าคราบลิควิด หมึกปากกา ยาทาเล็บ ฯลฯ เรามีเทคนิคดีๆ ช่วยขจัดคราบฝังแน่น ที่รับรองว่าคุณจะได้ผ้าสะอาด ปราศจากรอยเปื้อนกลับคืนมาแน่นอน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

น้ำหมึก วิธีแก้ไขก็ง่ายมาก ๆ เลยเพียงแค่ใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูถูบนรอยเปื้อน ก่อนนำไปซักด้วยผงซักฟอก

ปากกาลูกลื่น แก้ไขได้ เพียงใช้ฟองน้ำชุบแอลกอฮอลล์เช็ดตรงรอยเปื้อน ก่อนนำไปซักตามปกติ

สีเมจิก ให้รีบถูด้วยน้ำมันสนแล้วนำไปซักตามปกติ แต่ถ้ายังหลงเหลือรอยจาง ให้ซักน้ำยาซักผ้าขาวอีกครั้ง

ดินสอ วิธีแก้ไขไม่ยากเลยค่ะ แค่ทายาสีฟันรอยเปื้อนดินสอ ขย้ำเบา ๆ แล้วนำไปซัก

น้ำยาลบคำผิด วิธีขจัดคราบให้หยดแอลกอฮอล์ลงบนรอยเปื้อน แปรงหรือขยี้จนรอยเปื้อนจาง หากยังคงเหลือคราบน้ำยาลบคำผิด ให้ขยี้ด้วยน้ำยาซักแห้งอีกครั้ง แล้วนำไปซัก

ลิปสติก วิธีแก้ไขรอยลิปสติกนั้นให้กลับผ้าด้านใน (ที่ไม่ได้เปื้อนสิปสติกโดยตรง) ออกด้านนอก แล้ววางรอยเปื้อนลิปสติกบนผ้าเช็ดตัว หยดน้ำยาซักแห้งลงไปให้ลิปสติกละลาย

ยาทาเล็บ ใช้ฟองน้ำชุบน้ำยาล้างเล็บแล้วถูบนเนื้อผ้าก่อนนำไปซัก สำหรับผ้าลินินหรือผ้าสีขาว ให้ซักในน้ำยาซักผ้าขาว ส่วนผ้าสีให้ซักในน้ำยาซักผ้าที่มีส่วนผสมของโซเดียมเปอร์คาร์บอ เนต ผ้าไหมหรือผ้าวูลให้ซักในน้ำยาซักผ้าที่มีส่วนผสมของไฮโดร เจนเปอร์ออกไซด์

หมากฝรั่ง วิธีแก้ไขแค่นำเสื้อที่ติดหมากฝรั่งแช่ในช่องแข็งตู้เย็นประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อให้หมากฝรั่งแข็งตัวก่อน ค่อย ๆ แกะออก อย่าใช้วัตถุแข็ง ๆ ขูด เพราะจะทำลายเนื้อผ้า หากยังคงเหลือรอยหมากฝรั่งตกค้าง ให้ใช้กระดาษเช็ดก้นเด็กถูเบา ๆ

คราวหน้าถ้าเพื่อน ๆ ที่นี่เจอคราบสกปรกดังกล่าวก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันนะจ๊ะ เสื้อผ้าจะได้สะอาดหมดจด ไม่มีคราบสกปรกมารบกวนสายตาอีกต่อไปจ้า
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดีจาก dhammakid

http://women.mthai.com/women-variety/110362.html

การสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

images
images

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก

อาการมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่าม ีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก

อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะ เร็งรังไข่

อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4.มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)

อาการ เหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอากา รปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็งปอด

อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ

อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจ นเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

อาการมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง

อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก

อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อย ที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการก ดท ับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ

อาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก

อาการ มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญ ิง9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้

อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาก ารเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสด นั่นคืออา การของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14.  มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

อาการ มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างห นึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma ) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ

ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล

http://empire-aum.blogspot.com/2013/01/blog-post_30.html

รู้วิธีรักอย่างมีกึ๋น… ของผู้หญิงฉลาด

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในตัวเองก็อย่าหวังว่าใครอื่นจะมองเห็น การที่คุณหลงรักใครสักคนและต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเค้าคนนั้นอาจจะไม่ ใช่สิ่งที่ดีนัก เมื่อคุณเปลี่ยนเขาก็จะหมดความสนใจในตัวคุณ หากเทียบกับตอนที่เขาหลงรักคุณใหม่ๆ เขารักในตัวตนของคุณไม่ใช่คนที่เขาใฝ่ฝันอยากให้เป็น ซึ่งเป็นเพียงจินตนาการของผู้ชายเท่านั้น แต่คุณเป็นคนในโลกแห่งความจริง จงเป็นตัวของตัวเองและปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อตัวคุณเองนะ ไม่ใช่เพื่อเขา

เซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องง่าย

ก่อนที่ผู้หญิงฉลาดจะสนิทสนมกับใครสักคนทางกาย ควรรู้จักเขานานพอที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร รักสุขภาพตัวเองแค่ไหน และควรให้แน่ใจว่าหากคุณมีสัมพันธ์กับเขาคุณจะปลอดภัยทั้งทางจิตใจและร่าง กาย และถึงแม้ว่าเขาจะดีพร้อมทุกอย่างก็ไม่จำเป็นว่า คุณจะต้องนอนกับ เขาหากคุณไม่พร้อม เสรีภาพทางเพศหรือฟรีเซ็กซ์ควรควบคู่ไปกับความรับผิดชอบด้วย เรารู้จักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กซ์เลยด้วยซ้ำ หากเขาจริงจังกับคุณ

ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ

หากคนที่คุณคบอยู่เป็นคนดีและคุณชื่นชอบเขา ติดเพียงแค่เขาไม่ใช่หนุ่มหล่อในสเป็ค ให้คุณลองมองดูในจุดดีของเขา และลองมองดูถึงอนาคตว่า เขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคุณได้ด้วยความสุขหรือไม่ ลองสังเกตแฟมิลี่แมนที่ไปเดินชอปปิ้งในซูเปอร์มาเก็ต หรือพาแฟนไปเดินเที่ยว หรือทานดินเนอร์ เขาเหล่านั้นใช่จะหน้าตาดีไปซะทุกคนซะหน่อย ลองมองที่จิตใจแล้วคุณจะเห็นความ (ดี) งาม

ความเป็นเพื่อนยาวนานกว่าความรัก

คู่รักคือมิตรภาพที่ยาวนาน นั่นคือคุณสามารถพูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่องไม่เว้นเรื่องกระจุกกระจิกของ ผู้หญิง ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจแต่เขาจะตั้งใจฟังคุณและช่วยคุณแก้ปัญหา

ความรักมีปริมาณ 50-50

การที่ต่างฝ่ายต่างมอบความรู้สึกห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดี ทุกคู่ควรเป็นทั้งฝ่ายรับและฝ่ายให้ เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนให้มากเกินไปเขาอาจจะรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิด เพราะเหมือนเป็นการโดนหลอกใช้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความรักในระยะยาว การมอบสิ่งดีๆ ให้แก่กันเป็นสิ่งที่ไม่ยาก เพียงพยายามฟังและเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือต้องการ

ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว

การที่คบกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คุณเองก็ต้องการจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนผู้หญิงบ้าง พูดคุยกันในเรื่องที่คุยได้เฉพาะกับผู้หญิง เขาก็เช่นกันต้องการไปสังสรรค์กับเพื่อน หรือแม้แต่ใช้เวลาว่างเท่าที่เขาต้องการแต่ต้องไม่ใช่ละเลยคุณ แต่คุณอาจจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมกับเขาบ้าง แค่อย่าไปจุกจิกกับเขามากนักเลยนะ

เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้

ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ นอกเสียจากเขาต้องการจะทำเช่นนั้นเอง ฉะนั้นอย่าเสียเวลาในการขอร้องให้เขาเปลี่ยนแปลง เอาเวลาที่มีค่านั้นมาปรับปรุงสถานการณ์บางอย่างของคุณและเขาให้มีแต่ความ สัมพันธ์ดีๆ ดีกว่านะ หรือคุณอาจจะเป็นฝ่ายปรับเปลี่ยนตัวเอง คุณสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าอย่าเปลี่ยนไปซะหมดเพราะเขาคงไม่ชอบใจแน่ และหากเขาแสดงการกระทำที่ไม่ให้เกียรติคุณ เขาก็ไม่สมควรได้รับในสิ่งดีๆ ที่คุณพยายามหรือความห่วงใยจากคุณแล้วล่ะ อย่าปล่อยให้เขาทำตัวแย่กับคุณเพราะเขาจะยิ่งทำตัวแย่มากขึ้นเรื่อยๆ

งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เฉพาะผู้หญิง

อย่ากลัวที่จะขอให้เขาช่วยเหลือ บางครั้งที่เขาไม่ช่วยเพราะเขาไม่สนใจมันจริงๆ หรือเขาคิดว่า คุณอยากจะทำเอง หรือเขาอาจจะขี้เกียจ แต่ในเมื่อคุณไม่ขอเขาก็ไม่ทำ และหากเขาช่วยงานคุณแล้ว อย่าอยู่ใกล้คอยชี้นิ้วสั่ง และอย่าเข้าไปทำเสียเองหากเขาทำไม่ได้ดั่งใจคุณ อย่าลืมว่าเขาต้องการการฝึกฝน คอยแนะนำการทำงานของเขาแต่อย่าตำหนิเมื่อเขาทำพลาด สิ่งที่สำคัญคือการที่เขารักคุณไม่ได้หมายความว่า คุณต้องรับใช้เขา ผู้ชายที่ทำงานบ้านเป็นผู้ชายที่แสนจะเซ็กซี่และน่ารักที่สุด

การแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว

ความผูกพันระหว่างคนสองคนต้องการเวลาและขั้นตอนในการพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีบ้านสวยหรูหรือแหวนเพชรวงโต และไม่ใชการมีเซ็กซ์เท่านั้น การแต่งงานคือการประนีประนอมเพื่อความเข้าใจในการใช้ชีวิตคู่ ชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนติกตลอดเวลาก็สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่แท้ และฉลาดได้

http://hot.ohozaa.com/002172-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%8B%E0%B8%99–%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94.html

แฟน 7 แบบที่ควรเขี่ยทิ้ง

ทิ้งไป
ทิ้งไป

1. แฟนประเภทชอบรื้อฟื้น เช่น คบกันอยู่ดีๆ แต่วันร้ายคืนสยองเขากลับ มักพูดถึงแต่แฟนเก่า ว่าเป็นคนอย่างงั้น อย่างโน้น นัยว่าหล่อนเป็นแม่พิมพ์ประจำใจเขานั่นแหละ แถมเล่าแล้วไม่เล่าเปล่าเสียด้วยนะ มีการจับทั้งแฟนปัจจุบันกับอดีตหวานใจมาเปรียบเทียบซะกระเจิด กระเจิง แล้วไอ้ที่ เขาพูดๆ พล่ามๆ เรื่องรักเก่าสมัย ม.3 อะไรเนี่ย มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์ หรือทำให้รักปัจจุบัน เหนียวแน่นหรือก็เปล่าเลย ยิ่งเห่า เอ้ย ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้แฟนคนล่าสุดหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ

แถมดีไม่ดี เขาอาจเก็บภาพสมัยที่เคยระเริงรักกับแฟนเก่า ซึ่งซุกไว้ในเอ็กซ์ไฟล์ ส่วนตัวมาเปิดดูบ่อยๆ โดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ แล้วอย่างนี้จะให้รักกันไหวไหมล่ะ

2. แฟนชอบโกหกจนเป็นสันดาน ข้อนี้คงไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไรให้มาก เพราะ ใครบ้าง ที่ไม่รู้อยู่แก่ใจว่า การโกหก คือยาพิษที่ บ่อนทำลายความรักได้ง่ายและฉับไวที่สุดบ้างนะ เหตุนี้ ถ้ามีแฟนจัดเข้าข่ายเป็นพวกโก-Six หรือมุสาวาจา เป็นกิจวัตร หรือพวกชอบโชว์มาด “มือถือสาก ปากถือศีล” ล่ะก็ ถ้าไม่เลิกกันวันนี้ พรุ่งนี้ ก็คงมะรืนนี้แหละ สักวันนึงย่อมทนกันไม่ได้อยู่ดี

3. แฟนเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า แบบว่าเผลอเป็นไม่ได้ ต้องสะเหร่อแบ่งกายไปเบียด คนอื่นอยู่เรื่อย แต่ใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่า เพราะเด็กมันยั่ว เลยหลวมตัวนอตหลุด งั้นเชิญไปไขก๊อกกันทุกคืนเลยแล้วกัน เราอย่าลดตัว เป็นมารคอหอยเขาหน่อยเลย

4. แฟนที่ไม่สนว่า จำเป็นต้องเอาใจคนรักอะไร กันนักหนา

ถ้าไม่รู้จักเอาใจสวีตฮาร์ท แล้วจะให้อีกฝ่ายคอย แต่เอาใจใส่เขาหรือยังไง หากรักกันจริงก็ควรเทกแคร์กันสิเพ่

เทกแคร์น่ะแปลว่า ดูแลเอาใจใส่ไม่ ใช่ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเหลียวแล เค้าว่า ความรักคือการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่กันไม่ใช่หรือ? แล้วเคยให้กันบ้างไหม?

5. แฟนไม่เคยมีเวลาให้ รวมไปถึงชอบผิดนัด นิยมบอกปัด อ้างงานเยอะ แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ขืน เป็นงี้ แล้วจะเป็นแฟนกันไปทำไม? จะเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนก็ไม่เห็นมีอะไรต่าง นอกจากอยากเป็นแฟนเฉพาะทางโทรศัพท์ก็ว่าไปอย่าง

6. แฟนไม่เคยทำตามสัญญา ให้ความหวังด้วยลมปากเป็นอย่างเดียว แต่ทำให้หวังเป็นจริง ไม่ได้ก็แย่

7. แฟนที่ชอบตอกย้ำซ้ำเติมปมด้อยให้น้อยเนื้อต่ำใจได้ตลอดเวลา ถ้าไม่เห็นเรามีดีแล้วตกลงมารักกันให้เจ็บๆคันๆ ทำไมเหรอ ถ้ารักแล้ว พูดจาภาษาดอกไม้ หาเรื่องดีๆ เป็นสิริมงคลมาคุยกันไม่ได้ งั้นหันมาเป็นศัตรูกันยังเก๋ซะกว่า นี่ล่ะหนา ถึงอยากถามใครต่อใคร ว่าก่อนจะรัก หล่อนพร้อมจะเจ็บกระดองใจหรือยังจ๊ะ

http://hot.ohozaa.com/003824-%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99-7-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87.html

วิธีป้องกันภัยร้ายบนโลกออนไลน์

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

เมื่อโลกอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ภัยร้ายก็มาเยือนถึงตัวได้แบบไม่เว้นวัน SRAN จึงขอนำเสนอเทคนิคป้องกันภัยคุกคามออนไลน์ ที่ใครก็ทำได้ มาให้รับทราบกัน ดังนี้

1. ตั้งสติก่อนเปิดเครื่อง ก่อนเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้รู้ตัวเสมอว่าเราอยู่ที่ไหน – ที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่สาธารณะ – และระมัดระวังการใช้งานคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่เริ่มเปิดเครื่อง ดังนี้

ก่อน Login เข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ ต้องมั่นใจว่าไม่มีใครแอบดู Password ของเราได้

เมื่อไม่ได้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรล็อคหน้าจอให้อยู่ในสถานะที่ต้องใส่ค่า Login ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้อย่างสะดวก

อย่าประมาทในการใช้งานอินเตอร์เน็ต ตระหนักไว้ว่าข้อมูลความลับและความเป็นส่วนตัวของเราอาจถูกเปิดเผยได้เสมอใน โลกออนไลน์ แม้เราจะระมัดระวังมากเพียงใดก็ตาม

2. กำหนด Password ที่ยากแก่การคาดเดา ควรมีความยาวไม่ต่ำกว่า 8 ตัวอักษร และใช้อักขระพิเศษ ไม่ตรงกับความหมายในพจนานุกรม เพื่อให้เดาได้ยากมากขึ้น และการใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วไป เช่น การ Login ระบบ e-mail , ระบบสนทนาออนไลน์ (chat) ระบบเว็บไซต์ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ ทางที่ดีควรใช้ password ที่ต่างกันบ้างพอให้จำได้ หรือมีเครื่องมือช่วยจำ password เข้ามาช่วย

3. สังเกตขณะเปิดเครื่อง ว่ามีโปรแกรมไม่พึงประสงค์รันมาพร้อมๆ กับการเปิดเครื่องหรือไม่ ถ้าดูไม่ทัน ให้สังเกตระยะเวลาบูตเครื่อง หากนานผิดปกติ อาจเป็นไปได้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ติดปัญหาจากไวรัส หรืออื่นๆได้

4. หมั่นตรวจสอบและอัพเดต OS หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ ให้เป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน โดยเฉพาะโปรแกรมป้องกันภัยในเครื่อง และควรใช้ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฏหมาย นอกจากนี้ควรอัพเดตอินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจาก Application Software สมัยใหม่มักพึ่งพาอินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ ก่อให้เกิดช่องโหว่ใหม่ๆ ให้ภัยคุกคามเจาะผ่านบราวเซอร์ สร้างปัญหาให้เราได้

5. ไม่ลงซอฟต์แวร์มากเกินจำเป็น จนเกินศักยภาพการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต้องลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่

อินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ เพื่อใช้เปิดเว็บไซต์ต่างๆ

E-mail เพื่อใช้รับส่งข้อมูลและติดต่อสื่อสาร

โปรแกรมสำหรับงานด้านเอกสาร, โปรแกรมตกแต่งภาพ เสียง วิดีโอ

โปรแกรมป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์

หากจำเป็นต้องใช้โปรแกรมอื่น ควรพิจารณาใช้โปรแกรมที่ผ่าน Web Application เช่น Chat, VoIP เป็นต้น หรือบันทึกโปรแกรมลงบน Thumb Drive เพื่อรันจากภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์

ซอฟต์แวร์ที่ไม่ควรมีบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งาน ได้แก่

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการ Crack โปรแกรม

ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ใช้ในการโจมตีระบบ, เจาะระบบ (Hacking Tools)

โปรแกรมที่เกี่ยวกับการสแกนข้อมูล ดักรับข้อมูล (Sniffer) และอื่นๆ ที่อยู่ในรูปซอฟต์แวร์สำเร็จรูป ที่ไม่เป็นที่รู้จัก แม้ค้นหาข้อมูลก็ไม่พบรายละเอียด ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เราควรระมัดระวังหากจำเป็นต้องใช้ชุดซอฟต์แวร์ดังกล่าว

ซอฟต์แวร์ที่ใช้หลบหลีกการป้องกัน เช่น โปรแกรมซ่อน IP address เพื่อป้องกันคนไม่ให้เห็น IP ที่แท้จริงนั้น มักใช้เส้นทางระบบเครือข่ายของอาสาสมัครต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนี้อาจเป็นเครื่องของผู้ไม่ประสงค์ดีที่ต้องการดักข้อมูลของผู้ใช้งานบริสุทธิ์ก็ได้

6. ไม่ควรเข้าเว็บไซต์เสี่ยงภัย เว็บไซต์ประเภทนี้ ได้แก่

เว็บไซต์ลามกอนาจาร

เว็บไซต์การพนัน

เว็บไซต์ที่มีหัวเรื่อง “Free” แม้กระทั่ง Free Wi-Fi ที่เราคิดว่าได้เล่นอินเตอร์เน็ตฟรี แต่อาจเป็นแผนของ Hacker ให้เรามาใช้ระบบ Wi-Fi ก็เป็นได้ ให้คิดเสมอว่า “ไม่มีของฟรีในโลก” หากมีการให้ฟรีก็ต้องของต่างตอบแทน เช่น โฆษณาแฝง เป็นต้น

เว็บไซต์ที่ให้โหลดโปรแกรม ซึ่งมีการแนบ file พร้อมทำงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ไฟล์นามสกุล .exe .dll .vbs เป็นต้น

เว็บไซต์ที่แจก Serial Number เพื่อใช้ crack โปรแกรม

เว็บไซต์ที่ให้ download เครื่องมือในการเจาะระบบ (Hacking Tools)

เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

เว็บไซต์ที่มี Link ไม่ตรงกับชื่อ โดย Redirect ไปอีกหน้าเพจหนึ่งที่ชื่อไม่ตรงกับ domain ที่ต้องการใช้งาน

เว็บไซต์ที่มีหน้าต่าง pop-up ขึ้นหลายเพจ

เว็บไซต์ที่มีชื่อ domain ยาวและมีเครื่องหมายมากเกินปกติ ไม่ใช่ชื่อที่เหมาะแก่การตั้ง เช่น www.abc-xyz-xxx.com มีเครื่องหมาย “–” มากเกินไป

เว็บที่ทำตัวเองเป็น Proxy อนุญาตให้เราใช้งานแบบไม่ระบุชื่อ (anonymous) เนื่องจากผู้ใช้ Free proxy มักประมาทและคิดถึงแต่ผลประโยชน์ จนลืมคิดไปว่าการได้ IP Address ปลอม จากการใช้ Anonymous Proxy อาจจะถูกสร้างมาเพื่อดักข้อมูลของเราเสียเองก็ได้

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นข้อสังเกตเว็บไซต์เสี่ยงภัย หากหลีกเลี่ยงการเข้าเว็บที่มีลักษณะดังกล่าวไม่ได้ ก็ควรตั้งสติ รอบคอบ และระมัดระวังในการใช้งานเว็บไซต์ข้างต้นเป็นพิเศษ

7. สังเกตความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่ให้บริการธุรกรรมออนไลน์ เว็บไซต์ e-Commerce ที่ปลอดภัยควรมีลักษณะดังนี้

มีการทำ HTTPS เนื่องจาก HTTPS จะมีการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อป้องกันการดัก User name และ Password ในเวลาที่เราทำการ Login เข้าใช้บริการ e-commerce

มีใบรับรองทางอิเล็กทรอนิกส์ (Certificate Authority : CA) เพื่อช่วยในการยืนยันตัวบุคคลและรักษาความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้บนเครื่องให้บริการนั้น

มีมาตรฐาน (Compliance) รองรับ เช่น ผ่านมาตรฐาน PCI/DSS สำหรับเว็บไซต์ E-commerce เป็นต้น

8. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวลงบนเว็บ Social Network ชื่อที่ใช้ควรเป็นชื่อเล่นหรือฉายาที่กลุ่มเพื่อนรู้จัก และไม่ควรเปิดเผยข้อมูลดังต่อไปนี้

เลขที่บัตรประชาชน
เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว
หมายเลขหนังสือเดินทาง
ข้อมูลทางการแพทย์
ประวัติการทำงาน

หากจำเป็นต้องกรอกข้อมูลดังกล่าว ให้สังเกตว่าเว็บไซต์นั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ พิจารณาจากเนื้อหาในเว็บไซต์ที่ควรบ่งบอกความตั้งใจในการให้บริการ และควรเป็นเว็บไซต์ที่รู้จักกันแพร่หลาย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาถูกดักข้อมูลส่วนตัวจากการสร้างเว็บไซต์หลอกลวง (Phishing) และป้องกันข้อมูลปรากฏในระบบค้นหา (Search Engine) ที่ตนเองไม่ประสงค์จะให้สาธารณชนได้รับรู้

9. ศึกษาถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับการใช้สื่ออินเตอร์เน็ต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการ กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯ โดยมีหลักการง่ายๆ ที่จะช่วยให้สังคมออนไลน์สงบสุข คือ ให้คิดถึงใจเขาใจเรา – หากเราไม่ชอบสิ่งใด ก็ไม่ควรทำสิ่งนั้นกับผู้อื่น – เวลาแสดงความคิดเห็นบนกระดานแสดงความคิดเห็น (Web board), การรับส่ง e-mail, หรือการกระทำใดๆ กับข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต

10. ไม่หลงเชื่อโดยง่าย อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น และงมงายกับข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต ควรหมั่นศึกษาหาความรู้จากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต และศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนปักใจเชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้

10 วิธีข้างต้นถือเป็นคาถาสำหรับนักท่องเน็ต เพื่อเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานอินเตอร์เน็ตให้มากขึ้น เพราะภัยคุกคามจากการใช้อินเตอร์เน็ตมักเกิดจากพฤติกรรมการใช้งานของเราเอง การมีชุดซอฟต์แวร์ป้องกันในเครื่องมิใช่คำตอบสุดท้าย ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นได้ล้วนแล้วแต่พึ่งพาสติและความรู้เท่าทันของเราเองระลึกไว้เสมอว่า ความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากตัวเองเสียก่อน หากผู้ใช้งานปลอดภัย ระบบเครือข่ายภายในองค์กรนั้นก็จะปลอดภัย เครือข่ายองค์กรอื่นๆที่มาร่วมใช้งานระบบก็ปลอดภัย เกิดเป็นห่วงโซ่แห่งความปลอดภัย จากระดับเล็กสู่ระดับใหญ่ ไปถึงระดับชาติ ช่วยให้ประเทศของเราปลอดภัยจากการใช้ระบบสารสนเทศได้

http://nut-memo.blogspot.com/