4 เหตุผล ควรทานไข่

4  เหตุผล ควรทานไข่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1. ไข่ 1 ฟองมีคอเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัมก็จริง แต่ผลวิจัยพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟองหรือไม่กินไข่เลย

กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เองมีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อ อาหารประเภท “ผัดๆ ทอดๆ” ฯลฯ ลดลง

ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้คอเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู การกินเนื้อมากเกิน (เนื้อที่เห็นเป็นเนื้อแดงก็มีไขมันแฝงอยู่มาก) ฯลฯ และที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์หรือไขมันแปรสภาพ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม (คอฟฟี่เมต) ที่ใช้ทำเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารฟาสต์ฟูด

แนวทางในการลดคอเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดหลักคือ การลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รองลงไปคือ การออกแรง-ออกกำลังให้มากพอเป็นประจำ และการกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลให้น้อยลง

2. ไข่มีโคลีนสูงถึง 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน ซึ่งโคลีนเป็นสารประกอบที่ช่วยเสริมความจำให้ดีขึ้น และยังป้องกันเส้นเลือดอุดตันได้อีกด้วย

ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากประมาณ 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน การกินไข่จึงเปรียบคล้ายการซื้อ “ประกันชีวิต” ในเรื่องอาหารคุณค่าสูงว่า โอกาสขาดสารอาหารจะลดลงไปมากมาย

โคลีน (choline) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมองและเซลล์ประสาท เป็นองค์ประกอบของสารสื่อประสาทที่สมองใช้ในการสื่อสารภายใน (คล้ายๆ จุดเชื่อมหรือ router ของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต) คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคลีนคือ มันออกฤทธิ์ต้าน (ลด) การอักเสบ หรือป้องกันไม่ให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้ในระดับหนึ่ง

การอักเสบนี้มีผลมากเป็นพิเศษที่ผนังหลอดเลือด เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ “เรียบลื่น (ปกติจะลื่นคล้ายๆ กระทะเคลือบเทฟลอน)” ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย

3. ไข่แดงช่วยบำรุงสายตา เพราะมีสารลูทีน-ซีแซนทีน ทำให้ความเสี่ยงเป็นโรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุลดลง

ลูทีน-ซีแซนทีนเป็นสารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม “สีเหลือง-แสด” ช่วยปัองกันจอรับภาพ (retina / เรทินา) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง (คล้ายๆ กับเป็นแว่นกันแดดชั้นดี) แสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV (อัลตราไวโอเลต / ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยง (โอกาสเป็น) โรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุ(age-related macular degeneration / ARMD) ลดลง

แน่นอนว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า แสงไฟจ้า หรือการอยู่หน้าจอ TV, จอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นการดีที่สุด ทว่า ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแดด ชมโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละนานๆ การพักสายตาอย่างน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และการกินอาหารที่มีลูทีน-ซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว (เช่น บรอคโคลี ฯลฯ) ถั่วที่มีสีเขียว ข้าวโพด ฯลฯ ก็ช่วยได้มาก

4. ไข่ช่วยลดความอ้วน เนื่องจากมีโปรตีนสูง ทำให้อิ่มนาน

การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่กินไข่เป็นอาหารเช้ามีโอกาสลดน้ำหนักและเส้นรอบเอวสำเร็จมากกว่าคนที่กินขนมปังเป็นอาหารเช้า กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนคุณภาพสูง ทำให้อิ่มนาน และอย่าลืมว่า ไม่ใช่กินอาหารเท่าเดิมแล้วเสริมไข่เข้าไป แต่ต้องใช้หลัก “อาหารทดแทน” ด้วย คือ กินไข่เข้าไป แล้วลดอาหารอย่างอื่นให้น้อยลงจึงจะได้ผล

เคล็ดไม่ลับในการกินไข่

1. กินพอประมาณ
คนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคสูง กินไข่ได้วันละ 1 ฟอง คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นโรคโคเลสเตอรอลสูง ฯลฯ ควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนกินไข่

2. เวลาซื้อต้องหมุนไข่ อย่าซื้อไข่ที่มีรูทะลุหรือรอยแตก

3. เก็บไข่ในตู้เย็นจะเก็บไข่ได้นานขึ้น
ส่วนประตูตู้เย็นมักจะเย็นน้อยกว่าส่วนกลางตู้เย็น

4. ฟอกไข่ด้วยฟองน้ำล้างจานกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน
ล้างมือหลังหยิบจับเปลือกไข่ดิบทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคท้องเสียติดไปกับเปลือกไข่ได้ จากสถิติของสหรัฐฯ พบว่า โอกาสพบเชื้อท้องเสีย (salmonella) ในไข่มีประมาณ 1 ใน 30,000 ฟอง

5. กินไข่สุก อย่ากินไข่ดิบ
ไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก ฯลฯ มีโปรตีน (avidin) ที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน (biotin) ทำให้การดูดซึมลดลง และควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจมีไข่ดิบผสมอยู่ เช่น ไอศกรีมทำเอง (home-made = ทำที่บ้าน นอกโรงงาน) น้ำสลัดซีซาร์ ฯลฯ นอกจากนั้น เวลาทำขนมหรือคุกกี้ใส่ไข่ดิบ ไม่ควรชิมในช่วงที่ขนมหรือคุกกี้ยังไม่สุก

—————
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ และอาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหารตีพิมพ์เรื่อง “เมนูไข่…ไข่…ไข่…”

กายภาพมือง่ายๆ ก่อน “นิ้วล็อค” ถาวร

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ภาวะนิ้วล็อค เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีการใช้มือทำงานอย่างหนัก ซึ่งจะมักมีอาการเจ็บร่วมกับมีเสียงดังกึก ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว แต่เมื่อมีการอักเสบเส้นเอ็นจะบวมและหนาตัว ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา

โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะคนทำงาน office อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน  หรือแม้แต่แม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย พิมพ์งาน  นักกอล์ฟ เป็นต้น

นอกจากนี้ลักษณะการใช้งานของมือในแต่ละกิจกรรมจะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น พ่อแม่ที่เป็นครู หรือนักบริหาร มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ ขณะที่แม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง

สำหรับอาการ ในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัด หรือกำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้

กายภาพมือง่ายๆ ก่อน “นิ้วล็อค” ถาวร

1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต

ระวังตัวง่ายๆ  ลดเสี่ยง “นิ้วล็อค” ถาวร

1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ

2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ

3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง

4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น

5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง

——————————-ภาพประกอบจากอินเตอร์เนตขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=3382:-qq-&catid=95:2009-09-05-15-01-03&Itemid=324

วิธีการฝึกคิดบวก

มนุษย์เราสามารถสร้างนิสัยคิดบวกได้พอๆ กับนิสัยคิดลบ แต่นิสัยคิดลบเกิดได้ง่ายกว่า เพราะต่างทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ฉะนั้น ลองทำตามวิธีต่อไปนี้ดูนะคะ เพื่อสร้างนิสัยคิดในด้านดี และขจัดความคิดด้านร้ายให้หมดไป วิธีการฝึกคิดบวกนั้นไม่ยาก ลองดู 12 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ค่ะ

1. ให้มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนหลัง ทุกคนเคยทำผิดมาแล้วทั้งนั้น แต่ต้องไม่จมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาด เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป จงวางเป้าหมายเล็กๆที่เป็นไปได้ และพยายามทำให้สำเร็จ

2. รู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นผลพวงมาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ในบางครั้งบางคราว เราต่างตัดสินใจผิดพลาด แต่เมื่อรู้สำนึกแล้ว ก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป เรียกว่าเป็นการให้อภัย และต้องให้อภัยตัวเองเมื่อทำผิดพลาด เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป รวมทั้งใช้ความผิดพลาดจากอดีตเป็นบทเรียน เพื่อก้าวย่างที่ดีกว่าในอนาคต

3. ถ้าแก้วมีน้ำแค่ครึ่งเดียว จงเติมให้เต็มแก้ว การมองว่า มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว หรือน้ำหายไปครึ่งแก้วนั้น ถูกทั้ง 2 อย่าง อยู่ที่ว่าผู้มองเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือร้าย และไม่ผิดอะไรที่คุณจะเติมน้ำให้เต็มแก้ว

4. มองหาบุคคลต้นแบบ ทุกคนควรมีบุคคลต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจ คนคนนั้นอาจเป็นผู้ที่เอาชนะอุปสรรคใหญ่ๆได้สำเร็จ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุด หรือเป็นผู้ที่ทำงานหนักและสัมฤทธิ์ผล จงเอาคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต

5. พาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงของคนที่ประสบความสำเร็จและมอง โลกในแง่ดี มันเป็นเรื่องมหัศจรรยู์ที่พลังอำนาจของคนอื่น สามารถส่งผลกระทบต่อพลังในตัวเราได้ คนที่คิดในด้านบวกจะช่วยกระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้เรา เชื่อมั่นในตัวเองว่า เราสามารถทำสิ่งที่มุ่งมั่นไว้ให้สำเร็จได้ จำไว้ว่า..จงอยู่ให้ห่างคนที่คิดแต่แง่ร้าย ซึ่งจะขัดขวางการเดินหน้าของคุณ ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

6. เห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิต เมื่อเราพอใจกับทุกเรื่องดีๆที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม มันจะช่วยให้เราขจัดความคิดในด้านลบออกไป การโฟกัสแต่สิ่งดีๆเหล่านี้ จะทำให้อุปสรรคที่เราเผชิญอยู่ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราจัดการได้ง่ายขึ้น

7. รู้จักบริหารเวลาอย่างชาญฉลาด อย่าเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณตั้งเป้าไว้ในชีวิต ข้อสำคัญคือ มุ่งทำในเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคุณเป็นไปดังที่หวังไว้ ซึ่งจะส่งผลให้คุณมีทัศนคติที่ดี

8. จินตนาการว่ามีสิ่งดีๆเกิดขึ้น แปลกแต่จริงที่ว่า คนส่วนมากมักชอบวาดภาพเรื่องเลวร้ายกำลังเกิดขึ้น โดยมักจะพูดว่า “ถ้ามันเกิดขึ้น…” จงฝึกนึกถึงเรื่องดีๆกำลังเกิดขึ้น มองเห็นภาพงานที่กำลังทำเดินไปด้วยดี (ไม่ว่าจะเป็นงานที่บ้านหรือที่ทำงาน) และได้รับคำชมจากคนรอบข้างว่า“เยี่ยมมาก” เพราะนั่นจะเป็นกำลังใจให้คุณคิดบวกต่อไป

9. ความผิดพลาดมีไว้ให้เรียนรู้ มิใช่แส้ที่เอาไว้เฆี่ยนตี ทุกคนล้วนเคยทำผิดทั้งนั้น และถึงแม้ว่าได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังทำพลาด ขอให้จำไว้ว่า ยังมีโอกาสให้เริ่มต้นใหม่ ความผิดพลาดต่างๆที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคต

10. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ถ้ารอบๆตัวเต็มไปด้วยข้าวของวางระเกะระกะ กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ลองหาเวลาจัดเก็บ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งจะช่วยให้คุณเปลี่ยนมุมมอง ความคิดได้มาก ใครจะมองโลกในแง่ดีได้ ถ้าต้องอยู่ท่ามกลางสภาพสกปรกรกรุงรังตลอดเวลา เพราะสภาพแวดล้อมที่ดี จะช่วยสร้างและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทัศนคติด้านบวก

11. รับข้อมูลข่าวสารที่ดี หมั่นอ่านบทความที่สร้างแรงจูงใจ หรือฟังธรรมะที่กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว และเกิดปัญญา ซึ่งจะช่วยให้มองโลกและชีวิตได้อย่างเข้าใจ มีความหวัง และความสุข

12. ให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง และบอกตัวเอง ซ้ำๆ เพราะคำมั่นสัญญาดีๆมีผลต่อกระบวนการคิดของตัวเอง เช่น ถ้าคุณมีอาการซึมเศร้าเป็นประจำ คำมั่นสัญญาของคุณก็คือ “ฉันมีความสุข ฉันควบคุมตัวเองได้” บอกตัวเองเช่นนี้หลายๆครั้งในแต่ละวัน แล้วคุณจะรู้สึกถึงพลังความคิดด้านบวกที่เกิดขึ้น

ขอบคุณข้อมูลดีดีจากบ้านมหา ดอทคอม

“ยิ้ม” สร้างความสุข

สร้างความสุขให้กับตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ ในทุกๆ วันไม่ยากเลยค่ะ เริ่มด้วยการ…… “ยิ้ม” ยิ้มให้กับตัวเอง

ในแต่ละวันหลังจากตื่นนอนให้ยิ้มหน้ากระจก พูดกับตนเองในเรื่องดีๆ เช่น พูดถึงข้อดีของตนเอง พูดให้ กําลังใจกับตนเอง (พูดในใจ หรือพูดออกมาก็ได้) คําพูดดีๆเหล่านี้จะฝังอยู่ในจิตใต้สํานึก ทําให้เราเกิดพลังในการต่อสู้กับอุปสรรคค่ะ

——————————–

เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาล

แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล
2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง
3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น
4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ “เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร”
เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่
———-
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.prd.go.th/ewt_news.php?nid=73574

บอกลาริมฝีปากดำ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

น้ำตาลทราย + น้ำมะนาว + น้ำนม

นำส่วนผสมทั้ง 3 อย่างนี้อย่างละ 1/2 ช้อนชามาผสมให้เข้ากันค่ะ

จากนั้นทาริมฝีปากให้ทั่วหรือใช้สำลีชุบส่วนผสมแล้วนำมาทาริมฝีปาก ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที (หากมีแผลที่ริมฝีปาก ไม่ควรใช้สูตรนี้ค่ะ เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจจะกัดจนแสบและทำให้แผลอักเสบมากขึ้นได้)

หากคุณหมั่นทำสูตรนี้เป็นประจำ รับรองริมฝีปากที่ดำคล้ำจะค่อยๆ ผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวปากค่อยๆ เรียบเนียนสดใสไร้ความดำคล้ำแน่นอน

—————

สร้างความฉลาดให้กับลูกน้อยระหว่างการตั้งครรภ์

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

วิธีดูแลตัวเองในระหว่างตั้งครรภ์ของแม่ ที่มีผลต่อ ความฉลาด ทางสติปัญญาของลูกน้อยในครรภ์

1. อารมณ์ดีเข้าไว้ เพื่อร่างกายจะได้หลั่งสารสุขออกมา และส่งผ่านไปยังลูกทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) แต่ถ้าเครียดละก็ร่างกายจะหลังสารอะดรีนาลีนแทน ซึ่งส่งผลให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก และมีพัฒนาการช้าได้

2. รับประทานอาหารเหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น DHA AA และ ARA ซึ่งมีมากในปลาทะเล ธัญพืชต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อสมองของลูกถึงร้อยละ 60

3. ออกกำลังกาย เวลาคุณแม่ออกกำลังกาย ลูกในท้องก็จะเคลื่อนไหวตามจังหวะของคุณแม่ด้วย ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น (ต้องศึกษาวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้องระหว่างการตั้งครรภ์ด้วยนะค่ะ)

4. ลูบหน้าท้อง จะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น เทคนิคง่ายๆ คือให้คุณแม่ลูบท้องเป็นวงกลมวนไปมาจากไหนก่อนก็ได้

5.พูดคุยกับลูกบ่อยๆ ระบบประสาทการรับฟังของลูกจะเริ่มทำงานประมาณอายุครรภ์ 5 เดือน การพูดคุยกับลูกด้วยเสียงที่นุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด

6.ฟังเพลงเพลินๆ ไม่ว่าคุณแม่ฟังเพลงอะไร ลูกน้อยก็จะได้ฟังตามไปด้วย ยิ่งถ้าเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงคลาสสิกด้วยแล้วจะช่วยกระตุ้นให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกพัฒนาดีขึ้น และเมื่อลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี

7. ส่องไฟที่หน้าท้อง เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ลูกจะสามารถกระพริบตาได้ การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นหลังคลอด

———————–ขอบคุณเนื้อหาจาก…www.momypedia.com และ http://women.mthai.com/newmom/154752.html

ความรู้ทั่วไปสุขภาพผู้หญิงตั้งครรภ์ อาหารที่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันเราถือว่าคนท้องคนตั้งครรภ์ไม่ใช่คนป่วย ดังนั้นอาหารแสลงสำหรับหญิงตั้งครรภ์จึงไม่มี มีเพียงแต่ว่าอาหารบางอย่างต้องจำกัดลงบ้าง

การรับประทานอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมจะส่งผลถึงความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ อาหารที่เหมาะสมสำหรับคนตั้งครรภ์นั้น มีกฎเกณฑ์ที่ควรคำนึงคร่าวๆ คือ…..

คนตั้งครรภ์ต้องการอาหารเพิ่มอีกวันละ 300-500 กว่าแคลลอรี่ เช่น  ถ้ารับประทานมากกว่าปกติไปโดยเพิ่มข้าวขาหมูจานใหญ่อีก 1 จาน จะเท่ากับได้แคลอรี่เพิ่มเติมไปอีกประมาณ 400-500 แคลอรี่

ควรคำนึงว่า ไม่ว่าคุณแม่จะทานมากเท่าใดก็ตาม ทารกในครรภ์ก็จะหนัก โดยเฉลี่ย 3 กิโลกรัม ซึ่งในสภาวะการตั้งครรภ์ตามปกติ คุณแม่จะมีน้ำหนักขึ้นโดยประมาณ 10-12 กิโลกรัม ตลอดการตั้งครรภ์ แม้คุณแม่จะน้ำหนักเพิ่มอีก 20-30 กิโลกรัม ทารกในครรภ์ก็จะหนักโดยประมาณ 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย   ดังนั้น  การทานอาหารที่พอเหมาะและมีอาหารครบทุกหมู่ โดยเน้นหนักที่อาหารจำพวกผักและโปรตีน รวมทั้งผลไม้ที่มีวิตามินซีมากๆ จะเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อทารกในครรภ์และมารดา ส่วนเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มีก๊าซอัดไว้และมีแอลกอฮอล์ รวมทั้งบุหรี่ ไม่เหมาะต่อการตั้งครรภ์และเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://mede8.net/204.html

ประโยชน์จากการดื่ม น้ำขิงผสมมะนาว

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ประโยชน์จากการดื่มน้ำขิงผสมมะนาวตอนเช้า มีมากมายหลายข้อค่ะ ตามนี้เลย
  • ช่วยดีท็อกซ์สารพิษตกค้างในร่างกาย
    การ จิบน้ำขิงมะนาวเป็นประจำทุกเช้าจะช่วยให้ร่างกายได้ดีท็อกซ์­­­ของเสียที่ตก ค้างอยู่ในตับ และยังช่วยให้ระบบไหลเวียนน้ำเหลืองทำงานเป็นปกติอีกด้วย
  • บรรเทาอาการเจ็บคอ
    ใครที่มีอาชีพที่ต้องใช้เสียงมากในการทำงาน ทำให้มักมีอาการเจ็บคออยู่บ่อย ๆ เราขอแนะนำให้จิบน้ำขิงมะนาวดู เพราะจากข้อมูลของ Encyclopedia of Herbal Medicine แนะนำมาว่า น้ำขิงมะนาวมีคุณสมบัติบรรเทาอาการเจ็บคอ ด้วยพลังจากผลมะนาวที่มีรสขมหน่อย ๆ จะช่วยให้ร่างกายกระตุ้นน้ำลายออกมามากขึ้น นอกจากนี้แล้วยังได้รับประโยชน์จากขิงที่ช่วยลดการติดเชื้อในลำ­คอของเรา ทำให้อาการเจ็บคอดีขึ้น
  • ช่วยย่อยอาหาร
    สำหรับใครที่ชอบมีอาการอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ ขอแนะนำให้ลองจิบน้ำขิงมะนาวในตอนเช้าดู เพราะน้ำขิงมะนาวจะช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำย่อยออกมามากขึ้น เวลากินอาหารในมื้ออื่น ๆ เราจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดท้อง และมีอาการท้องอืด
  • ช่วยบำรุงผิวพรรณ
    ใครที่มีผิวพรรณไม่ค่อยเปล่งปลั่งสดใส ลองจิบน้ำขิงมะนาวแทนเครื่องดื่มพวกชา กาแฟดูนะคะ เพราะในน้ำขิงมะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซีที่จะช่วยกระตุ้นการไหลเ­­­วียนเลือด ซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกสารอนุมูลอิสระทำร้าย และยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอีกด้วย
  • เพิ่มความสดชื่นตื่นตัว
    ขิงเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อนที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวได้ คล้ายกับสารคาเฟอีนในกาแฟ ดังนั้น หากเช้าวันไหนรู้สึกตื่นมาแล้วไม่สดชื่น ก็ลองชงน้ำขิงมะนาวเพิ่มพลังดูนะคะ
  • ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
    หลังการออกกำลังกายเสร็จแล้ว หากไม่อยากให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าจากการออกแรงบริหารกาย ลองจิบน้ำขิงมะนาวอุ่น ๆ สักแก้วดู จะช่วยคืนความสดชื่นให้ร่างกายหลังเสียเหงื่อ กระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนดี กล้ามเนื้อของเราก็จะฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น
  • ชะลอความเสื่อมของเซลล์
    ประโยชน์ ในน้ำขิงมะนาวนั้น นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังอุดมด้วยวิตามินซีและบี ที่ช่วยป้องกันเซลล์ผิวถูกทำร้าย มีแร่ธาตุสำคัญเช่น ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูก กระตุ้นสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และยังบำรุงต่อมหมวกไตอีกด้วย
  • ช่วยลดน้ำหนัก
    จาก ผลการวิจัยในวารสาร Clinical Biochemistry and Nutrition จากประเทศญี่ปุ่น เผยว่า การจิบน้ำขิงมะนาวอย่างน้อยวันละครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายส­­­ร้าง เอนไซม์ Acyl-CoA oxidase ออกมามากขึ้น ดึงเอาไขมันที่ถูกสะสมไว้มาเผาผลาญเป็นพลังงาน โดยไขมันที่ถูกเบิร์นนั้นจะถูกร่างกายขับออกในรูปของปัสสาวะ
  • บรรเทาอาการหวัด
    น้ำขิงมะนาวช่วยป้องกันโรคหวัดได้ เพราะคุณค่าจากมะนาวที่มีวิตามินซีสูง ช่วยลดการสะสมของเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจของเรา รวมถึงความเผ็ดร้อนของขิงที่จะช่วยให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามาก­ขึ้น เป็นการบรรเทาอุณหภูมิความร้อนในร่างกายให้ลงต่ำลง หากจิบน้ำขิงมะนาวอุ่น ๆ เป็นประจำทุกวันก็จะช่วยให้อาการหวัดดีขึ้น
  • เพิ่มการเผาผลาญไขมัน
    น้ำ ขิงมะนาวช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้สูงถึงร้อยล­­­ะ 20 เพราะรสชาติเผ็ดร้อนของขิงนั้นช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึงร­­­้อยละ 5 น้ำขิงมะนาว จึงเหมาะกับคนที่มีเวลาออกกำลังกายน้อย แต่อยากให้พุงยุงเร็ว

วิธีทำน้ำขิงมะนาว หากต้องการให้ได้รับประโยชน์แบบเต็ม ๆ ควรใช้ขิงสด แทนการชงด้วยน้ำขิงซองค่ะ

1. เตรียมน้ำอุ่น 1 แก้ว

2. ฝานเหง้าขิงให้ได้ขนาดประมาณ ½ นิ้ว จากนั้นนำไปแช่ไว้ในแก้วน้ำอุ่นที่เตรียมไว้นานประมาณ 3-5 นาที

3. คั้นน้ำมะนาวเพิ่มลงไป หรือจะใช้ฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง ๆ แช่ลงไปก็ได้

4. หากต้องการความหวานสามารถเพิ่มน้ำผึ้งลงไปประมาณ ½ ช้อนชา เพื่อกลบรสชาติเผ็ดร้อนของขิง

5. พยายามชงจิบให้ได้ติดต่อกันนาน 28 วัน หรือประมาณ 4 สัปดาห์ แนะนำว่าให้ชงจิบตอนเช้าดีกว่าก่อนนอน เพราะขิงมีฤทธิ์คล้ายสารคาเฟอีนคือ กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว อาจส่งผลให้นอนไม่หลับในตอนกลางคืน

น้ำขิงมะนาว เป็นเครื่องดื่มสมุนไพรที่เราสามารถทำได้เองง่าย ๆ ซึ่งจะดีต่อสุขภาพของเราอย่างแน่นอนหากเราไม่เพิ่มความหวานให้ก­­­ับน้ำขิง มะนาวด้วยการใส่น้ำตาล หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล แต่ถ้าใครที่ยังไม่ชินกับรสชาติของขิงนั้น ขอแนะนำว่าในช่วงแรกอาจใช้ขิงในปริมาณน้อย แต่เน้นน้ำมะนาวมากหน่อย หากชินกับรสชาติแล้วค่อยเพิ่มปริมาณขิงก็ได้ค่ะ
———–ขอบคุณข้อมูลจาก http://mede8.net/813.html

ผมหงอกยิ่งถอน..ยิ่งขึ้น จริงหรือ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

เคยได้ยิน…ความเชื่อในเรื่องของการถอนผมหงอกแล้วจะยิ่งทำให้ผมหงอกขึ้นมากกว่าเดิม จนทั่วศีรษะ   ความจริงแล้วรากผม 1 เส้น จะสร้างผมได้ 1 เส้น ต่อให้ตัดหรือถอนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมเพิ่มขึ้นได้ เพราะเส้นผมหงอกที่ถูกถอนหนึ่งเส้นจะไม่สามารถสร้างผมหงอกขึ้นมาได้อีก ดังนั้น การที่ยิ่งถอนยิ่งหงอก จึงเป็นไม่เป็นความจริง แต่ผมหงอกที่เพิ่มขึ้น จะมาจากปัจจัยอื่นมากกว่า

การป้องกัน ก่อนที่จะหงอกก่อนวัย ควรดูแลผมให้ดกดำด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์จากวิตามินบี ,ไบโอติน และสังกะสี เช่น งาดำ, ข้าวกล้อง, ตับหมู, ปลาเนื้อขาว และแครอท เป็นต้น

รู้แบบนี้แล้ว หันมาดูแลไม่ให้มีผมหงอกก่อนวัยกันจะดีกว่า

ข้อมูลจาก…http://mede8.net/924.html