22 เคล็ดลับของนักออมทั่วโลก

ปฏิบัติการเรื่องเงินๆ ทองๆ

อะไรกัน! นี่คุณไม่มีเงินเก็บสักบาทเลยรึ?

การออม
การออม

เงิน, ออมเงิน, เก็บเงิน
ในภาวะเศรษฐกิจปกติก็ออมไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว แต่ “มัทยา ดีจริงจริง” เจ้าของหนังสือขายดี “ออมน้อยก็รวยได้” จากหนังสือ Saving On A Shoestring ของ Barbara O’Neill, CFP สำนัก พิมพ์ซีเอ็ดยูเคชั่น มีเคล็ดลับสำหรับคนอยากออมว่า การเก็บเงินไม่ต่างอะไรกับโปรแกรมลดความอ้วน มันยากตอนเริ่มต้น และยากขึ้นไปอีกเมื่อต้องจูงใจตัวเองให้ทำต่อเนื่อง การออมถือเป็นเรื่องที่ต้องอดทนและมีวินัยอย่างมาก แต่หากคุณทำได้ ผลที่ได้รับนั้นแสนคุ้มค่า

สำคัญอยู่ที่การจัดลำดับความสำคัญและทัศนคติ แค่คุณอยากจะหยุดเรื่องแย่ๆ (ไม่มีเงินเก็บสักบาท) ให้ได้นี่ก็ดีแล้ว การ เริ่มต้นที่ดีคือการเลือกวิธีออมสักวิธี (หรือหลายวิธี) ที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง ลองพิจารณาดู 22 เคล็ดลับของนักออมที่เขาออมกันได้ผลมาแล้ว

1.จ่ายให้ตัวเองก่อนอันดับแรก กันส่วนหนึ่งของเงินเดือนที่ได้รับ จะมากจะน้อยให้นำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารทุกๆ เดือน แล้วอย่าไปยุ่งกับบัญชีนั้นเด็ดขาด ถ้าจำเป็นต้องถอนเงินส่วนนี้ ให้ถือว่ากำลังกู้เงิน เวลาคืนต้องคืนทั้งต้นทั้งดอก

2.เก็บเหรียญทั้งหลายลงกระปุก เปิดอีกบัญชีสำหรับเงินหยอดกระปุก อย่าดูถูกการสะสมเงินเล็กเงินน้อย จากก้อนเล็กๆ เติบโตกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในอนาคต

3.เก็บเงินคืนที่ได้รับจากเรื่องต่างๆ เข้าบัญชีธนาคาร เงินรับที่เป็นเบี้ยหัวแตก เช่น เงินคืนตามโปรโมชันการซื้อสินค้า เงินคืนเบี้ยประกัน รายได้เบี้ยใบ้รายทางต่างๆ ให้รวมเป็นบัญชีเดียว แล้วทำบัญชีไว้ คุณจะได้รู้ว่า ณ สิ้นปีรายรับที่ได้จากเงินคืนพวกนี้มันมากขนาดไหน รายรับพวกนี้เป็นรายรับไม่ต้องเสียภาษี น่าเสียดายที่จะใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ

4.จ่ายเงินค่างวดผ่อนต่างๆ เข้าบัญชีตัวเอง (แม้เมื่อผ่อนค่างวดนั้นหมดแล้ว)
คุณ กำลังผ่อนค่างวดรถ (หรือจอแบน) อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ขอให้คุณผ่อนต่อไปด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม แต่จ่ายเข้าบัญชีเงินออมของคุณเอง วิธีนี้คุณไม่เดือดร้อนเพราะคุณเคยชินกับภาระผ่อนนั้นๆ อยู่แล้ว ทั้งนี้ภายใต้เงื่อนไขว่าคุณไม่มีภาระผ่อนอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีก

5.หยุดนิสัยฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย รายจ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ตัดทิ้งให้หมด ทำรายการขึ้นมาว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง หลายคนแปลกใจว่ายิ่งคิดยิ่งตัดได้เรื่อยๆ..คิดก่อนใช้..ตรึกตรองถึงความจำเป็นมากน้อยจัดลำดับให้ดี

6.เพิ่มผลตอบแทนการลงทุน ไม่ควรยอมรับผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ เงินออมที่มีอยู่ ควรไปสร้างเงินต่อด้วยการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ให้ ผลตอบแทนสูงสุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างสมดุลในการรับความเสี่ยงด้วย

7.เป็นสมาชิกสหกรณ์ เป็นวิธีง่ายสุดของการออมเงิน พร้อมทั้งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำอีกต่างหาก

8.ซื้อพันธบัตรรัฐบาล สำหรับประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการออกพันธบัตรประเภทต่างๆ ให้ผู้สนใจ ถ้าสนใจเข้าไปดูที่ www.bot.or.th การจำหน่ายพันธบัตรให้กับประชาชน สิ่งที่ต้องดูคือประเภทพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย และวันจ่ายดอกเบี้ย

9.ใช้ประโยชน์จากการโอนเงินบัญชีธนาคาร เมื่อเงินเดือนถูกนำฝากเข้าในบัญชีของคุณแล้ว คุณควรให้มันอยู่ในบัญชีธนาคารให้นานที่สุด (ฮา)

10.เข้าร่วมแผนออมเงินของบริษัท แผนการออมของบริษัทเป็นแผนออมเงินแบบปลอดภาษี และนายจ้างช่วยจ่ายสมทบ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับลูกจ้าง

11.ใช้การเสียภาษีให้เป็นประโยชน์ เรียนรู้เรื่องภาษี ประโยชน์ที่คุณไม่ควรเสียและประโยชน์ที่คุณควรได้ (ลดหย่อน)

12.เข้าโครงการออมเงินที่น่าสนใจ เปิดหูเปิดตาให้กว้าง อาจมีโปรแกรมออมที่นึกไม่ถึง

13.ส้มหล่น อย่าเพิ่งกินหมดในคราวเดียว เงิน ก้อนใหญ่ไม่มาบ่อยครั้ง เช่น มรดก รางวัลเกมโชว์ ลอตเตอรี่ เงินปันผลกองทุน ฯลฯ เงินก้อนนี้ควรนำไปใช้ในการออมหรือลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ อย่าลืมปรึกษามืออาชีพด้านภาษีด้วย

14.รัดเข็ดขัดชั่วคราว อยากได้อะไรมากๆ ลองรัดเข็มขัดในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น 2-3 เดือน เพื่อออมเงินให้มากกว่าปกติ เก็บเงินได้เท่าราคาของแล้วจึงค่อยกลับสู่การดำเนินชีวิตปกติ

15.ฝากเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการเกษียณอายุสัปดาห์ละครั้ง ในต่างประเทศนิยมมาก มีการทำบัญชีฝากสะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายก้อนใหญ่เพียงครั้งเดียว สำหรับไทยมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งนายจ้างจ่ายสมทบให้

16.ให้นำเงินเดือนส่วนเพิ่มไปฝาก ถ้า รับเงินเป็นรายสัปดาห์หรือราย 2 สัปดาห์ อาจเป็นได้ว่าบางเดือนคุณจะได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ เช่น ถ้าได้รับเงินเป็นรายสัปดาห์ จะมี 4 เดือนที่ได้รับเงินมากครั้งกว่าปกติ หรือถ้าได้รับเงินเป็นราย 2 สัปดาห์ จะมี 3 เดือนที่คุณได้เงินเดือน 3 ครั้ง ครั้งที่เกินมาให้นำไปเข้าบัญชีเงินออม (ทันที)

17.เก็บเงินเบิกรายการต่างๆ ส่วนที่เกินจากรายจ่ายจริงเข้าบัญชีเงินออม ค่าเดินทางหรือรายจ่ายอื่นที่เบิกบริษัทได้ ควรเก็บส่วนเกินจากรายจ่ายจริงไว้ หรือคุณอาจได้ค่าล่วงเวลา ควรเก็บเงินส่วนนี้มาออมเช่นกัน เช่น ได้ค่าล่วงเวลาเดือนละ 2,000 บาท ถึงสิ้นปีจะมีเงินก้อน 2.4 หมื่นบาท สามารถนำมาใช้จ่ายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องไปถอนเงินออมหลัก

18.ยืมมาออม บางคนประสบความสำเร็จในการกู้เงินธนาคาร แล้วนำกลับไปฝากในบัญชีเงินออมของตนเองอีกทีหนึ่ง วิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนที่กำลังมีค่าหักลดหย่อน (เช่น กู้ซื้อบ้าน) และใช้ได้กับช่วงเวลาที่ดอกฝากมากกว่าดอกกู้ (หลังภาษี) เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่ต้องพูดถึง

19.นำเงินปันผลและดอกเบี้ยไปต่อเงินโดยอัตโนมัติ เมื่อ ลงทุนหรือฝากเงินในผลิตภัณฑ์ทางการเงินใด จัดการให้เงินปันผล หรือดอกเบี้ยสามารถนำฝากหรือลงทุนต่อได้อัตโนมัติ ในระยะยาวจะเห็นผลน่าพอใจ

20.ทิ้งเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวันให้น้อยที่สุด มีคนจำนวนมากทิ้งเงินไว้ในกระแสรายวัน (เพราะปลอดดอกเบี้ย) แต่หารู้ไม่ว่ากำลังพลาดโอกาสในการทำเงิน ที่ควรก็คือมีเงินในกระแสรายวันให้พอกับรายจ่ายรายเดือน หากเงินเหลือให้โอนไปยังบัญชีเงินฝากที่มีดอกเบี้ยหรือโอนไปลงทุนใน ผลิตภัณฑ์การเงินที่มีดอกเบี้ยดีสุดในเวลานั้น

21.ใช้ประโยชน์จาก Float ความ หมายของ Float คือระยะช่วงที่ ผู้ถือเช็คได้รับเช็คไปจนกระทั่งถึงตอนที่ได้รับเงินสั่งจ่าย ตามเช็ค กล่าวคือ ช่วงที่ยังไม่ได้ถูกตัดบัญชีก็ควรแช่เงินไว้ในบัญชีเงินฝากให้นาน เท่าที่จะนานได้ ก่อนจะโอนไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเพื่อตัดจ่ายเช็ค

22.จ่ายหนี้ให้หมด คุณอยากได้ผลตอบแทน 17-21% หรือเปล่า? อย่ามีหนี้บัตรเครดิตสิ เคลียร์หนี้บัตรให้หมด รู้มั้ยว่าถ้ายอดหนี้อยู่ที่ 2.4 หมื่นบาท ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 4,000-5,200 บาท รีบเคลียร์หนี้ให้หมด ผลตอบแทนที่คุณจะได้คือไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก้อนนี้ การปลอดหนี้บัตรจึงเป็นวิธีออมเงินก้อนใหญ่ แต่ถ้าจำเป็นต้องมีหนี้ (จริงๆ) หาบัตรที่ดอกถูกสุดมาใช้

http://www.kroobannok.com/blog/8800

กับสังคมปัจจุบัน..อ่านแล้วสะเทือนใจค่ะ

ภาพประกอบ
ภาพประกอบ

วันนี้มีน้องที่รักคนหนึ่งส่งเรื่องราวมาให้อ่าน..ไม่น่าเชื่อว่าสังคมปัจจุบันจะมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า “แม่” จะรักผู้ชายคนหนึ่งได้มากกว่ารักลูกในไส้ของตัวเอง..ลองอ่านกันดูนะค่ะ ข้อมูลดีดี จาก Club Friday

เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมาในรายการ คลับ ฟรายเดย์ ทางคลื่นกรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม มีเรื่องราวที่ทำให้ผู้ฟังอึ้งและสะเทือนใจเมื่อคุณแอร์ อายุ 27 ปีที่กำลังตั้งครรภ์กับสามีซึ่งแม่ของเธอเป็นคนแนะนำให้และเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เธอกลับพบว่า แม่ วัย 47 ปี ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเธอและเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตเธอ กลับมีความสัมพันธ์ทางกายกับสามี วัย 35 ปี ของเธอด้วย
คุณธีรนัยน์ สมาชิกเว็บไซต์พันทิป ได้นำเรื่องราวของมาโพสต์กระทู้ “Club Friday วันนี้ ที่สุดของความสะเทือนใจ ลูกสาว – แม่ และ ผู้ชายของเรา”โดยระบุว่า เราเป็นแฟนคลับของ Club Friday ที่ตามฟังแทบทุกสัปดาห์ ขอยกให้เรื่องของวันนี้เป็นเรื่องที่สะเทือนใจที่สุด และมั่นใจว่ามันต้องเป็นหนึ่งใน Club Friday The Series ในอนาคตแน่ๆ

เจ้าของเรื่องชื่อ คุณแอร์ ปัจจุบันอายุ 27  วันนึงแม่มาบอกว่า แม่รักเรา อยากให้มีผู้ชายมาดูแลลูกสาวที่แม่รัก

เลยแนะนำให้แต่งงานกับเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานของแม่ (ผู้ชายอายุ 35  แม่ของคุณแอร์ อายุ 47) แม่บอกว่าเขาเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ คุณแอร์ก็รับฟัง และเชื่อว่าเขาเป็นคนดี เพราะแม่ตัวเองยืนยันหนักแน่น แถมตัวเองยังขาดพ่อ พอมาเจอผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเลยรู้สึกอบอุ่นได้ไม่ยาก
การแต่งงานถูกจัดขึ้น ผู้ชายย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของคุณแอร์กับแม่ แม้จะอยู่ด้วยกัน แต่คุณแอร์ก็ไม่ได้รู้สึกรักสามีของตัวเองมากมาย จนกระทั่งเจ้าของเรื่องตั้งท้อง เธอบอกข่าวดีให้สามีกับแม่รับรู้ สิ่งที่ได้รับคือการนิ่งเงียบของทั้งคู่ ไร้ซึ่งอากัปกริยาดีใจใดๆ

เจ้าของเรื่องรู้สึกฉุกใจ ทำไมไม่มีคนยินดีกับลูกกับหลานที่กำลังถือกำเนิด จากนั้นมา เธอรู้สึกหน่วงในใจ แต่พยายามไม่คิดมากเพราะกำลังท้อง เดี๋ยวจะไปกระทบกับลูก

พอทราบว่าคุณแอร์ตั้งท้อง สามีก็ยังดูแลเป็นอย่างดี เพียงแต่เริ่มไปไหนมาไหนกับแม่ของคุณแอร์ 2ต่อ2มากขึ้นออกไปข้างนอกด้วยกัน ไปทานข้าวด้วยกัน โดยที่ไม่ชวนคุณแอร์ไปด้วย เจ้าของเรื่องถามว่า ทำไมไม่พาเราไปด้วยล่ะได้รับคำตอบว่า อยากให้พักผ่อน เพราะกำลังท้องอยู่  แต่คุณแอร์ก็แย้งว่า เธอเป็นคนท้องที่แข็งแรงนะ

คืนหนึ่ง คุณแอร์ตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ข้างเตียงไม่มีสามี  ใจเธอนิ่งไป  ภาวนาให้สามีออกไปข้างนอกก็ได้ ทิ้งโน้ตบอกว่าไปเที่ยวก็ได้แต่เธอก็ลุกออกจากห้องเดินไปที่ห้องแม่ ในนั้นมีเสียงคนคุยกัน เสียงนั้นคุ้นมาก คุ้น…….จนเธอยอมเสียมรรยาท ตัดสินใจไขกุญแจเข้าไป

สิ่งที่พบคือ แม่แท้ๆกับสามีซึ่งเป็นพ่อของลูกในท้อง กำลังนอนคุยอยู่ด้วยกันบนเตียงอย่างมีความสุข คุณแอร์เข้าไปกราบแม่ บอกแม่ว่า ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ยังไง แต่หนูถือว่ามันเป็น “กรรม” และขอชดใช้กรรมให้แม่และหนูขอออกจากบ้าน เพราะถ้าขืนยังอยู่บ้านหลังเดียวกัน หนูต้องฆ่าตัวตายแน่ๆ

แม่ตอบกลับมาว่า …แม่ก็กำลังท้องเหมือนกัน และท้องได้ 3 เดือนแล้ว
คุณแอร์ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เธอออกจากบ้านไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาถึง 3 ชั่วโมง มีสายเข้าเป็นร้อยๆสายจากคนรอบข้างที่คงได้รู้ข่าวจากแม่ว่ามีปัญหากัน แต่เธอไม่ได้รับ
เธอเล่าว่า ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องรู้สึกยังไง

”  …เรากับแม่มีสามีคนเดียวกัน…
…สามีของเราเป็นคนเดียวกับผู้ชายของแม่…
…หลานของแม่ที่อยู่ในท้องเรา เป็นลูกที่เกิดจากสามีของแม่…
…หรือเราควรจะดีใจที่จะมีน้อง แต่น้องของเราที่อยู่ในท้องแม่ เป็นลูกที่เกิดจากสามีของเรา…  “

ปัจจุบัน คุณแอร์ซึ่งท้องได้ 5 เดือน ตัดสินใจย้ายออกมาอยู่คนเดียว เธออยู่กับแม่สองคนมาโดยตลอด ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ไม่สามารถหันหน้าไปพึ่งใครได้ สามีก็เงียบหาย แม้กระทั่งตอนที่เปิดประตูห้องเข้าไปเจอทั้งคู่อยู่บนเตียงเดียวกัน ผู้ชายก็ไม่หือไม่อือใดๆ

ความคิดชั่ววูบที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย  มี  แต่เพราะคำพูดของดีเจพี่อ้อยผุดขึ้นมาก่อนว่า ต่อให้ลูกไม่มีพ่อ เราไม่มีสามี เราก็สามารถเลี้ยงลูกคนเดียวได้ก่อนวางสาย ดีเจพี่อ้อย พี่ฉอด ให้คำแนะนำว่า ให้หยุดคิดเรื่องเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นกรรมไว้ก่อน แต่ให้โฟกัสอยู่แค่เรื่องลูกที่กำลังจะเกิดมาเป็นอันดับแรก
เราดูผ่าน Green Channel ทางเคเบิ้ล   มีคนส่ง SMS ให้กำลังใจคุณแอร์มาเยอะมาก เยอะเป็นประวัติการณ์ที่เคยฟังมา

รวมถึงเข้าไปในเฟซบุ๊ก ก็ยังมีคนส่งกำลังใจให้คุณแอร์อย่างล้นหลามอย่างไม่เคยเป็นที่จะมีคนให้กำลังใจสายทางบ้านเยอะขนาดนี้มาก่อนแม้จะเปลี่ยนสายเป็นคนอื่นแล้ว ดีเจพี่อ้อยยังพูดว่า ให้คุณแอร์รออ่าน SMS ไปจนจบรายการ เพราะยังมีคนส่งข้อความมาให้กำลังใจเรื่อยๆ
ถ้าคุณแอร์มีโอกาสได้อ่านกระทู้นี้ ขอให้คุณแอร์เข้มแข็ง เดินหน้าต่อไป และเชื่อว่าคุณแอร์ก็สามารถทำได้เพราะคุณมีสติครบถ้วนคำแนะนำที่ดีเจทั้งสองให้คุณ คุณทำมาก่อนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะย้ายออกจากบ้านหรือหยุดคิดทุกอย่างแล้วไปโฟกัสที่ลูก
ต่อจากนี้ แม้ต้องเจอเรื่องร้ายใดๆมากระทบ เราก็เชื่อว่าไม่มีอะไรที่คุณจะทำไม่ได้ ถ้าคุณเคยได้ยินวลี  “ไม่มีอะไรที่ผู้หญิงทำไม่ได้”  เชื่อได้เลยว่าคุณสามารถมากกว่านั้น เพราะคุณไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาอีกต่อไป แต่คุณแม่คน ผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูก จะกลายเป็น superwoman โดยอัตโนมัติ
** ฟังจากคลิปเสียง** ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://news.voicetv.co.th/entertainment/93975.html

7 วิธีลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

โรคกรดไหลย้อน ทำให้หลอดอาหารอักเสบ เป็นแผล และถ้าไม่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (lifestyle) ร่วมกับการใช้ยาตามที่หมอแนะนำ อาจทำให้เยื่อบุหลอดอาหารเปลี่ยนแปลง (Barrett’s esophagus) และเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว (พบน้อยมาก)

เรื่องสำคัญคือ โรคนี้ทำให้แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยว และ “รักษาไม่หาย” เป็นส่วนใหญ่ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตต่อไปนี้จะช่วยให้อาการดีขึ้นได้อย่างมากมาย

วันนี้ขอแนะนำวิธีลดอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเปรี้ยวจากโรคกรดไหลย้อน วันนี้มี 7 วิธีลดแน่นท้อง ท้องอืด มาฝากค่ะ

(1). มื้อเล็กๆ บ่อยๆ

  • อาหารมื้อใหญ่ หรือการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก และหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง กรดไหลย้อนได้มากขึ้น

(2). ลดเค้กลงหน่อย

  • ชอคโกแล็ต โกโก้ และกาเฟอีน ซึ่งพบในกาแฟ เครื่องดื่มกระตุ้นกำลัง ชา โกโก้ ไมโล โอวัลติน ชอคโกแล็ต อาจทำให้อาการแย่ลง
  • อาหารไขมันสูง เครื่องเทศบางอย่าง อาหารทอด ผลไม้ตระกูล citrus (ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุตหรือเสาวรส), หอมดิบ มะเขือเทศ เนย น้ำมัน เปปเปอร์มินต์ (สะระแหน่ มีมากในหมากฝรั่ง) อาจทำให้อาการแย่ลง
  • ไม่จำเป็นต้องลดอ���หารกลุ่มนี้ไปเสียหมด ขอเพียงจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการมากประมาณ 2-3 อาทิตย์ จะเริ่มรู้ว่า อาหารใดแสลงโรคสำหรับเรา แล้วทดลองซ้ำ 2-3 ครั้ง ว่า แสลงจริง เพื่อจะได้กินครั้งละน้อยหน่อยต่อไป

(3).  อย่าดื่มแอลกอฮอล์

  • แอลกอฮอล์ทำให้หูรูดกระเพาะอาหารส่วนล่างคลายตัว กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
  • การศึกษาในปี 2542 พบว่า ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก, อาการยิ่งแย่ลง (Am J Medicine)

(4). อีกเหตุผลหนึ่งที่ (ควร) ลดน้ำหนัก

  • การศึกษากลุ่มตัวอย่างมากกว่า 10,000 คนในปี 2546 พบความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกาย (body mass index / BMI) กับโรคกรดไหลย้อน หรือ “ยิ่งอ้วนยิ่ง(ท้อง)อืด” (Int J Epidemiology)
  • คนอ้วนเป็นโรคกรดไหลย้อนเกือบ 3 เท่าของคนไม่อ้วน
  • กลไกที่อาจเป็นไปได้ คือ คนอ้วนมีไขมันในช่องท้องมากขึ้น แรงดันในช่องท้องมากขึ้น แรงดันนี้ไปบีบกระเพาะอาหาร
  • กลไกอื่นที่อาจเป็นไปได้ คือ ไขมันในช่องท้อง หรือภาวะอ้วนลงพุง อาจปล่อยสารเคมีไปรบกวนการทำงานของทางเดินอาหาร

(5). อย่าสวมเสื้อผ้าคับ

  • เสื้อผ้าคับๆ ทำให้แรงกดต่อกระเพาะอาหารมากขึ้น กรดไหลย้อนมากขึ้น

(6).  เอียงหัวเตียงขึ้น, หลับสบายขึ้น

  • การหลีกเลี่ยงอาหาร น้ำ หรือเครื่องดื่มมื้อใหญ่ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง และหาอะไรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว ช่วยให้กรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารไปหลอดอาหารได้น้อยลง
  • การหนุนหมอนหลายใบไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น
  • การศึกษาพบว่า กลไกสำคัญ คือ หลอดอาหารที่อยู่ในแนวนิ่งมากขึ้นทำให้กรดและน้ำย่อยในหลอดอาหารไหลลงกระเพาะฯ ได้เร็วขึ้น 67%

(7).หยุดสูบบุหรี่

  • นิโคตินในบุหรี่ ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (lower esophagus sphinctor / LES) หย่อนตัว ทำให้อาหาร น้ำ กรด น้ำย่อยไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหาร ขึ้นไปยังหลอดอาหารได้ง่าย
  • นิโคตินทำให้น้ำดีที่ช่วยย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ไหลย้อนกลับ จากลำไส้เล็กไปกระเพาะอาหาร ซึ่งทำให้กระเพาะฯ และหลอดอาหารบาดเจ็บจากน้ำดีได้
  • นิโคตินมีฤทธิ์ทำให้การหลั่งน้ำลายลดลง น้ำลายมีสารเบสหรือด่างไบคาร์บอเนต คนรูปร่างใหญ่ (ฝรั่งขนาด 70 กิโลกรัม) กลืนน้ำลายวันละประมาณ 1.5 ลิตร ซึ่งช่วยปกป้องหลอดอาหารจากกรด เมื่อน้ำลายน้อยลง… หลอดอาหารจะบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ขอขอบคุณข้อมูล

  • นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง สงวนลิขสิทธิ์. ยินดีให้นำไปเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาได้. ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า >  > 7 กรกฎาคม 2552.
  • ข้อมูล ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแล ท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.

บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย

ประโยชน์ของ “มะละกอ”

มะละกอ
มะละกอ

มะละกอเป็นผลไม้ที่หากินได้ตลอดทั้งปี และมีสรรพคุณมากมายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นมะละกอดิบที่ใช้เป็นพืชสมุนไพร ช่วยล้างลำไส้ ขับปัสสาวะ และยังใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ

ในขณะที่มะละกอสุกนั้นมีทั้ง เบต้าแครอทีน วิตามินเอ แคลเซียม วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี โพแทสเซียม โฟเลท และไฟเบอร์ ที่ช่วยในการย่อยอาหาร และลดกรดในกระเพาะอาหาร และยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่ง ลดการเกิดริ้วรอยแห่งวัยอันควร

มะละกอ ประโยชน์เยอะแยะมากมายขนาดนี้ อย่าลืมทานเป็นประจำด้วยนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองค่ะ

——————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.thaieditorial.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%81/

14 เคล็ดลับ หน้าเด็ก ดูอ่อนกว่าวัย

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

ในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะคุณผู้หญิง หรือผู้ชาย  โดยเฉพาะคุณแม่ และคุณลูกสาวส่วนใหญ่มีความตื่นตัวกับการดูแลรักษาสุขภาพกันมากขึ้น เพราะด้วยสภาพแวดล้อมในสังคมไม่ว่าจะเรื่องของมลพิษ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งนั้น ยิ่งเครียดมากก็ยิ่งทานอย่างไม่ระมัดระวัง นำไปสู่ภาวะอ้วนตามมา และถ้าละเลยเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยแล้ว ความแก่ก่อนวัยย่อมจะถามหาเอาได้ง่าย ๆ ซึ่งคงไม่มีใครอยากได้ยินคำว่า “แก่” กันสักเท่าไร ไม่อยากแก่กว่าวัยต้องอ่านและปฏิบัติค่ะ…

มีผู้เชี่ยวชาญได้แนะวิธีคงความหนุ่มสาว ซึ่งมีทั้งหมด 14 ข้อ ดังนี้

1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว
การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ๆ ต่ำ ๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์

คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3,6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

2. กินหลากแหล่ง

เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค

หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4. ลดคาเฟอีน

ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ

ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศีรษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย ๆ

5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน

ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการณ์ Cows Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมาก ๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่น ๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว

การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน

คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง

การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้

สูบบุหรี่ 1 มวนกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท

ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ เซอร์โคเนียม (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11.วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว

มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12.เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม

ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่น ๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13. กินวิตามิน

วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้

แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.mthai.com/health/19661.html

คุณหมอโพสต์ Pantip ตั้งกระทู้ถาม หมอนิ่ม … ลองอ่าน และวิเคราะห์ กัน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ลองอ่านและวิเคราะห์กันดูนะค่ะ…

คุณบอกว่า “จากการที่ถามคุณแม่แล้ว คือตอนนั้นเนี่ย ดิชั้นอยู่ในห้อง ในรพ.น่ะค่ะ ดิชั้นแท้งลูก ดิชั้นได้ยาสลบ ดิชั้นได้ยานอนหลับอยู่หลายวัน ดิชั้นทราบแต่ว่ามีคนมา แต่ดิชั้นจำเหตุการณ์ใดๆไม่ได้เลย เป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็มๆ”

ผมในฐานะหมอ ตั้งคำถามคุณดังนี้เลยนะ

1. คุณแท้ง ถ้าคุณแท้งจริง แสดงว่าคุณอาจได้รับการขูดมดลูก ทำคลอดเด็กที่แท้ง นำชิ้นสิ้นส่วนรกหรือที่คลอดออกไม่หมดออก คุณอาจได้รับยาสลบจริง ซึ่งอาจได้รับการดมยาสลบ หรือได้แค่ยาระงับปวดกับยานำสลบ ซึ่งตอนนั้น สติสัมปัสชัญญะคุณจะลดลง อาจหลับไปเลยได้ โอเค ใช่ แต่หลังจากทำหัตถการเสร็จ คุณจะต้องตื่น ละแน่นอน ต้องตื่นแน่ เพราะถ้าไม่ตื่นไม่ได้ออกจากห้องผ่าตัดหรือห้องทำคลอดหรอก

หลังจากนั้น คุณจะอยู่ในห้องพักฟื้น (Recovery Room R.R) ระยะหนึ่ง ก่อนย้ายเข้าห้องพิเศษ ซึ่งในห้องพักฟื้นนี้ห้ามญาติเยี่ยม แต่จะมีจนท.พยาบาล หรือหมอดมยา ดูแลคุณอยู่ช่วงนี้ คุณจะตื่นแล้ว และจะสลึมสลือได้ แต่แน่นอน คุณแหม่มผู้ต้องหา ไม่ได้มาหาคุณที่ห้องพักฟื้นนี้ เพราะเขาห้ามคนนอกเข้า

ดังนั้นความเป็นไปได้มากที่สุด ที่คนนอกจะเข้ามาหาคุณได้ ในห้องมีทั้งแม่ ทั้งคุณ ทั้งคุณแหม่ม คุยธุระกันได้ มันต้องเป็นห้องส่วนตัว เช่นห้องพิเศษ ไม่ใช่ห้องพักฟื้นนี้

2. ดังนั้น ถ้าจะคุยกันเรื่องจะฆ่าจะแกงใคร มันก็ต้องคุยแบบลับๆ ไม่ใช่ในห้องพักฟื้นที่มีทั้ง จนท. พยาบาล หมอ พนักงานเปลอยู่แน่ๆ ทีนี้การที่คุณจะถูกย้ายกลับเข้าห้องพิเศษ หมอและพยาบาล จะมีการทดสอบระดับสติ การรับรู้ การรู้ตัวของคุณก่อน ว่าต้องมากพอช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่ง จึงจะย้ายเข้าห้องพิเศษเดี่ยวได้ ไม่มีทางย้ายเอาคนไข้ไม่รู้ตัว จำอะไรไม่ได้ สลึมสลือ กลับไปนอนเสี่ยงๆในห้องพิเศษอย่างงั้นแน่ เพราะมันอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ขโมยมาลักทรัพย์ขณะคนไข้นอนไม่รู้สึกตัว ของหาย เข้าห้องน้ำไม่ได้ ไม่มีญาติดูแล เป็นต้น ดังนั้นถ้าย้ายกลับห้องพิเศษได้ แสดงว่า ต้องมีญาติเฝ้า ต้องตื่นรู้ตัวดีแล้ว แต่อาจง่วงๆได้บ้าง

3. การที่คุณบอกว่า คุณได้ยานอนหลับอยู่หลายวัน ไม่ได้แปลว่าคุณไม่รู้ตัว ขนาดแค่คนเข้ามาในห้อง เสียงเบาๆอย่าง เสียงเปิดประตู เสียงเดิน เข้ามาเยี่ยม มาหาแม่คุณ คุณยังรู้เลยว่ามีคนมา แสดงว่าคุณไม่ได้หลับลึกหรอก คุณรู้ตัวตลอด ถามคนกินยานอนหลับดูก็ได้ เขารู้ตัวนะ ไม่ใช่กินแล้วหลับ เพ้อ เบลอ จำอะไรไม่ได้สักอย่าง (อันนั้นมันกรณีกินเกินขนาดแล้วล่ะ ซึ่งคงไม่ใช่กรณีคุณ เพราะคุณได้รับการรักษาในรพ. ที่มีแพทย์สั่งจ่ายยานอนหลับให้ ไม่มีทางที่แพทย์จะสั่งเกินขนาดจนเกิดอาการแบบนั้นแน่)  ที่สำคัญยามีช่วงระยะเวลาออกฤทธิ์ของมัน ไม่ใช่หลับยาวทั้งวัน ต่อให้คุณเครียดมากขนาดไหน หมอก็ไม่สั่งยาถึงขนาดให้คุณหลับทั้งวันทั้งคืนหรอก เพราะคุณต้องตื่นมากินข้าว คุณต้องรู้ตัวพอเข้าห้องน้ำเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันได้ ต้องตื่นมาคุยอาการกับหมอที่มาตรวจทุกวันๆ มีพยาบาลมาวัดความดันชีพจร ทุก 4 ชม. พยานเยอะแยะว่าตอนนั้นคุณหลับเป็นตายจริงหรือไม่ หรือรู้ตัวดีตลอด หมอไม่ให้ยากลุ่มยานอนหลับมากไป เพราะมีผลทำให้การหดรัดตัวของมดลูกไม่ดี หลังแท้งจะยิ่งทำให้เลือดหยุดช้า ซึ่งหมอคงไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่

ดังนั้นการที่คุณอ้างว่า ได้ยานอนหลับจนจำเหตุการณ์ไม่ได้เลย ย่อมไม่น่าจะเป็นไปได้

4. ผมตั้งข้อสงสัยให้ดังนี้ ถ้าผมเป็นพ่อคุณ จะฆ่าสามีคุณไม่ให้คุณรับรู้ วางแผนนัดคนมาคุยเรื่องฆ่าแฟนคุณ ผมจะนัดมาคุยต่อหน้าคุณไหม ทำไมผมไม่นัดไปคุยในที่ลับๆ จะไม่ปลอดภัยกว่าหรอ การที่ผมจะคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคุณได้ มีเหตุผลเดียวคือ มันไม่ลับสำหรับคุณ! นั่นคือ คุณรู้อยู่แล้ว คุยกันในห้องพิเศษ ในรพ.นี่ล่ะ สะดวกดี อยู่กันครบด้วย และถ้าเวลานั้นอารมณ์โกรธเคือง โกรธแค้น ทั้งของคุณและแม่ของคุณ กำลังพุ่งพล่าน ไม่ต้องคิดเลยว่า จะเป็นอย่างไร

5. อีกคำถามคือ คุณแหม่มนั่นคนสนิทของคุณหรือแม่ของคุณ คุณแม่ของคุณรู้ได้อย่างไร ว่าจะฆ่าใครสักคน ต้องติดต่อคุณแหม่มที่เป็นคนสนิทของคุณ เขาติดต่อกันเอง คุณไม่รู้ เบอร์โทรคุณแหม่มคุณแม่มีอยู่แล้ว ที่มาเยี่ยมที่ห้องพักในรพ. มาคุยกันเรื่องจะฆ่าสามีตน เขานัดกันมาเอง โทรหากันเอง คุณไม่รู้เรื่อง ค่าใช้จ่าย 1.2 ล้าน คุณแม่คุณออกเอง โอนเงินเอง ทำธุระจัดการเองทั้งหมด … อายุ 72 นี่น่ะนะครับ เงิน 1.2 ล้านไม่ใช่น้อยๆ คุณบอกเองแม่คุณตัวคนเดียว ไม่มีพรรคพวก นี่ผมเชื่อนะเนี่ย

6. คุณแหม่มมาหาแม่คุณที่ห้องพัก ในรพ. ถามจริงๆ เขามาเยี่ยมคุณรึเปล่า จะไม่คุยไม่ทักทายกันในวันนั้นเลยรึ เขาเดินย่องมาเงียบๆ ค่อยๆเปิดประตู คุยแบบกระซิ กระซาบกับแม่ของคุณ และคุณนอนอยู่ด้วย … คุณไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน แต่รู้ว่ามีคนมา? นี่เรื่องจริง หรือละครไทยหลังข่าวครับ?

เข้ามาตั้งข้อสังเกต แค่นั้นเอง
ปล. แท็กหมอ กับยาด้วย ให้ช่วยกันคิดว่า ยานอนหลับที่กล่าวอ้าง กับการรักษาของแพทย์นั้น ทำให้หลับไป จำอะไรไม่ได้ Amnesia ไปเป็นสัปดาห์จริงๆรึ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.cmprice.com/forum/?content=detail&wb_type_id=1&topic_id=145538

10 เหตุผลว่าทำไมควรออกกำลังกายด้วยการวิ่ง

วิ่งออกกำลังกาย

ถ้าให้นึกถึงวิธีออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นใดมาเป็นตัวช่วย คงหนีไม่พ้น การวิ่ง  ไม่ว่าจะวิ่งในร่มด้วยการวิ่งบนลู่วิ่ง หรือออกไปวิ่งกินลมชมวิวรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกก็ได้ทั้งนั้น  ซึ่งข้อดีของการออกกำลังวิธีนี้หลายคนก็รู้กันแบบกว้าง ๆ อยู่แล้วล่ะว่ามันดีต่อสุขภาพ  วันนี้ 10 เหตุผลว่าทำไมควรออกกำลังกายด้วยการวิ่งมาฝากค่ะ

1. เบิร์นไขมันส่วนเกินได้ไว

สำหรับผู้ที่ต้องการจะลดความอ้วน นี่คือวิธีออกกำลังที่เวิร์คมากที่สุดเลยทีเดียว จำไว้ว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ไขมันส่วนเกินก็สลายไปมากเท่านั้น นอกจากนี้การสอยเท้าทะยานไปข้างหน้านี้ยังดีต่อสุขภาพปอด, หัวใจ และเส้นเลือด รวมไปถึงต้องไม่ลืมการควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย เพราะขืนคุณยังกินอาหารสะเปะสะปะแบบไม่ยั้ง วิ่งให้ขาขวิดยังไงก็ไม่ผอมหรอก
2. ช่วยสลายความเครียด

ช่วงเวลาที่คุณกำลังวิ่งโดยจดจ่อกับเส้นทางที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ คือช่วงเวลาที่จะได้ครุ่นคิดและทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปสนใจตัวเลขจำนวนแคลอรี่ ระยะทาง หรือระยะเวลาในการวิ่ง กว่าจะรู้ตัวอีกที คุณอาจวิ่งได้ไกลถึงขนาดไปแข่งมาราธอนได้สบาย ๆ เลยนะ นอกจากนี้ หากคุณกำลังอารมณ์เสียจากที่ไหนมา ก็เชิญมาระบายความโกรธลงบนลู่วิ่งได้เลยเต็มที่ คิดเสียว่ากำลังวิ่งไล่คู่กรณีที่ทำให้หงุดหงิดอยู่ รับรองอารมณ์โกรธหมดไปเมื่อไหร่ น้ำหนักตัวก็หายตามไปด้วย

3. เป็นการฝึกฝนสมาธิอีกวิธีหนึ่ง

แน่นอนว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทว่าไม่เพียงแค่นั้น จริง ๆ แล้วมันยังเป็นวิธีออกกำลังกายทางจิตใจด้วย เพราะการวิ่งช่วยฝึกฝนสมาธิให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมถึงช่วยปลดปล่อยใจให้รู้สึกเป็นอิสระได้ดีขึ้น

4. เพิ่มความแข็งแกร่งได้ด้วย

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวิ่งใหม่ ๆ อาจรู้สึกเหมือนเหนื่อยแทบขาดใจ หรือขาไม่มีเรี่ยวแรงหลังวิ่งเสร็จ แต่ถ้าอดทนวิ่งได้สักระยะหนึ่ง ร่างกายส่วนต่าง ๆ ของคุณจะเริ่มปรับตัวได้ จนสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าเดิมแน่นอน นั่นเพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นจากการวิ่งยังไงล่ะ

5. สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น

ประโยชน์ที่ได้จากการวิ่งนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น มันยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อีกด้วย พอกันทีสำหรับอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ จากพิษไข้, หวัด หรือไอ เพราะคุณสามารถสลัดอาการเหล่านี้ทิ้งไปได้ด้วยการใส่เกียร์เดินหน้าวิ่ง !!

6. ดีต่อกล้ามเนื้อและความฟิต

อย่าเข้าใจผิดคิดว่าการวิ่งเป็นวิธีออกกำลังที่ส่งผลดีแค่เฉพาะช่วงขาเท่านั้น แต่ความจริงแล้วการวิ่งยังช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายแข็งแรงขึ้น ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หลังเสียเหงื่อ ที่สำคัญรูปร่างคุณจะเพรียวบางกว่าเดิมด้วย

7. เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง

นอกเหนือช่วยสลายความเครียดและสร้างสมาธิให้กับคุณได้แล้ว การวิ่งสามารถสร้างความมั่นใจในตัวเองได้ด้วยนะเออ !! ยังไงน่ะเหรอครับ ? เนื่องจากในทุก ๆ ครั้งที่เราวิ่ง คนส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายในการวิ่งเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องวิ่งให้ได้เท่านี้ ๆ วันต่อไปต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งถ้าทำได้ตามเป้าทุกครั้ง มันก็เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย ว่าจริง ๆ แล้วคุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจจริง

8. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ

ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทุกวันนี้ ทำให้คนมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเพราะสภาพแวดล้อม, มลพิษ, อายุ หรือกรรมพันธุ์ ก็ตาม ทว่าคุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการวิ่ง เพราะมันช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และเปลี่ยนพลังงานที่มีอยู่ให้มาช่วยต้านโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หากปฏิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ไปพร้อม ๆ กับการดูแลเรื่องการใช้ชีวิต รับรองว่าสุขภาพที่ดีอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

9. ช่วยลดความวิตกกังวลได้

เคยมีการศึกษามาก่อนหน้านี้แล้วว่า การวิ่งสามารถสร้างฮอร์โมนส์ที่ช่วยลดการหลั่งของสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทหลายหน้าที่เช่น เรื่องอารมณ์หรือความโกรธ เป็นต้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมหลังวิ่งเสร็จคุณถึงลืมเรื่องที่เคยวิตกไป

10. สร้างความสุขได้

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกเช่นเดียวกันที่การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขหรือกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ เพราะสารแห่งความสุขอย่าง เอ็นดอร์ฟิน จะหลั่งออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้วิ่งตามสวนสาธารณะในยามเช้ากับเพื่อน ๆ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ มันจะฟินมากเลยล่ะ

การวิ่ง ให้ประโยชน์ดี ๆ ต่อตัวคุณได้มากมายขนาดไหน แล้วทำไมเราถึงไม่เริ่มต้นออกวิ่งกันล่ะ จะรอช้าอยู่ไย พรุ่งนี้ตื่นเช้าให้เร็วกว่าเดิมสักหน่อย แล้วออกไปวิ่งซะ หรือว่าสะดวกตอนเย็นหลังเลิกงานอันนี้ก็ไม่ว่ากัน ขอให้ได้สวมรองเท้าและใส่หัวใจนักวิ่งออกไปเหยียบพื้นดินสัมผัสโลกกันเถอะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://men.kapook.com/view69703.html

5 สัญญาณก่อโรค เตือนผู้หญิงอย่ามองข้าม

ปวดท้อง
ปวดท้อง

ผู้หญิงเพศที่มีอวัยวะภายในที่ซับซ้อน จึงควรหมั่นสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายหรือไม่ แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรมองข้าม เพราะสิ่งผิดปกติเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่โรคที่เป็นอันตรายได้ในอนาคต เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือ ช็อกโกแลตซีสต์ โรค เชื้อราในช่องคลอด โรคเนื้องอกในมดลูก โรคปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อมีอาการผิดปกติก็มักจะละเลย ไม่ไปพบแพทย์ ด้วยเหตุผลว่าอายแพทย์ หรือเห็นเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง ไม่อันตราย ซึ่ง ผศ.นพ.อภิชัย วสุรัตน์ จากศูนย์การแพทย์นวบุตรสตรีและเด็ก ได้มาให้ข้อแนะนำ 5 อาการสัญญาณเตือนภัย ที่มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายกับผู้หญิงทั่วไป เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสี่ยงทำให้เป็นโรคได้ในอนาคต ได้แก่

1. ประจำเดือนมามากผิดปกติ สาเหตุที่เป็นไปได้คือ เนื้องอกของกล้ามเนื้อมดลูก

2. ปวดท้องน้อยเวลามีรอบเดือน อาการปวดท้องขณะมีรอบเดือนพบได้บ่อยใน ผู้หญิงทุกคน แต่ถ้าปวดท้องน้อยขณะมีรอบเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ โรคที่อาจเป็นไปได้ คือ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งคนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ ถุงน้ำช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกแลตซีสต์

3. ตกขาวผิดปกติ อาจจะเป็นช่องคลอดอักเสบ หรือมะเร็งปากมดลูกได้

4. มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งไม่ตรงกับรอบเดือน อาจจะเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งโพรงมดลูกได้

5. ปัสสาวะบ่อย สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นอกจากนี้ที่อาจจะทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยได้ เช่น เบาหวาน มีก้อนในอุ้งเชิงกรานไปกดกระเพาะปัสสาวะ

ดังนั้น เมื่อคุณผู้หญิงที่มีอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงโดยด่วน

————————————–

ขอขอบคุณ http://www.khaosod.co.th

เลือกสีผมให้เข้ากับสีผิว

สีผม
สีผม

การทำสีผมให้สวยนั้น นอกจากเลือกสีที่เราชอบแล้ว ยังต้องคำนึงถึงบุคลิกภาพ สไตล์การแต่งตัวและรวมไปถึงการเลือกสีผมให้เข้ากับสีผิวด้วย จึงจะทำให้เราดีดีได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านบุคลิกภาพหลายคนต่างลงความเห็นตรงกันว่า สาว ๆ มีผิวที่ต่างกันอยู่ประมาณ 4 โทนสี ซึ่งสีผิวที่ต่างกันทั้ง 4 โทนนี้ต้องการสีที่แตกต่างกันด้วย ดังนี้ค่ะ
สาวผิวขาวอมชมพู หมาะกับสีผมโทนน้ำตาลแดง น้ำตาลอมชมพู และน้ำตาลธรรมชาติที่มีความสว่างปานกลาง เพราะสีเหล่านี้จะช่วยให้ดูไม่ซีดและทำให้คุณมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น

สาวผิวสีแทนหรือผิวออกคล้ำ ควรเติมพลังและความสวยด้วยผมสีตาลประกายส้ม คุณจะมีชีวิตชีวาและใสขึ้นค่ะ

สาวผิวสองสีหรือผิวสีน้ำผึ้ง คุณมีเสน่ห์และเซ็กซี่อยู่แล้ว การเลือกสีผมโทนน้ำตาลสว่างออกทองหรือน้ำตาลอ่อน ๆ ก็ช่วยให้คุณดูสวยมีระดับค่ะ

ผิวขาวอมเหลือง คุณอาจดูซีดและไม่สดใสนักผมสีเข้มอย่างน้ำตาลช็อกโกแลต หรือน้ำตาลเลือมเทาจะช่วยให้คุณดูเป็นสาวเท่ห์น่่าค้นหายิ่งนักเพราะสีผมช่วยขับให้ผิวของคุณผ่องขึ้นได้ค่ะ

เลือกสีที่ถูกใจแล้วก็อย่าลืมด้วยนะค่ะว่าสีผมจะสวยยิ่งขึ้นหากอยู่เส้นผมที่มีสุขภาพดี ดังนั้นอย่าลืมดูแลเส้นผมด้วยค่ะ

——————————–

ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.ความรู้รอบตัว.com

ประโยชน์ของเมล็ดทานตะวัน..

เมล็ดทานตะวัน

เมล็ดทานตะวันเป็นธัญพืชที่ช่วยลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นอีกตัวหนึ่ง เพราะสามารถกินเป็นขนมขบเคี้ยวได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับคนที่ชอบกินจุกจิก ที่สำคัญเมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยวิตามินอี ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นยอด สามารถกำจัดกับสารพิษ และป้องกันการอักเสบต่างในร่างกาย

นอกจากนี้เมล็ดทานตะวันยังอุดมไปด้วยแมกนีเซียม ที่จะช่วยลดความตึงเครียด ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายได้มากขึ้น ส่วนโปรตีน ไฟเบอร์ และวิตามินบีที่อยู่ในเมล็ดทานตะวัน ยังมีส่วนสำคัญในการเผาผลาญพลังงานและทำให้คุณอิ่มอยู่ท้องนานกว่าเดิมอีกด้วยจ้า

http://health.kapook.com/view75546.html