ย้ายไปอยู่ดาวอังคาร กันดีไหม ?

mars one
mars one

พบกลุ่มดาวที่น่าจะมีน้ำ (itinlife593)

กุมภาพันธ์ 2560 ถือเป็นครั้งแรกที่ค้นพบกลุ่มดาวที่น่าจะมีน้ำใกล้เคียงกับโลก ตามข่าวว่าองค์การนาซา (NASA) ได้ค้นพบดาวฤกษ์ Trappist-1 ห่างไป 40 ปีแสง ซึ่งมีดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงกับโลก 7 ดวง และคาดว่า 3 ดวงน่าจะมีของเหลวที่ผิวดาวปริมาณมาก คำว่า ดาวฤกษ์ คือ วัตถุบนท้องฟ้าที่เป็นก้อนพลาสมาสว่างขนาดใหญ่ที่คงอยู่ได้ด้วยแรงโน้มถ่วง ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด คือ ดวงอาทิตย์ ส่วนดาวเคราะห์ คือ วัตถุบนท้องฟ้าที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ปัจจุบันมนุษย์ค้นพบดาวเคราะห์ได้จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่นอกระบบสุริยะ ส่วนคำว่า หนึ่งปีแสง คือ ระยะทางที่แสงใช้เวลาเดินทาง 1 ปี หรือประมาณ 9,460,730,472,580.8 กิโลเมตร

ปัจจุบันมีข่าวเรื่องการค้นพบดวงดาวเพิ่มขึ้นเสมอ ซึ่งความหวังหนึ่งหลังพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ คือ การย้ายถิ่นฐาน ปัจจุบันมนุษย์บางกลุ่มมีแผนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ดาวอังคาร และกำลังดำเนินการ อาทิ โครงการ  Mars One ของ Bas Lansdorp มีภาพยนตร์หลายเรื่องนำเสนอการเดินทางไปอยู่ดาวดวงใหม่ อาทิ The Martian , Passengers , Interstellar หรือ Contact ประเทศที่ทำสำเร็จก็จะถือกรรมสิทธิ์ครอบครองดาวดวงนั้น เช่นเดียวกับความพยายามครอบครองดินแดนบนพื้นโลกทั้งขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ แต่การยายถิ่นฐานไปอยู่ทั้ง 2 ขั้วโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ประเด็นเรื่องการย้ายไปที่ใหม่ หรือพัฒนาที่เดิมให้ดีขึ้น มีมาช้านาน ปัจจุบันคนในชนบทจำนวนมาก ย้ายถิ่นฐานจากชนบทเข้าไปอยู่ในเมืองหลวง หรือต่างประเทศ เปรียบได้ว่าเมืองหลวง คือ ดาวดวงใหม่ และบ้านเดิมในชนบทคือดาวดวงเก่า หากจะถามความเห็นว่าเลือกอะไรระหว่างย้ายไปที่ใหม่ หรือพัฒนาที่เดิมให้ดีขึ้น ก็อาจมีคำตอบที่หลากหลาย เพราะการย้ายถิ่นฐานมีปัจจัยเรื่องงาน การศึกษา และครอบครัวเป็นสำคัญ  กรุงเทพมหานคร มีประชากร 5.69 ล้านคน สูงกว่านครราชสีอันดับ 2 มาที่มี 2.62 ล้านคนถึง 2 เท่า และสูงกว่าอุบลราชธานีอันดับ 3 ที่มี 1.84 ล้านคนถึง 3 เท่า หากเปรียบเทียบแล้วกรุงเทพก็เหมือนดาวดวงใหม่ที่หลายคนต้องการเข้าไปใช้ชีวิตที่นั่น เป็นที่ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาส
http://www.mars-one.com/
https://en.wikipedia.org/wiki/TRAPPIST-1
http://www.manager.co.th/Science/viewnews.aspx?NewsID=9560000055488

 

 

แอปเปิ้ลเมือง/สตาร์แอปเปิ้ล/หมากยาง/หมากนม

หมากนม / สตาร์แอปเปิ้ล (Star apple)
หมากน้ำนม / บักยาง / หมากยาง / แอปเปิ้ลน้ำ / แอปเปิ้ลเมือง

ที่บ้านปลูกไว้ 2 – 3 ต้น มีทั้งพันธุ์เขียว หรือพันธุ์ม่วง
ถ้าพันธุ์เขียวข้างในจะสีขาวน่าทาน
ถ้าพันธุ์ม่วงข้างในจะสีม่วงอย่างที่ปอกให้ดูนี้

ต้นที่บ้านของผมสูงประมาณ 10 เมตร
รัศมีประมาณ 3 เมตร
ใบด้านบนมีสีเขียว ด้านล่างมีสีน้ำตาล
เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ผลสุกจะนุ่ม
รสชาติหวาน มียางสีขาวออกมาจากเปลือก
เมล็ดมี 4 ถึง 8 เม็ด
ที่ตลาดเกาะคา ลำปาง ช่วงปลายกุมภาพันธ์ 2560
เริ่มวางขายประมาณ 3 ลูก 20 บาท
เห็นที่อื่นขายกิโลกรัมละ 20 บาท

ถ้าต้นหนึ่ง ออกลูกมาประมาณ 90 ลูก
แล้วขาย 3 ลูก 20 บาท ก็จะมีรายได้ต้นละ 600 บาท
หากปลูกในพื้นที่ 1 ไร่ในพื้นที่ 1600 ตารางเมตร
หากปลูกต้นละ 4 ตารางเมตร ก็จะได้ไร่ละ 400 ต้น
หากปลูกต้นละ 8 ตารางเมตร ก็จะได้ไร่ละ 200 ต้น
ดังนั้น ต้นละ 600 บาท * 200 ต้นต่อไร่

ก็จะมีรายได้ 120,000 บาท

ต้นแอปเปิ้ลเมืองที่เกาะคา

ต้นนี้ไม่ได้รดน้ำ พรวนดิน
ปีนี้ออกมาประมาณ 20 ลูก
จากการประเมินด้วยสายตา
แต่ขายได้เท่าไรไม่รู้ เพราะไม่สวยก็หลายลูก

เล่าเรื่องแอปเปิ้ลเมือง ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกาะคา  ในกลุ่ม “Lampang City
https://www.facebook.com/groups/243126115797740/permalink/1175435155900160/

สรยุทธ 2553

สรยุทธ สุทัศนะจินดา
จิตอาสา ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา
สรยุทธ สุทัศนะจินดา จากสื่อ 2553 ทำให้ผมรู้สึกว่า
เขาเป็นผู้มี จิตอาสาเป็นเลิศ ได้รับการโจษจันทั่วทุกแคว้น
———————
24 ธ.ค.53 สรยุทธ สุทัศนะจินดา (Sorayuth Suthatsanajinda) วัย 44 ปี  คือ นักเล่าข่าว  (News Talk) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการ จากรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ คุยคุ้ยข่าว และ ถึงลูกถึงคน  กล่าวกันว่า ชั่วโมงนี้ ไม่มี พิธีกรนักเล่าข่าวคนใดในวงการที่ทรงอิทธิพลเท่า “เฮียสอ
จุดเด่นของ “สรยุทธ” ที่ไม่มีใครทาบติด คือ
ลีลาแบบดุ เผ็ด เด็ด มัน
แต่นักวารสารศาสตร์ ยกให้เขาเป็น “สื่อดราม่า” ตัวพ่อ
ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์”  อาจารย์วารสารศาสตร์ ม.หอการค้า   อธิบาย ปรากฏการณ์นักข่าว “ดราม่า”   หรือ Emo-Journalism  (Emotion Journalism)  ว่าหมายถึง วารสารศาสตร์ที่ขับเน้นแต่อารมณ์ ความรู้สึกของผู้เสพข่าวสารเป็นหลัก
บทบาทของนักข่าวในแนวของ Emo-Journalism ผิดแผกแตกต่างจากนักข่าวในแบบเดิมที่ได้รับการสั่งสอน บ่มเพาะให้นำเสนอข่าวด้วยความเป็นกลาง เที่ยงตรง เป็นธรรม พยายามดึงตัวเองออกจากเรื่องราวข่าวสารที่กำลังนำเสนอ
ที่สำคัญ คือ นักข่าวรวมทั้งผู้ประกาศข่าวต้องไม่แสดงอารมณ์รัก ชอบ เกลียด โกรธ ผ่านออกมาทางการรายงานข่าว
แต่นักข่าว หรือผู้รายงานข่าวในแนว Emo-Journalism ไม่เพียงแต่แสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านการรายงานข่าวเท่านั้น หากแต่ยังกระโดดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวละครข่าว
พูดง่ายๆว่า ข่าวกลายเป็นเรื่อง “ดราม่า” มากๆ โดยมีนักข่าวเป็นตัวละครเอกคนหนึ่งในข่าว
ปี 2553  Emo-Journalism ถูกปรุงรสลงตัวที่สุด ในตัว เจ้าพ่อนักเล่าข่าวที่ชื่อ “สรยุทธ”
ถ้านึกภาพไม่ออกขอให้ย้อนไปดูวีรกรรมของเขาในช่วงวิกฤตน้ำท่วมทั่วไทย   ชาวบ้านตาดำๆ  ลอยคออยู่ในน้ำ บ้านเรือนจมหาย  หมดเนื้อหมดตัว  แล้วจู่ๆ  เฮียสอ ตัวเป็นๆ ก็ลุยน้ำออกมา  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชาวบ้านในหลายพื้นๆที่จากภาคอีสานถึงหาดใหญ่
ภาพที่ชาวบ้านร้องไห้ กอดคอ “สรยุทธ” เป็นภาพที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับนายกรัฐมนตรี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ออกไปเยี่ยมเยือนชาวบ้านที่กำลังจมน้ำ  แต่นายกฯอยู่บนรถบรรทุกทหารจีเอ็มซี    พร้อมบริวารมากมาย หรือ ภาพผู้นำตัวแห้งบนเรือที่ถูกลากโดยข้าราชการที่เปียกน้ำ
ผมว่ายน้ำไม่เป็น แต่ผมอยากมาช่วยเหลือพี่น้อง”  คำพูดเพียงแค่นี้ของ “สรยุทธ”  ก็ได้ใจคนทั้งประเทศ
ขณะที่น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่   ชั่วโมงแรก ๆ ไม่มีใครรู้นายกรัฐมนตรี อยู่ที่ไหน  แต่ในจอทีวีช่อง 3  “สรยุทธ” เข้าไปถึงพื้นที่ที่วิกฤตที่สุด พร้อมความช่วยเหลือ หญิงชาวบ้านที่เดือดร้อนสาหัส  กอดเฮียสอ …ร้องไห้โฮ !!!   นี่มันยิ่งกว่า ดราม่า เสียอีก
บนความหายนะของชาวบ้าน  ใครจะเชื่อว่า สรยุทธ และช่อง 3 ระดมความช่วยเหลือเพื่อเยียวยาความเสียหายจากน้ำท่วม ได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา   ไม่ว่า “สรยุทธ” ขออะไร ภาคธุรกิจก็ตอบสนองให้ในทันทีในรายการเล่าข่าว  ขณะที่ความช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นไปอย่างเชื่องช้า ตามระบบราชการ
ในบทบาทของฮีโร่ “สรยุทธ” สอบได้คะแนนเต็ม แต่ในบทบาท “แมลงวัน” ที่ตอมกลิ่นฉาวในวงการบันเทิง   “สรยุทธ” ก็เล่นกับข่าว “ฟิล์มและแอนนี่” ได้อย่างถึงพริกถึงขิง กล่าวกันว่า ในช่วงที่สรยุทธ์ เอา “แอนนี่” มาแฉ ฟิล์ม กลางจอช่อง 3 วันนั้น ถนนกลางกรุงเทพว่าง ไม่มีรถวิ่ง  ราวกับวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์
“ฟิล์มกับแอนนี่” ในการกำกับของเฮียสอ กระชากเรตติ้งของช่อง 3 ที่ดีอยู่แล้ว ให้พุ่งกระฉูด จนทีวีช่องอื่นๆ ง่วงเหงาหาวนอน
แต่เมื่อ กระแสสังคมตีกลับ วิจารณ์สื่อที่ไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของดารามากเกินไป   “สรยุทธ” กลับตัวได้เร็วกว่าใครเพื่อน
นี่คือความเป็นสุดยอดของ “นักเล่าข่าว” ที่หาตัวจับได้ยากยิ่ง เพราะเขารู้ว่า เมื่อใด ควรรุก เมื่อใด ควรถอยและหยุด และในวันที่ “คนรักบอล” กำลังเซ็งเป็ดกับ “ทีมฟุตบอลไทย” ที่ฟอร์มตก จนต้องลุกขึ้นมา ประท้วงขับไล่ “วรวีร์ มะกูดี” ให้ ลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ  จุดรวมตัวที่ดีที่สุดคือ ช่อง 3  และหนังสือขับไล่นายกสมาคมฯ ก็ถูกยื่นใส่มือ “สรยุทธ”
เหตุก็เพราะในสายตาชาวบ้าน “สรยุทธ”เป็นมากกว่าสื่อ   เพราะหมอนี่ (มัน) พึ่งได้ทุกเรื่อง !
“สรยุทธ” เคยเผยเทคนิคการสร้างความใกล้ชิดกับคนดู ว่า  “ต้องมี Contact อะไรบางอย่าง ต้องสื่อสารกับคนดูเหมือนเขานั่งอยู่กับเรา  สมัยก่อนบางวันผมทำรายการแล้วรู้สึกไม่สนุก เพราะรู้สึกว่า Contact เขาไม่ถึง ถ้าวันไหนสนุก ก็ Contact ถึง”
หลักในการ Contact ให้ถึงผู้ชมของ สรยุทธ คือ
1. มีพื้นฐานข่าว มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งต้องใช้เวลา ต้องสร้าง และมันไม่มีทางลัด ทำให้การเล่าข่าวมาจากความเข้าใจ เนื้อหาอยู่ในหัว
2. มีความเป็นมนุษย์ พิธีกรข่าวไม่ใช่ผู้วิเศษ ผิดพลาดได้ เก่งและไม่รู้ได้ แต่ให้เป็นธรรมชาติ ไม่โอเวอร์ แต่ก็ต้องไม่จืด
เทคนิคของ “สรยุทธ” สอดคล้องกับผลสำรวจของ AC Nielsen Media Research ที่ว่า   เหตุผลหลักๆ ในการเลือกรับชมข่าวคือ “พิธีกร” ส่วนปัจจัยด้านความรวดเร็ว การเกาะติดทันเหตุการณ์นั้น รองลงมา ขณะที่คุณภาพของข่าวด้านความน่าเชื่อถือ การวิเคราะห์ข่าวนั้นเป็นปัจจัยลำดับท้าย ๆ
สำหรับสังคมไทยแล้ว “สรยุทธ” ยังอยู่ได้อีกนาน บางทีอาจยาวนานกว่า “ลาร์รี่ คิง” เพราะคนไทยส่วนใหญ่ เสพข่าวผ่านโทรทัศน์ มากที่สุด
หากพิจารณาผ่าน “เม็ดเงิน” ผ่านสื่อกระแสหลัก ในช่วงมกราคม – พฤศจิกายน 2553  ที่สำรวจโดย  NIELSEN  พบว่า เม็ดเงินโฆษณาทั้งตลาด 9 หมื่นกว่าล้าน  เป็นส่วนแบ่งของทีวี กว่า 55,435 ล้านบาทหรือ คิดเป็น 60.43 %  รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์ 13,522 ล้านบาท   อันดับสามคือ วิทยุ 5,559 ล้านบาท ส่วนสื่อใหม่อย่างอินเทอร์เนต ได้ส่วนแบ่งแค่ 264 ล้านคิดเป็น 0.29  %
กล่าวได้ว่า “เฮียสอ” คือ ยอดคลื่นของสื่อทีวีที่ทรงอิทธิพลและมั่งคั่งที่สุดแห่งปี 2553
ใครหลายคน พูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย ได้หัวหน้าพรรคชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา  อาจกลับมาเป็นรัฐบาล อีกครั้ง !!!

โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง

โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง
โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง

11 มี.ค.54 เวลาประมาณ 18.35น. มีโอกาสคุยกับดารา ออกเสียงทางช่อง 9 (Mango Channel) ของจาน PSI ที่บ้านผม .. ท่านคือ อ.โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้เขียนหนังสือขายดี “สวย-หล่อ ไม่ต้องรอชาติหน้า Colour ‘n’ Style” ท่านมีเว็บไซต์สวย ๆ อยู่ที่ http://www.colourandstyle.net .. ผมโทรเข้ารายการถามว่า ผู้ชาย อายุ 40 ปี (แล้วยังไม่ปลงกับชีวิต) อยากจะย้อมสีผม ต้องใช้สีอะไร ก็ได้รับคำแนะนำจาก อ.หมู และอ.โจ๊ก ว่า สีดำ หรือสีบรอนซ์ .. โดยดูจากความเหมาะสมของหน้าที่การงานประกอบด้วย .. ทำให้ผมคิดได้ว่า สักวันหนึ่งถ้าจะต้องย้อมสีผมครั้งแรกในชีวิต ก็จะเลือกสีดำ ตามคำแนะนำของท่าน
(ภาพของท่านก็ได้จาก e-book ในเว็บไซต์ของท่านครับ)
http://www.facebook.com/sopasbkk

ต่อมาเช้าวันอาทิตย์ที่ 13 มี.ค.54 อ.โจ๊ก โทรมาพูดคุยกับแฟนรายการคือผม ประทับใจมาก เพราะผู้จัดรายการโทรมาคุยกับแฟนรายการ .. ดีใจครับ (ในใจก็คิดว่า ต่อไปคงต้องหมั่นติดตามรายการท่านซะแล้ว) .. ท่านจัดรายการทางแมงโก้ทีวี ชื่อรายการ Colour&Style ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 18.00-19.00น. เสาร์-อาทิตย์ 21.30.-22.30 น. ซึ่งท่านให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการจัดรายการเชื่อมโยงกับการหาสิบดีไซด์เนอร์ สิบนายแบบ สิบนางแบบ ของแมงโก้ทีวี .. ผมก็กระเซ้าท่านไปผ่าน fb ว่า “ผมออกตัวก่อนนะครับ ว่าร่วมประกวดไม่ได้แล้ว .. คาดว่าอายุเกินมานิดหน่อย” ก็อายุผมปาเข้าไปตั้ง 40 แล้ว ไปแข่งเป็นนายแบบคงไม่ไหว >> หนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่อยากสวย อยากหล่อ ติดตามรายการท่านได้นะครับ ผมว่าบุคลิกท่านดีมาก พูดเก่ง เป็นกันเอง และอัธยาศัยดีเยี่ยม

Clip รายการ
http://www.mangotv.tv/home/program/color-style/
http://www.mangotv.tv/home/program/color-style/20110111/352/Colour&Style/
http://www.youtube.com/user/sopasbkk
http://www.colourandstyle.net