วันพ่อ กับ สิ่งที่อยู่ในความทรงจำ

วันพ่อก็ต้องคิดถึงคุณพ่อ
วันแม่ก็ต้องคิดถึงคุณแม่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เราก็คิดถึงท่านได้ทุกวัน
ค้นดู #ความทรงจำ
พบว่าเกือบ 10 ปีที่แล้ว
โพสต์ภาพคุณพ่อในปี 2558

คุณพ่อท่านเสียนานแล้ว
คุณแม่พึ่งเสียได้สองปีกว่า
แต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน
เห็นบรรยากาศเก่า ๆ
ก็ทำนอนไม่หลับไปเหมือนกัน

เมื่อต้นเดือนที่แล้ว
พบเพื่อนของคุณพ่อในหมู่บ้านข้าง ๆ
ที่ผมก็ไม่เคยพบท่านมาก่อน
พบครั้งแรก ไม่ทันได้เอ่ยอะไร
ประโยคแรก ก็ทักว่าผมลูกพ่อเลย
สงสัยหน้าจะเหมือนมาก

ขอบคุณ
เรื่องราวที่ผ่านมาที่มีทุกรสชาติ
ที่มีให้เราได้ระลึกถึงเหตุการณ์
ที่อาจลืมเลือนไปกับกาลเวลา
แต่เหมือนพึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง

วันพ่อ

จดหมายจากลูกถึงพ่อแม่ ฉบับที่ 8 จะเป็นโฮมซิกไหมนะ

สวัสดีค่ะ พ่อเก๋ แม่ขวัญ

อือ ๆ ๆ” หนูร้องไห้ด้วย
ตอนที่แม่กับน้องไปส่งที่ท่ารถ บขส.
อยากอยู่กับแม่ และน้อง ๆ จังเลย

ช่วงปิดภาคเรียนแรก ของปีหนึ่ง
หนูกลับบ้าน แล้วมีความสุขมากเลยค่ะ
พวกเราไปซื้อเตาอบขนมใหม่ ราคาไม่กี่พันบาท
แล้วก็ซื้ออุปกรณ์มาทำเค้ก ทำคุกกี้ ทำบราวนี่
ทานเอง ขาย และแจก สนุกจัง
พอดีกับที่น้องหยุดเรียน หลังสอบกลางภาค
และเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่

จำได้ว่า
หนูขึ้นสี่ล้อไปเยี่ยมคุณย่าที่เกาะคา
ไปเปลี่ยนกับพ่อเก๋ ที่มาธุระที่มหาวิทยาลัย
ได้สอยมะพร้าวในสวนไปวางขาย
ขายดีมาก ลูกละ 10 บาท แป๊ปเดียวหมดล่ะ
อีกไม่กี่วันต่อมา
หนูเอาขนม และมะละกอจากในตัวเมือง
ไปวางขายหน้าบ้าน แต่ขายไม่ค่อยดี
คนแถวนี้เค้าไม่ชอบขนมหวาน
สงสัยกลัวน้ำตาล ความดันกัน โรคฮิตด้วย
ช่วงนี้มะละกอเริ่มสุก บ้านไหนก็คงจะมี
มะละกอลูกเหลืองใหญ่ ๆ ก็เลยขายไม่ค่อยดี
แต่ก็ขายได้ค่ะ ขายได้ พอได้ทุนคืน
ส่วนกำไร คือ ลูกที่เหลือก็เอาไว้ทาน
แบ่งให้คุณย่าไว้ทาน 1 ลูกด้วย
หนูแบ่งกลับไปบ้านกล้วยไม้ 2 ลูก

วันขึ้นปีใหม่ ทำอาหารทานร่วมกัน
วันขึ้นปีใหม่ ทำอาหารทานร่วมกัน

เย็นนั้นหนู ต้องนั่งพรพิริยะทัวร์กลับกรุงเทพ
รถคันนี้ไม่แวะทานข้าวต้ม วิ่งรวดเดียวเลย
หนูก็หลับยาวเหมือนกัน หลับสนิทเลย
ตอนไปจอง คันอื่นเต็มหมด แต่คันนี้มีว่างหลายที่
จึงได้กลับก่อนเปิดเรียน กลับปุ๊ปก็เปิดเรียนเช้านั้นเลย
ก่อนขึ้นรถแอบร้องไห้ คิดถึงบ้าน อยากอยู่บ้านกับแม่
แต่หนูก็รู้ว่าเป็นหน้าที่ มีหน้าที่ต้องไปเรียนหนังสือ
ก็ต้องไป หนูจะตั้งใจเรียนให้จบค่ะ

เที่ยวนี้ หนูนั่งแถวที่สอง
พบลุงอนุชิตที่บ้านอยู่ใกล้กันด้วย
เค้านั่งแถวแรก หนูสวัสดีเค้าแล้วนะคะ
เมื่อไปถึงหมอชิต หนูไม่เข้าห้องน้ำ
รีบไปขึ้นรถตู้ รถเต็มพอดี แล้วออกเลย
ถ้าไปเข้าห้องน้ำก่อน คงรอรถคิวต่อไปอีกนาน

เช้าวันเปิดเรียนวันแรกขลุกขลักนิดหน่อย
หนูยังไม่ได้จ่ายตังค่าลงทะเบียนในส่วนที่เกิน
เค้าจะเปิดให้จ่ายวันจันทร์ถัดไป
เสียค่าปรับนิดนึง
ครั้งนี้หนูพลาดไป ขอโทษด้วยนะคะ
แต่เทอมต่อไปไม่พลาดล่ะ พ่อช่วยเตือนด้วยนะ

สรุปคิดถึงเยอะเลย
คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงน้อง คิดถึงคุณย่า คุณตา
คิดถึงมะพร้าว มะละกอ เค้ก คุกกี้ บราวนี่
คิดถึงปิ้งย่างที่บ้านย่าในวันปีใหม่ และอีกมากมาย
หนูจะสู้ จะตั้งใจเรียน เพราะเรามาเรียนนี่นะ

ขายมะละกอกับคุณย่า
ขายมะละกอกับคุณย่า

 

Bye Bye จ้า .. รักทุกคนนะ จุ๊บ จุ๊บ
จาก พี่เอของน้อง ๆ และลูกที่น่ารักของพ่อเก๋ แม่ขวัญ
มีอะไรทักแชทได้เหมือนเดิมน้า

FB Group : ผู้บริจาคโลหิต อวัยวะ และร่างกาย

รถคันแรกทะลัก 1.25 ล้านคันใช้งบแสนล้านบาท

รถคันแรก คนไทยใช้สิทธิ์ 1.25 ล้าน
รถคันแรก คนไทยใช้สิทธิ์ 1.25 ล้าน

ฟังเพลง “รอพี่ก่อน” ของ SHADE
.. บอกว่า อย่าพึ่งซื้อรถยนต์ หรือรถไฟเลย ตอนนี้ยังไม่มีตัง
น้องเสื้อดำคงยื่นคำขาดว่า “รอไม่ได้หรอกพี่
แต่คนไทยรอไม่ไหว .. ยอดจองรถคันแรก 1.25 ล้าน
ใช้งบ 100,000,000,000 (ไม่รู้ใส่ 0 ถูกรึเปล่า ขาดเกินขออภัยด้วย)
ก็ของมันจำเรื่องมันจำเป็น ทำไงได้ .. เรื่องนี้มีคนชวนคิดกันเยอะ
เพราะบ้านคันแรกก็จำเป็น รถคันแรกก็จำเป็น แท็บเล็ตเด็กก็จำเป็น เงินเดือนขึ้นก็จำเป็น

ข่าวคมชัดลึก
ปิดฉากรถยนต์คันแรกแห่ใช้สิทธิทะลัก 1.25 ล้านคัน ดันยอดคืนภาษีพุ่ง 9.1 หมื่นล้านบาท พบรถยนต์นั่งแชมป์ขอคืนสูงสุด 7.4 แสนคัน


นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นั้น ส่งผลให้ประชาชนยังคงยื่นขอใช้สิทธิ์ในโครงการดังกล่าวกันอย่างคึกคัก โดยนายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกในวันนี้ (31 ธ.ค.2555) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโครงการ มีผู้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดทั้งวันทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 2,000 คัน เทียบกับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม มีการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงถึง 5,000 คัน ส่งผลให้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันสุดท้ายที่รับยื่นขอคืนภาษีมียอดรวมทั้งสิ้น 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก 3 หมื่นล้านบาทถึง 3 เท่าตัว

สำหรับการยื่นใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกทั่วประเทศจำนวน 1.255 ล้านคันนั้น แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 7.40 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะ หรือดับเบิลแค็บ 2.57 แสนคัน ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิและได้รับเงินคืนไปแล้วมีทั้งสิ้น 47,018 ราย คิดเป็นเงิน 3,481 ล้านบาท และคาดว่าปีงบประมาณ  2556 จะต้องคืนภาษีรถยนต์คันแรกรวม 2 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ครั้งแรก 7,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาทแต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงอาจต้องขอใช้งบกลางเพิ่มเติม ส่วนปีงบ 2557 คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 3-3.5 หมื่นล้านบาท และใช้งบอีกบางส่วนในปี 2558 โดยผู้ที่ได้รับคืนเงินทางบัญชีเงินฝากนั้นจะต้องครอบครองรถยนต์ครบ  1  ปี

อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวอีกว่า การให้บริการยื่นเอกสารขอคืนภาษีกรมสรรพสามิตวันสุดท้ายที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตและพื้นที่ต่างๆ เปิดรับยื่นเอกสารจนถึงเวลา 16.30 น. เฉพาะที่กรมสรรพสามิต ราชวัตร มีผู้มายื่นใช้สิทธิประมาณ 300 รายเท่านั้น ขณะที่กรมได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้รองรับอย่างเต็มที่ และส่วนใหญ่ที่มาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเอกสารแต่อย่างใดจึงไม่น่าจะมีปัญหาในการขอคืนภาษี นอกจากจะมีการตรวจสอบกับกรมการขนส่งทางบกอีกครั้งและพบว่าไม่เข้าเงื่อนไขการเป็นเจ้าของรถคันแรกจริง

วันสุดท้ายมีผู้มายื่นใช้สิทธิน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงน่าจะเป็นการเก็บตกผู้ใช้สิทธิ เท่าที่สอบถามผู้มายื่น 2-3 ราย ส่วนใหญ่ระบุว่าเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทางบ้านให้ซื้อรถยนต์จึงรีบนำใบจองซื้อรถยนต์มาใช้สิทธิให้ทันในวันสุดท้าย โดยมองว่าไม่น่าจะมีผู้ตกหล่นหรือใช้สิทธิไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตได้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแล้ว” นายสมชายระบุ

กระนั้นก็ดี นายสมชาย กล่าวด้วยว่า แม้เจ้าหน้าที่จะปิดรับเรื่องแล้วแต่ยังสามารถยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://firstcar.excise.go.th/ ได้จนถึงเวลา 24.00 น. วันที่ 31 ธันวาคม 2555 และเอกสารต้องพร้อมภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นขอใช้สิทธิ แต่ส่วนนี้ก็ไม่น่าจะมีเพิ่มขึ้นมากนัก ไม่เกินร้อยราย ปิดยอดจริงๆ ก็น่าจะประมาณ 1.256 ล้านคัน อย่างไรก็ตามกรมสรรพสามิตไม่ได้มีการแยกว่าเป็นการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์ยี่ห้อใดมากที่สุดเอาไว้ด้วย

สำหรับกรณีของรถโตโยต้า วีออสรุ่นใหม่ที่มีกรณีเรียกร้องให้ทบทวนการได้สิทธิเข้าโครงการรถยนต์คันแรก ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่ายในตลาดแต่มีการเปิดรับจองแล้วนั้น ทางกรมสรรพสามิตได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่โรงงานแล้วเห็นว่าทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ขึ้นไลน์การผลิตแล้วจริง มีการผลิตรถยนต์และเสียภาษีสรรพสามิตไว้แล้วบางส่วน จึงถือว่าเข้าข่ายได้รับสิทธิโครงการรถยนต์คันแรก ผู้ที่จองซื้อรถยนต์รุ่นดังกล่าวจึงมีสิทธิได้รับเงินคืนเช่นเดียวกัน แต่คาดว่าจะมีไม่มากนักเพราะเพิ่งเปิดจองช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 เท่านั้น

ทั้งนี้ โครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลเดิมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเข้าโครงการประมาณ 5 แสนคัน คิดเป็นเม็ดเงินต้องคืนราว 3.2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จากการผ่อนปรนเงื่อนไขให้จองได้ถึงเดือนธันวาคมจากเดิมเดือนกันยายน และให้ใช้เพียงใบจองซื้อรถยนต์มายื่นเข้าโครงการโดยเปิดกว้างให้ส่งมอบรถเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีผู้สนใจใช้สิทธิมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว

http://www.komchadluek.net/detail/20130101/148456/ปิดฉาก!รถคันแรกทะลัก1.25ล้านคัน.html

ปัญหาที่ทำให้ต้องย้ายบ้าน

อย่างนี้ต้องย้ายบ้าน
อย่างนี้ต้องย้ายบ้าน

6 พ.ย.54 เมื่อบ้านมีปัญหา ก็ต้องย้ายบ้าน เหตุผลของแต่ละคน หรือแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน บางคนบอกเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางคนก็รับไม่ได้ .. มีเพื่อนหลายคน ถามว่าทำไมต้องย้าย บ้านดีออก
สรุปปัญหาที่พบกับตัว หรือคนในบ้านเล่าให้ฟัง ดังนี้
1. คนเมามาอวก และถ่ายเบา หน้าประตูบ้านเป็นประจำ เพราะบ้านติดร้านเหล้า
2. ผัวเมียทะเลาะกัน เพราะมารอเมียที่มาดื่มเหล้ากับกิ๊ก ชีวิตดั่งละคร
3. ตีกันขั้นลงไม้ลงมือ ทั้งชายหญิงหรือหญิงหญิง คดีลงหนังสือพิมพ์ก็หลายครั้ง
4. หน้าบ้านเป็นที่โทรศัพท์ คุยอะไรกัน ในบ้านได้ยินหมด ไม่มีลับ
5. รถเข้าบ้านไม่ได้ เพราะมีรถลูกค้าข้างบ้านมาจอดขวาง ต้องไปหาที่จอดใหม่
6. ควันไอเสียจากรถลูกค้าร้านอาหาร แต่ที่หนักคือรถตู้เย็นที่ต้องสตาร์ททิ้งไว้
7. ตั้งแต่เที่ยงวันไปถึงเที่ยงคืนจะมีนักร้องสมัครเล่นมาขับกล่อมทุกวัน ชัดเจน
8. หนู แมลงสาบ ต๊กโต เป็นเพื่อนสนิทในบ้าน เพราะใต้บ้านเป็นร่องน้ำทิ้ง
9. คนผ่านไปใครมา เห็นในบ้านหมด ร้อน ๆ ถอดเสื้อผ้าก็อายเขา
10. บ้านปูนเป็นทาวน์เฮ้าเก่ากว่า 20 ปี ต่อเติมไม่ได้ ทางเทศบาลห้ามไว้

จัดกลุ่มหนังสือ แยกตามขนาด

หนังสือ book
หนังสือ book

30 ต.ค.54 ของสะสมนอกจากซีดีภาพยนตร์กับโปรแกรมแล้ว ก็ยังมีหนังสือ พอมีปริมาณมากก็มีปัญหาเรื่องการขนย้าย จัดเก็บ และจัดหมวดหมู่

กำลังจะย้ายบ้าน ก็ได้ฤกษ์เคลียร์หนังสือ บางเล่มอยู่ที่เดิมมา 9 ปี (ตั้งแต่ 10 พ.ย.2544 – 6 พ.ย.2554) เคยมีเพื่อนบางท่านถามยืมหนังสือ ผมก็มักตอบไม่เต็มเสียงว่าหาไม่พบ วันนี้นำหนังสือส่วนใหญ่ของบ้าน จากตู้ในครัว ตู้เสื้อผ้า และตู้หนังสือ มาเรียงตามขนาดเพื่อการขนย้าย (ขี้แมลงสาบเพียบ) ถ้าย้ายไปที่ใหม่ก็จะมีตู้หนังสือมากกว่าเดิม น่าจะจัดหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ได้ อาจทำให้ความฝันในการจัดหมวดหนังสือออนไลน์เป็นจริง ตอนนี้ก็ได้ e-book หลายเล่มแล้ว ในอนาคตอาจมีหนังสือที่ scan ที่ไม่ติด copyright เข้า e-book ได้เพิ่มขึ้น

จากภาพ น่าจะมีหนังสือในกองนี้ประมาณ 700 เล่ม และยังไม่ได้มัดไว้ เพราะแค่แยกตามขนาด ก็ได้แผลมาหลายแห่งแล้ว ผิวค่อนข้างบ้าง ประกอบกับกลัวพิษขี้แมงสาบ ทำไปก็ต้องระวังไปพร้อมกัน

http://www.thaiall.com/me/book.php

เพื่อนถามแลกบ้าน

91011
91011

9 ต.ค.54 วันที่ต้องจดจำของครอบครัว เป็นวันอาทิตย์ที่แสนธรรมดา เวลา 15.00น. แล้วเพื่อนบ้านก็เดินมาพูดคุยด้วย เริ่มด้วยเขาประสงค์จะขายบ้านกล้วยไม้ และจบด้วยผมถามแลกบ้าน คำตอบที่กลับมาคือตกลง

จากนั้น 17.00น. ก็พาคนในครอบครัวรวม 6 ชีวิตไปประหลาดใจ เห็นภายนอกก็ไม่คิดอะไรกันเพราะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม แต่พอเข้าไปทุกคนก็ตกลงแลกเพราะประทับใจการตกแต่ง เป็นการย้ายบ้านของครอบครัวครั้งที่ 3 ชีวิตครอบครัวเริ่มที่บ้านภรรยา และย้ายเข้าเมืองตอนเด็กเข้าประถม ย้ายครั้งที่สามตอนคนโตอยู่มัธยมหนึ่ง คาดว่าครั้งที่สี่จะเกิดตอนย้ายตามลูก มิใช่ลูกย้ายตามเราเหมือนที่ผ่านมา .. ตกเย็นทานข้าวที่ร้านวัวหันสันกำแพง แล้วกลับไปชมหมู่บ้านกันอีกครั้ง ก่อนกลับมายืนยันการซื้อขายกับเพื่อนบ้าน