ดูเรื่องทุกคนสบายดี


เมื่อดูหนังแล้ว
ก็หันกลับไปย้อนดู
ผู้คนรอบตัว หรือตัวเอง
เค้าว่า
หนังนั้นนำมาจากชีวิตจริง
หรือคนเราเลียนแบบชีวิตในหนัง
ก็คงเป็นไปได้ทั้งสองแบบ
.
หนังเก่าเรื่องนี้เล่าเรื่องคุณพ่อ
ที่รอลูกทั้งห้า
กลับมาเที่ยวหาช่วงหยุดฤดูร้อน
แต่ละคนแยกย้ายไปใช้ชีวิต
ปีนี้ ไม่มีใครว่างกลับมาหา
คุณพ่อผู้ชราคนนี้เลยสักคน
.
คุณพ่อก็เลย
จัดกระเป๋าเตรียมของฝาก
ไปเที่ยวหาลูกหลานแต่ละคน
ไปหาคนแรกเป็นลูกคนเล็ก
แต่ก็ไม่พบ หาตัวไม่เจอ
ลูกหายไป ก็เลยต้องไปหาคนต่อไป
.
ไปพบลูกแต่ละคน
ที่ออกไปล่าฝัน ทำฝันให้เป็นจริง
แต่ดูแล้ว ทุกคนก็อยาก
ให้คุณพ่อสบายใจ ไม่ผิดหวังกับลูก
พยายามทำตัวให้ดูว่าสบายดี สมหวัง
มีครอบครัว อาชีพ และมีความสุข
.
สุดท้าย คุณพ่อก็รู้ว่า
ชีวิตเด็กเด็กไม่ได้เป็นไปดังฝัน
ไม่ได้สบายดีอย่างที่พ่อฝันไว้
.
ส่วนพ่อเองก็พบกับ
กลุ่มผู้สูงอายุของบ้านพักคนชรา
ที่จัดทริปออกเที่ยวอย่างมีความสุข
กลุ่มผู้สูงอายุชวนคุณพ่อร่วมทริป
เป็นเพื่อนออกไปเที่ยวด้วยกัน
แต่คุณพ่อก็ไม่ได้ตามทริปไปด้วย
.
คุณพ่อเลือกกลับบ้าน
ไปใช้ชีวิตที่บ้านเก่า แทนบ้านผู้สูงอายุ
เล่าเรื่องให้ภรรยาที่ไปก่อนแล้วได้ฟัง
คุณพ่อเลือกที่จะเชื่อว่าทุกคนสบายดี
เพราะมีความสุขกับความฝันนั้น
ดีกว่าต้องรับรู้ความจริง
เรื่องชีวิตของลูกลูก
ที่ไม่ได้สบายดี ราบรื่น อย่างฝันไว้
.
เป็นหนังที่สะท้อนชีวิต
ของผู้สูงอายุในสังคมปัจจุบันได้ดี
ดูแล้วรู้สึกเศร้าไปกับเรื่องราว
บางทีเลือกอยู่กับความฝันก็น่าจะดีกว่า

ริมแม่น้ำวัง
ริมแม่น้ำวัง

วันพ่อ กับ สิ่งที่อยู่ในความทรงจำ

วันพ่อก็ต้องคิดถึงคุณพ่อ
วันแม่ก็ต้องคิดถึงคุณแม่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
เราก็คิดถึงท่านได้ทุกวัน
ค้นดู #ความทรงจำ
พบว่าเกือบ 10 ปีที่แล้ว
โพสต์ภาพคุณพ่อในปี 2558

คุณพ่อท่านเสียนานแล้ว
คุณแม่พึ่งเสียได้สองปีกว่า
แต่ทุกครั้งที่กลับบ้าน
เห็นบรรยากาศเก่า ๆ
ก็ทำนอนไม่หลับไปเหมือนกัน

เมื่อต้นเดือนที่แล้ว
พบเพื่อนของคุณพ่อในหมู่บ้านข้าง ๆ
ที่ผมก็ไม่เคยพบท่านมาก่อน
พบครั้งแรก ไม่ทันได้เอ่ยอะไร
ประโยคแรก ก็ทักว่าผมลูกพ่อเลย
สงสัยหน้าจะเหมือนมาก

ขอบคุณ
เรื่องราวที่ผ่านมาที่มีทุกรสชาติ
ที่มีให้เราได้ระลึกถึงเหตุการณ์
ที่อาจลืมเลือนไปกับกาลเวลา
แต่เหมือนพึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง

วันพ่อ

โฆษณาแบรนด์รังนกแท้ โลกทั้งใบ

โฆษณาแบรนด์รังนกแท้ โลกทั้งใบ

ดูโฆษณานี้แล้วประทับใจ
ผมว่าคนคิดโฆษณามองว่า
1. ผู้คนส่วนใหญ่ใส่ใจงานมากกว่าตนเอง
2. การดื่มแบรนด์เพื่อดูแลตัวเอง
สรุปได้ว่า .. อย่าหักโหมงานเกินไปนะครับ
ดื่มแบรนด์รังนกบ้าง เป็นการดูแลตัวเอง


ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่ไปทำงาน
งานก็อาจมีคนทำแทนคุณ
คุณก็อาจเป็นใครคนหนึ่งบนโลกใบนี้
แต่สำหรับเขาคุณคือโลกทั้งใบ
.. เพราะคุณมีค่าเหลือเกินสำหรับคนที่คุณรัก

กฎการใช้ จอในครอบครัว

family 1960
family 1960

http://simple.wikipedia.org/wiki/Leave_It_to_Beaver

ยุคที่หน้าจอ ทั้งโทรทัศน์ ไอโฟน ไอแพด แท็บเล็ต ล้วนดึงดูดสายตาเราไปจากเรื่องรอบตัว แต่สำหรับความสัมพันธ์ในครอบครัว การสบตา พูดคุย สร้างความสัมพันธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญ คนในครอบครัวจึงควรควบคุมการใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เหมาะสม ซึ่งเรามีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันเช่นเคย

1. พึงระวังทุกหน้าจอ

เป็นที่ทราบกันดีว่าจอโทรทัศน์ไม่ดีสำหรับสายตาและพัฒนาการของเด็ก แต่คุณพ่อคุณแม่จำนวนมากกลับปล่อยให้ลูกน้อยเล่นไอแพด ไอโฟน กันได้โดยไม่จำกัดเวลา แต่หน้าจอเหล่านี้ก็เป็นอันตรายต่อสายตาและพัฒนาการของลูกน้อยเช่นกัน หากเป็นไปได้จึงไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 7 ขวบ ใช้หน้าจอเลย หรือหากจำเป็นก็ควรจำกัดเวลาและจำนวนชั่วโมงที่จะให้เด็กๆ เล่นกับอุปกรณ์เหล่านี้ได้

2. สบตากันให้มากขึ้น

คงคุ้นตากันดีกับภาพทุกคนบนโต๊ะอาหารต่างคนต่างจ้องหน้าจอ หรือคนที่คุยกันโดยตายังจ้องหน้าจออยู่ แต่เมื่ออยู่กับคนในครอบครัว เราควรหันมาสบตากัน เพราะบ่อยครั้งที่การสื่อสารทางกายและสายตา สำคัญกว่าปากมากนัก และสำหรับเด็กๆ แล้ว การที่คุณพ่อคุณแม่สบตา มีทีท่าใส่ใจยามที่เขาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง หรือเล่นกับเขานั้น สำคัญมาก ถือเป็นการยอมรับในตัวเขาอย่างหนึ่งทีเดียว

3. กำหนดเวลาใช้อุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์

เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้คือความเคยชิน การกำหนดเวลาสำหรับการใช้ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาได้ดี อาจกำหนดเป็นเวลาหลังทำการบ้านเสร็จ เพื่อช่วยให้ลูกอยากทำการบ้าน และตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรจำกัดเวลาสำหรับตัวเองเช่นกัน เช่นหากลูกยังไม่หลับจะไม่แตะเครื่องมือเหล่านี้ เป็นต้น

4. พึงระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว

หากเสพติดการใช้เฟซบุ๊ก ควรระมัดระวังที่จะจัดการกำหนดคนที่จะเข้ามาดูไทม์ไลน์ของเรา หรือเข้าถึงข้อมูลของเราได้ ยิ่งเมื่อคุณมักจะโพสรูปของคนในครอบครัว ก็ยิ่งควรระมัดระวังให้มากขึ้นเป็นพิเศษ อย่าลืมว่าโลกออนไลน์จะทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณที่อาจไม่อยากให้คนไม่รู้จักได้รู้เห็นหลุดออกไปได้ ซึ่งนั่นหมายถึงข้อมูลและรูปของเจ้าตัวน้อยของคุณด้วย

5. ระวังข้อมูลที่ลูกได้รับ

แม้คุณพ่อคุณแม่จะระมัดระวังการรับข้อมูลข่าวสารของลูกน้อย แต่บางโอกาสก็ทำได้ยากยิ่ง เมื่อปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ หรือใช้คอมพิวเตอร์ คุณพ่อคุณแม่จึงควรอยู่ด้วยทุกครั้ง เพื่อคอยอธิบายหากเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และควรเลือกสื่อที่ลูกรับให้เหมาะสม โดยเฉพาะโฆษณา และละครโทรทัศน์

6. จัดที่ทางสำหรับอุปกรณ์เทคโนโลยี

หากจัดที่ที่ใช้โทรทัศน์ และอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ให้เป็นที่เป็นทาง และกำหนดไว้ว่าเมื่อออกจากบริเวณเหล่านี้จะไม่ใช้ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยจำกัดเวลาและโอกาสที่ใช้ได้ดี เช่นในห้องนอนเป็นสถานที่ที่ปลอดอุปกรณ์ไฮเทค เป็นต้น

อ้างอิงบางส่วนจาก parenting.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000032394

ขอเตือน .. เซ็กซี่มีเสน่ห์เกินไป ก็ถูกไล่ออกได้

http://www.happyindress.com/%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%87/
http://www.happyindress.com/

รอยเตอร์ – ศาลสูงสุดไอโอวาชี้ขาด นายจ้างสามารถไล่พนักงานออกได้อย่างถูกกฏหมาย ถ้าลูกจ้างเหล่านั้นสวยหรือหล่อเตะตามากเกินไป โดยการตัดสินให้ หมอฟันรายหนึ่งไม่มีความผิดฐานละเมิดสิทธิพลเรือน หลังเลิกจ้างผู้ช่วยสาว เนื่องจากภรรยาของเขามองว่าเธอเป็นภัยคุกคามชีวิตการแต่งงาน

เมลิสซา เนลสัน ผู้ช่วยทันตแพทย์สาว ซึ่งทำงานให้กับหมอ เจมส์ ไนท์ มานานกว่า 10 ปี ยื่นฟ้องต่อศาลโดยกล่าวว่า เธอจะไม่ถูกไล่ออกหากเธอเป็นผู้ชาย พร้อมกับยืนยันว่า เธอไม่เคยให้ท่าเขา

ขณะที่ทันตแพทย์ไนท์เผยในชั้นศาลว่า เขาบ่นเนลสันไปหลายครั้งว่าเสื้อผ้าของเธอรัดรูปเน้นส่วนสัดมากเกินไป และยังทำให้เสียสมาธิ

อย่างไรก็ตาม จากคำให้การ หมอฟันหนุ่มเริ่มส่งข้อความพูดคุยกับผู้ช่วยสาวในช่วงปี 2009 แม้ว่าข้อความส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงาน และไม่มีพิษมีภัย แต่บางข้อความก็มีเนื้อหาอนาจาร โดยหนึ่งในนั้น ไนท์เอ่ยถามเนลสันว่า เธอถึงจุดสุดยอดบ่อยแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

ปลายปี 2009 ภรรยาของหมอไนท์เจอข้อความโต้ตอบระหว่างทั้ง 2 คน และเรียกร้องให้สามีของเธอเลิกจ้างผู้ช่วยสาวคนดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า “เธอกำลังเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตการแต่งงานของพวกเขา” และในช่วงต้นปี 2010 เขาก็ไล่เธอออก

หลังจากนั้น เนลสันจึงยื่นฟ้องดำเนินคดี โดยว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด เธอคิดเสมอว่านายแพทย์เป็นเหมือนเพื่อน และพ่อ โดยชี้ว่า เธอจะไม่ถูกเลิกจ้างหากเธอเป็นเพศชาย

ด้านหมอไนท์แย้งว่า เนลสันไม่ได้ถูกไล่ออกเพราะเพศ เนื่องจากลูกจ้างทั้งหมดของเขาก็เป็นผู้หญิง แต่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอเริ่มพัฒนาไปจนอาจทำลายครอบครัวของเขา

คณะผู้พิพากษา 7 คน ซึ่งเป็นชายทั้งหมด ชี้ว่า คำถามพื้นฐานในคดีนี้อยู่ที่ว่า ลูกจ้างซึ่งไม่ได้กระทำการอันเป็นการยั่วยวนให้ท่า อาจถูกเลิกจ้างได้อย่างถูกกฏหมาย เพียงเพราะนายจ้างมองว่าลูกจ้างเหล่านั้นมีเสน่ห์จนไม่สามารถต้านทานได้

ทั้งนี้ ศาลสูงพิพากษาว่า นายจ้างสามารถไล่พนักงานออกได้ หากพวกเขามองว่าลูกจ้างเหล่านั้นน่าดึงดูดใจเกินไป และการกระทำเช่นนั้นไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ผิดกฏหมาย

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9550000155212

wonder woman
wonder woman

REUTERS – The Iowa Supreme Court ruled on Friday that employers in the state can legally fire workers they find too attractive.

In a unanimous decision, the court held that a dentist did not violate the state’s civil rights act when he terminated a female dental assistant whom his wife considered a threat to their marriage.

The dental assistant, Melissa Nelson, who worked for dentist James Knight for more than 10 years and had never flirted with him, according to the testimony of both parties, sued, saying she would not have been fired if she were a man.

At trial, Knight testified he had complained to Nelson on several occasions that her clothing was too tight, revealing and “distracting.”

But sometime in 2009, he also began exchanging text messages with Nelson. Most of these were work-related and harmless, according to testimony. But others were more suggestive, including one in which Knight asked Nelson how often she had an orgasm. She never answered the text.

In late 2009, Knight’s wife found out about the text exchanges and demanded her husband terminate the dental assistant because “she was a big threat to our marriage.

In early 2010, he fired her, saying their relationship had become a detriment to his family.

Nelson sued, saying that she had done nothing wrong, that she considered Knight a friend and father figure, and that she would not have been terminated but for her gender.

Knight argued that Nelson was terminated not because of her gender – all the employees of his practice are women – but because of the way their relationship had developed and the threat it posed to his marriage.

The seven justices, all men, said the basic question presented by the case was “whether an employee who has not engaged in flirtatious conduct may be lawfully terminated simply because the boss views the employee as an irresistible attraction.

The high court ruled that bosses can fire workers they find too attractive and that such actions do not amount to unlawful discrimination.

The case was Melissa Nelson v. James H. Knight DDS, PC and James Knight. (Reporting by James B. Kelleher in Chicago; Editing by Eric Beech)

http://in.reuters.com/article/2012/12/22/usa-law-iowa-sex-idINDEE8BL00J20121222

http://www.comicvine.com/forums/battles/7/superwoman-vs-wonder-woman/608741/

อึ้งผลสำรวจเด็กไทยพร้อมลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส

มีโอกาสไปโรงเรียนสอนพิเศษของครู alex เห็นนิตยสารดาราสาวสวยวางบนโต๊ะ ระหว่างรอ 5 นาที พลิกอ่านไปมาจนจบพอดี ก็เลยมาค้นจาก net เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ทำให้ทราบสาเหตุของการสอบตกของเด็กไทย โบราณว่า “เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า”

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกงถ้ามีโอกาส

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 19:06 น. ข่าวสดออนไลน์
น.พ.วิชัย เอกพลากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี นักวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย เครือข่ายการวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551–2552 ในส่วนของพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ สังคมและจริยธรรม(อีคิว) ของเด็กไทย ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 1-14 ปี จำนวน 9,035 คน ใน 20 จังหวัด ด้วยการใช้แบบทดสอบพ่อแม่ และเด็ก โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุ 1-5 ปี  6-9 ปีและ 10-14 ปี เนื่องจากเด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการต่างกัน เปรียบเทียบเมื่อปี 2544 พบว่า กลุ่มเด็กอายุ 6-9 ปี สำรวจ 8 ด้าน คือ วินัย สติ-สมาธิ เมตตา อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด การควบคุมอารมณ์และพัฒนาสังคม พบว่า ผลการทดสอบพัฒนาการด้านสังคม ได้คะแนนสูงกว่าด้านอื่นๆ ส่วนด้านที่ได้คะแนนต่ำ คือ ความมีวินัย ความมีสติ-สมาธิ ความอดทนและความประหยัด โดยพัฒนาการด้านที่เด็กได้คะแนนน้อยซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ได้แก่ พัฒนาการด้านความมีวินัยในเด็กชาย การมีสมาธิในเด็กหญิง ด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ทั้งเด็กชายและหญิง
ด้านกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี สำรวจ 14 ด้าน ได้แก่ ความตระหนักรู้ในตน ความภาคภูมิใจในตนเอง ความเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการกับอารมณ์ การจัดการกับความเครียด การสื่อสาร สัมพันธภาพระหว่างบุคคล ความคิดสร้างสรรค์ค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหา การควบคุมอารมณ์และคุณธรรมจริยธรรม พบว่า ในภาพรวมแม้ว่าเด็กจะมีคะแนนดีขึ้น แต่มีหลายด้านที่พบว่าคะแนนการสำรวจยังไม่ดีขึ้นกว่าปี 2544 ได้แก่ ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การแก้ปัญหา และการควบคุมอารมณ์ ซึ่งเป็นจุดที่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำ เมื่อแยกย่อยในส่วนของด้านจริยธรรม เด็กกลุ่มนี้ เห็นว่า “การเล่นขี้โกงเมื่อมีโอกาส” และ “การลอกข้อสอบถ้าจำเป็น เป็นพฤติกรรมที่เด็กยอมรับได้มากขึ้น
“ปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กมีปัญหาจริยธรรม พบว่า ตัวแปรสำคัญคือระดับการศึกษาของพ่อแม่ และผู้เลี้ยงดู พ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงขึ้น เด็กจะมีจริยธรรมและพฤติกรรมในทางที่ดีมากขึ้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ว่าควรจะเลี้ยงลูกอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ควรพัฒนาในเด็กอายุ 1-5 ปี คือ การทำตามระเบียบกติกา ในเด็ก 6-9 ปี ในเด็กชายและเด็กหญิงควรพัฒนาด้านความเมตตาและการควบคุมอารมณ์ และสำหรับเด็กอายุ 10-14 ปี ควรฝึกการควบคุมและจัดการกับอารมณ์ รวมทั้งการคิดวิเคราะห์วิจารณ์”  รศ.นพ.วิชัย กล่าว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE5qWXdOamcwTkE9PQ

http://picpost.mthai.com/view/17043

เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส
เด็กไทยลอกข้อสอบ ขี้โกง ถ้ามีโอกาส