สัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง

สัญญาณ WiFi อันตรายที่มองไม่เห็น
โรงเรียนหลายแห่งห้ามใช้ WiFi เพราะอันตราย แต่คนไทยบอกไม่เป็นไรกระมัง
โดย ดร.แพง ชินพงศ์
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000060513

wifi kids
wifi kids

http://www.torontolife.com/informer/random-stuff-informer/2010/08/16/barrie-parents-blaming-wi-fi-for-childrens-behaviour-in-school-are-apparently-unfamiliar-with-children-school/

ปัจจุบันมีการใช้สัญญาณ WiFi อินเทอร์เน็ต กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่เด็กเล็กยันผู้สูงอายุ แต่ใครจะรู้บ้างว่าสัญญาณเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก เพราะสมองและส่วนกะโหลกศีรษะของเด็กยังกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต Dr.Om Ghandhi แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ กล่าวว่า เนื้อสมองของเด็กวัย 5-10 ขวบซึ่งยังอ่อนอยู่ จะถูกสัญญาณของคลื่นWiFi ทะลุทะลวงได้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่

ดังนั้น หากที่บ้านของเรามีสัญญาณ WiFi และคุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้เด็กๆได้ใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือแท็บเล็ตหรือเล่นเกมทางอินเทอร์เน็ต นั่นอาจต้องระวังให้มากว่าเด็กๆกำลังเสี่ยงกับการมีปัญหาสุขภาพที่เกิดจาก WiFi และหากคลื่นสัญญาณมีกำลังแรงมาก อาจส่งผลทำให้เด็กบางคนเกิดอาการ ดังนี้

1. ปวดศีรษะบ่อยๆ (ประมาณ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์)
2. มีอาการเวียนหัวและรู้สึกเหมือนอยากจะอาเจียน
3. มองเห็นเลือนรางและมีความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น เห็นพื้นที่กำลังเดินอยู่มีลักษณะเอียง หรือมีความรู้สึกเหมือนเดินลงเขา
4. มีความผิดปกติทางการได้ยิน เช่น ได้เสียงของคุณครูฟังดูแปลกๆมีเสียงสูง ต่ำ ทั้งๆที่คุณครูยังคงพูดเสียงปกติเหมือนเดิม
5. มีปัญหาในเรื่องของความจำ
6.ไม่มีสมาธิเวลาเรียนหรือขาดความสนใจในบทเรียน

มีงานวิจัยที่กล่าวถึงผลของ Wi-Fi ต่อสุขภาพ พบว่า สัญญาณ Wi-Fi มีผลต่อทารกในครรภ์มารดา ซึ่งรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการ ที่มีชื่อว่า the Australasian Journal of Clinical Environmental Medicine

โดยรายงานนี้ได้ระบุว่า สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยจากอุปกรณ์ที่มีสัญญาณ Wi-Fi เป็นสาเหตุให้เกิดการจับตัวกันของธาตุโลหะในเซลล์สมอง ซึ่งการสะสมนี้จะทำให้เกิดอาการออทิสติกอย่างค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่าสัญญาณ WiFi เป็นอันตรายกับเด็กเพราะสัญญาณที่ส่งออกไปทำให้เซลล์ในร่างกายหยุดการทำงาน ทำให้ไม่สามารถหายใจได้สะดวก และทำให้ดีเอนเอภายในร่างกายถูกทำลายและทำงานไม่เป็นปกติหลังจากได้รับไปเป็นเวลานาน และคลื่นเหล่านี้ถูกค้นพบว่าทำให้มีผลต่อเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำให้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว

ในปัจจุบันโรงเรียนประถมเซนต์วินเซนต์ยูเฟรเซีย ใน Meaford ออนตาริโอ ของแคนาดา ได้ห้ามไม่ให้มีระบบสัญญาณ Wi-Fi ในโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมต้น เช่นเดียวกับบางโรงเรียนอนุบาลในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศสและรัสเซีย เนื่องจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า คลื่นความถี่ของระบบสัญญาณ WiFi ที่มีความเข้มข้นนั้นอาจมีผลเสียต่อพัฒนาการและอาจทำให้เกิดเนื้องอกในสมองของเด็กได้

แม้การมีคลื่นสัญญาณ WiFi ใช้สร้างประโยชน์ให้กับเราอย่างมากมาย ทั้งเรื่องการติดต่อสื่อสาร การค้นคว้าข้อมูลเพื่อการศึกษา การทำธุรกิจการค้า ฯลฯ แต่แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่มีแต่ประโยชน์และไม่มีโทษร่วมด้วย ดังนั้นจึงควรใช้มันอย่างฉลาด รู้จักควบคุมการใช้ของตัวเอง เช่นการไม่ใช้นานเกินไปในแต่ละวัน หรือใช้เฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้นก็พอ ซึ่งนอกจากสัญญาณ WiFi แล้ว ยังรวมถึงการใช้ไมโครเวฟและโทรศัพท์มือถือด้วยที่มีผลเสียต่อร่างกายได้ถ้าใช้อย่างไม่ระวังหรือมากเกินไป ด้วยรักและห่วงใย ป้องกันไว้ดีกว่าแก้กันเถอะ

ข้อมูลอ้างอิง http://www.earthcalm.com/lp-children-and-emfs/wi-fi-health-risks-and-children/

ห้องเครื่องคือเขตอันตราย (itinlife298)

power
power

จากภาพยนตร์เรื่อง Erin Brockovich ที่ฉายในปี พ.ศ.2543 นำเสนอเรื่องราวที่ชวนให้ตระหนึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของพลังงานไฟฟ้า ผลพวงของการผลิตไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมในชุมชนใกล้เคียง ส่วนจอภาพคอมพิวเตอร์แบบ CRT จะส่งคลื่นแม่เหล็กออกมีผลต่อการเป็นหมัน มะเร็ง และเนื้องอกได้ ทำให้มีการพัฒนาจอภาพแบบ LCD และ LED ที่มีคลื่นแม่เหล็กลดลงมาก อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดที่ใช้ไฟฟ้าจะเกี่ยวข้องกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ยิ่งใช้กำลังไฟฟ้ามากก็ยิ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก และยิ่งมีจำนวนชิ้นของอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมอยู่ในที่เดียวจำนวนมาก ก็ยิ่งยากต่อการควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สูงเป็นเงาตามตัว ความไม่กลัวหรือไม่ตระหนักต่อพลังแฝงที่มองไม่เห็นอาจส่งผลต่อสุขภาพอย่างที่คาดไม่ถึง

ห้องเครื่องบริการคอมพิวเตอร์ (Server Farm หรือ Server Room) เป็นสถานที่ที่ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และสายไฟจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าห้องอื่น มักเป็นห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงาน 24 ชั่วโมงมีอุณหภูมิที่อยู่เกณฑ์ที่ยอมรับได้ ในการออกแบบห้องจะมี 2 แบบ คือ ให้เป็นเพียงห้องเก็บเครื่องบริการที่แยกส่วนจากห้องทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา หรือ ให้มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ในห้องเครื่องบริการเพื่อคอยเฝ้าตรวจปัญหาทางจอภาพ หรืออุปกรณ์แจ้งเตือน ถ้ามีเจ้าหน้าที่นั่งประจำมักมีเหตุผลจากความจำเป็นที่ต้องเฝ้าตรวจปัญหาที่จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้ หากเกิดขึ้นก็ต้องแก้ไขในทันที อาทิ ชุมสายโทรศัพท์ ชุมสายไฟฟ้า ชุมทางรถไฟฟ้า เป็นต้น

การออกแบบห้องต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน เพราะห้องเครื่องบริการเป็นพื้นที่อันตรายที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสูงอยู่ตลอดเวลา การเข้าไปทำงานชั่วคราวอาจเกิดขึ้นได้ และไม่ส่งผลมากนัก ถ้าต้องใช้ชีวิตในห้องดังกล่าวนานถึง 8 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะมีคำถามว่าเจ้าหน้าที่ที่ประจำการรู้ถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับตนเองในระยะยาวหรือไม่ และมีทางเลือกอื่นหรือไม่ เพราะปัจจุบันมีระบบที่เรียกว่าการควบคุมระยะไกล (Remote Control) ทำให้ไม่ต้องเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่อันตราย แต่สามารถทำงานได้จากระยะไกลในพื้นที่ที่ปลอดภัย ถ้ามีเจ้าหน้าที่ไปอยู่ในนั้นได้มีมาตรการป้องกันอย่างไร ผู้เขียนเสนอว่าตระหนักไว้ไม่เสียหาย เป็นการบริหารความเสี่ยง เพราะกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน