พระราชประวัติ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่” ของปวงชนชาวไทย

bb1

พระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิต กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์

วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับทราบการแจ้งมติคณะรัฐมนตรี กราบบังคมทูลอันเชิญ  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร องค์ผู้สืบสันตติวงศ์ ขึ้นทรงราชย์  “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของประชาชนชาวไทย

สำหรับพระราชประวัติสังเขป “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”  รัชกาลใหม่ 

พระราชสมภพ

พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 เวลา 17 นาฬิกา 45 นาที ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต  เป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิต กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ พระขนิษฐา 2 พระองค์

การศึกษา

ระหว่างพุทธศักราช 2499-2509

– ทรงได้รับการศึกษาระดับอนุบาลศึกษาที่พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต และโรงเรียนจิตรลดา

มกราคม – กันยายน 2509

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน คิงส์ มิด  เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ที่ประเทศอังกฤษ

กันยายน 2509-กรกฎาคม 2513

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตีท แคว้นซอมเมอร์เซท ประเทศอังกฤษ

สิงหาคม 2503-พฤษภาคม 2504

– ทรงเข้าศึกษาระดับเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์สคูล นครซิดนี่ย์ ประเทศออสเตรเลีย

มกราคม 2515 -ธันวาคม 2519

– ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต (การศึกษาด้านทหาร) คณะการศึกษาด้านทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย

นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำชุดที่ 56 ระหว่าง พ.ศ. 2520 – 2521 และทรงได้รับปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อปี 2530ครั้งถึงปี 2533 ทรงได้รับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักรด้วย

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ปวงชนชาวไทยต่างมีความปลาบปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการประกาศสถาปนา สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ ขึ้นดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร มีพระนามาภิไธย ตามจารึกพระสุพรรณบัฎว่า

“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒฯ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร”

ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ ดังประกาศระหว่างพิธีถวายสัตย์ปฎิญาณในการพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 ความว่า

“ข้าพเจ้าผู้เป็นสยามมกุฎราชกุมารจะรักษาเกียรติยศและอริยศักดิ์ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานไว้ด้วยชีวิตจะภักดีต่อชาติบ้านเมือง จะซื่อสัตย์ต่อประชาชน จะปฏิบัติภาระหน้าที่ทุกอย่าง โดยเต็มกำลังสติปัญญาความสามารถ และโดยความเสียสละ เพื่อความเจริญสงบสุขและความมั่นคงไพบูลย์ของประเทศไทย จนตราบเท่าชีวิตร่างกายจะหาไม่”

ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมงกุฎราชกุมาร

เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ได้โดยเสด็จ ฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ  เมื่อทรงพระเจริญวัยได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่าง ๆ นานัปการ เพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยโดยมิได้ย่อท้อ

ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์ และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง ทั้งด้านการพระศาสนา การศึกษา การแพทย์และสาธารณสุข การทหาร ฯลฯ ล้วนนำมาซึ่งความผาสุกสงบแก่ประชาชน นำความเจริญไพบูลย์และความมั่นคงมาสู่บ้านเมือง

digi2

ที่มาภาพ:จากหนังสือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร สโมสรไลออนส์ดุสิต กรุงเทพฯ จัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติ

ตร.ออกหมายเรียก”บอล-กฤษณะ”แล้ว รวมทั้งดาราที่อยู่ในมาลินสกาย

bb1 digi2

จากกรณีนายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ หรือเจมส์ อายุ 23 ปี ลูกของพล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผบ.มทบ.38 ถูกการ์ดของมาลินสกายกลางเมืองเชียงใหม่รุมทำร้ายร่างกายจนเจ็บสาหัส ดั้งจมูกหัก ฟันแตกและตาซ้ายมีปัญหามองไม่เห็น เหตุเกิดกลางดึกวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยเหยื่ออ้างจะเข้าห้องน้ำในผับแต่การ์ดห้ามไว้ เพราะกลุ่มดาราชื่อดังใช้อยู่จนกลายเป็นข่าวครึกโครม

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 พย 59 ที่ สภ.ช้างเผือกเชียงใหม่ พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย รรท.ผบก.ภ.จ.เชียงใหม่ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้ง พนักงานสอบสวน ชุดสืบสวน ทั้งของท้องที่และของจังหวัดโดยมี พ.ต.อ.อดุลย์ สมนึก ผกก.สภ.ช้างเผือกร่วมให้ข้อมูลและรายละเอียดด้วย การประชุมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

พ.ต.อ.สรายุทธเปิดเผยว่า คดีนี้ยังอยูในขั้นตอนของการรวบรวมพยานหลักฐาน ในส่วนของที่เกิดเหตุ ตอนนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียก หรือการแจ้งข้อหาเพิ่ม ยังอยู่ในเรื่องเดิมอยู่ ทุกอย่างยังอยู่ในระหว่างของการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งในด้านของพยานบุคคลและพยานวัตถุ ที่จะดำเนินการต่อไป สำหรับเรื่องของสถานบันเทิงนั้นเป็นเรื่องของทางอำเภอทางเจ้าหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเฉย ๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้กำชับตำรวจอย่าไปเกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ ให้เร่งรัดคดี พ.ต.อ.สรายุทธ กล่าวว่า เรื่องนี้ทางเราได้ดำเนินการภายใต้กรอบของกฎหมายอยู่แล้ว เราได้เร่งรัด และวันนี้ตนก็ได้มาเร่งรัดอีกครั้งและได้มอบหมายหน้าที่กันให้ไปดำเนินการ ไม่ได้เกรงกลัวอิทธิพลใด ๆ คดีนี้เราต้องสอบพยานบุคคลและพยานแวดล้อมพยานวัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของพนักงานเอง หรือว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางร้านด้วย เพื่อจะได้รวบรวมพยานหลักฐานที่จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.สรายุทธกล่าวว่า สำหรับเรื่องกล้องวงจรปิดของทางร้านนั้นที่แจ้งว่าเสียนำไปซ่อมได้ 2-3 เดือนนั้น ตอนนี้ตนได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการสืบสวนต่อไป สำหรับนายกฤษณะ หรือบอล นั้น ตำรวจเรากำลังจะออกหมายเรียกเพื่อให้มาพบกับพนักงานสอบสวนในขณะนี้ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง

สำหรับพยานที่จะออกหมายเรียกให้มาพบกับพนักงานสอบสวนนั้นก็จะเป็นพยานทั้งหมดที่อยู่ในที่เกิดเหตุทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาราเอง กลุ่มพนักงานในร้านเอง เราคงต้องเรียกมาสอบสวนปากคำทั้งหมด ตอนนี้ได้เรียกมาพบพนักงานสอบสวนในช่วงเวลาประมาณ 14.00 น.น่าจะได้ความคืบหน้ามาบ้าง คือใครที่ไปที่ร้านในวันที่เกิดเหตุจะต้องถูกเรียกมาสอบปากคำทั้งหมด ตอนนี้สอบปากคำพยานไปแล้วประมาณ 16 ปาก

ส่วนสำหรับการ์ดที่ถูกระบุว่ามี 4 คนนั้น ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่คน เรากำลังอยู่ในขั้นตอนสืบสวนติดตามและรวบรวมพยานหลักฐานที่จะดำเนินการตามกฏหมาย ส่วนเรื่องคุ้มครองพยานนั้นหากมีการร้องขอมาเราก็จะดำเนินการ ส่วนประวัติของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนทางเราได้มีการตรวจสอบประวัติย้อนหลังอยู่ในขณะนี้

——————————–

ขอบคุณข้อมูลจาก khaosod.co.th

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

โรงพยาบาลมีบริการรถเข็นสำหรับผู้ที่เดินไม่ได้ให้ยืมชั่วคราว

รถเข็น (wheelchair) เป็นพาหนะสำหรับผู้สูงอายุที่เดินไม่ได้
หรือ ผู้สูงอายุที่ไม่แข็งแรง หรือผู้พิการ หรือ ผู้ป่วยที่ยังเดินไม่ได้เอง
ถ้าไปซื้อที่ร้าน รุ่นธรรมดามีราคาประมาณ 3000 – 4000 บาท

ในครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นครอบครัว มีพ่อ แม่ ลูก
ปัจจุบันสถิติผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวมีมากขึ้น
ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยโดยไม่มีผู้พบเห็น
ดังนั้น ถ้ามีผู้เจ็บป่วยขึ้นมา จนเดินไม่ได้ ก็ต้องใช้รถเข็นในการเดินทาง
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ก็จะมีบริการรถเข็นให้ยืมใช้ระยะหนึ่ง
เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ในยามวิกฤตที่ปัญหาสุขภาพถาโถมเข้าใส่
เช่น โรงพยาบาลเกาะคา ก็มีกลุ่มงานที่ดูแลผู้ป่วยตามบ้าน
ออกมาเยี่ยมบ้าน มีคุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ
และประสานให้ยืมรถเข็นสำหรับผู้ที่เดินเองไม่ได้ .. ขอบคุณครับ

ครอบครัวหลาย generation
ครอบครัวหลาย generation

ถ้าเจ็บป่วยจนถูกประเมินได้ว่าเป็นผู้พิการ ก็จะได้รับเบี้ยผู้พิการตามกฎหมาย
เมื่อผู้สูงอายุ หรือมีใครล้มหมอนนอนเสื่อ จนเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ก็ต้องมีคนดูแล อาจมีลูกหลานลาออกงานมาดูแล
หรือจ้างคน หรือฝากไว้กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
การดูแลผู้สูงอายุ หรือพ่อแม่ หรือลูกหลานด้วยความรัก
ทำให้นึกถึง “program ชีวิต

if (รักลูก = true) { do(ดูแลลูก) }
if (รักแฟน = true) { do(ดูแลแฟน) }
if (พ่อแม่รักเรา = true) { do(พ่อแม่ดูแลเรา) }
if (รักพ่อแม่ = true) { do(ดูแลพ่อแม่) }
if (รัก x = true) { do(ดูแล x ) }

ในชีวิตจริงเราทำทุกเรื่องพร้อมกันไม่ได้
บางเวลาเราเลือกทำได้เพียงอย่างเดียว

https://gist.github.com/thaiall/52786e306324beb5f46ce5bf1a2722f9#file-life_program

ประโยชน์จากฟักทอง…รู้แบบนี้แล้วต้องหาทานด่วน

%e0%b8%9f%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87

ฟักทอง ถือเป็นพืชที่เป็นทั้งผักและผลไม้ มีสีเหลือง สำหรับฟักทองนั้นเราสามารถใช้เป็นผักได้เช่นเอามาแกง อย่างนี้เขาเรียกฟังทองเป็นผัก แต่ถ้าเอามานึ่งทานทำขนม อันนี้เรียกเป็นผลไม้ นอกจากนี้ ฟักทองนั้นเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงตัวหนึ่งที่เราควรทำความรู้จัก ทั้งในแง่ของสารอาหารและในแง่ของพืช สมุนไพรไทย

1.เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ในฟักทองไม่ได้มีเพียงแค่วิตามินเอแต่เพียงเท่านั้น หากยังมีวิตามินซีอยู่มากและวิตามินซีก็จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะการป้องกันหวัด ใครไม่อยากเป็นหวัดง่ายๆ แนะนำให้หมั่นกินฟักทองเป็นประจำค่ะ

2.ช่วยบำรุงสายตา
เพราะฟักทองนั้นมีวิตามินเอสูงมาก โดยฟักทองบด 1 ถ้วยจะให้วิตามินเอสูงมากถึง 200% จากปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน และเราก็ทราบกันดีแล้วใช่มั้ยล่ะว่าวิตามินเอจะช่วยบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นแม้แต่ในที่มืดชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มันยังช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ในลูกตาได้อีกด้วย

3.ลดน้ำหนักได้ผล
อาหารลดน้ำหนักนั้นมีมากมายและฟักทองก็คือ หนึ่งในอาหารที่สาวๆ สามารถกินยามลดน้ำหนักได้ผล เพราะฟักทองมีไฟเบอร์สูงมากถึง 3 กรัมต่อ 1 ถ้วย และยังให้แคลอรี่แค่ 49 แคลอรี่เท่านั้น กินแล้วจึงรู้สึกอิ่มท้องนานและช่วยลดอาการหิวโหยระหว่างมื้อได้ดีทีเดียว

4.ดูแลสุขภาพหัวใจ
งานวิจัยได้ชี้แจงอย่างแน่ชัดแล้วว่า สารจากธรรมชาติที่ชื่อว่า ‘ไฟโตสเตอรอล’ (Phytosterols) ที่พบจากเมล็ดธัญพืชและถั่วเปลือกแข็งจะมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ได้ ดังนั้น มันจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ ซึ่งแน่นอนว่าเมล็ดฟักทองก็คือ หนึ่งในเมล็ดธัญพืชที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง

5.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
ในฟักทองยังพบว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งนอกจากจะช่วยด้านการบำรุงสายตาแล้ว มันยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ดีอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยบอกไว้ว่า สารดังกล่าวจะสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุในการเกิดโรคมะเร็ง และกรดโปรไพโอนิคจากฟักทองก็ยังช่วยให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง ทั้งนี้ ในผู้ชายการกินฟักทองเป็นประจำจะช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากโตและช่วยป้องกันการเป็นหมันได้

6.บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง
อนุมูลอิสระเป็นตัวการทำลายเซลล์ให้เสื่อมสภาพและกลายมาเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด เช่นเดียวกันกับเซลล์ผิว หากมันถูกทำลายไปแล้ว สภาพผิวพรรณก็ย่อมหม่นหมอง ไม่เปล่งปลั่งสดใสและยังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย แต่หากสาวๆ หมั่นกินฟักทองซึ่งมีสารแคโรทีนอยด์ก็จะช่วยลดความเสื่อมสภาพของเซลล์ลงได้ ดังนั้น มันจึงช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล

9.ป้องกันการเกิดนิ่ว
เมล็ดฟักทองเม็ดเล็กๆ ที่หลายคนอาจเคยมองข้าม ไม่เพียงจะมีแป้ง โปรตีน วิตามินและฟอสฟอรัสแต่เพียงเท่านั้นนะคะ แต่ยังมีสารที่ชื่อว่า “คิวเคอร์บิติน” ซึ่งสารนี้เป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าพยาธิตัวตืดได้ และยังทำหน้าที่ช่วยขับปัสสาวะ จึงสามารถป้องกันการเกิดโรคนิ่วและโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้นั่นเอง

10.ฟื้นพลังหลังออกกำลังกาย
ใครที่ชอบออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายก็มักอ่อนเพลียเป็นธรรมดาและแน่นอนค่ะว่าเรามักจะต้องกินอาหารเสริมพลังเข้าไป หลายคนนิยมหันมากินกล้วยเติมพลัง ทว่าหากใครที่ไม่ชอบกล้วย คุณสามารถกินฟักทองนึ่งแทนได้นะคะ เพราะฟักทองนั้นมีโพแทสเซียมสูงถึง 564 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่ากล้วยที่มีแค่ 422 มิลลิกรัมเท่านั้น สารโพแทสเซียมจะเข้าบำรุงและฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนักได้ดี อีกทั้งยังดูแลการทำงานของกล้ามเนื้อให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเดิมได้ด้วย

ข้อควรระวังในการทาน “ฟักทอง”

เนื่องจาก “ฟักทอง” มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ “กระเพาะร้อน” คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ใครที่อยากสุขภาพดีห่างไกลจากโรค ก็อย่าลืมหาซื้อมาประกอบอาหารกินกันบ้างนะคะ อย่างน้อยฟักทองก็ยังเป็นผักที่หาซื้อง่ายและราคาถูก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/

 

7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ เสกผิวขาวใสดั่งใจทุกวัน

lofficiel_kagome_1

มะเขือเทศกับการบำรุงผิวสวยจากภายใน
มะเขือเทศเป็นผักสีแดงลูกกลมเกลี้ยงเกลามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายอย่าง อุดมด้วยวิตามินนานาชนิด อาทิ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินเค วิตามินเอและวิตามินซีในปริมาณสูง ทั้งยังมีสารไลโคปีนซึ่งเป็นสารสีแดงที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณอย่างที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเกิดริ้วรอยก่อนวัย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และบำรุงผิวให้แลดูอมชมพูกระจ่างใสแบบมีเลือดฝาดตามธรรมชาติ

การดื่มน้ำมะเขือเทศส่งผลต่อสุขภาพผิวได้ดี  ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านและยังเปล่งปลั่งสดใส ที่สำคัญไปกว่านั้นการกินมะเขือเทศเป็นประจำยังช่วยเรื่องการย่อยอาหารและช่วยในด้านของการขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้นด้วยค่ะ และนอกจากมะเขือเทศจะมีดีต่อการบำรุงผิวพรรณให้สวยจากภายในแล้ว เรายังสามารถนำผลสดมาปรนนิบัติผิวภายนอกได้เช่นกันนะ มาดูกันเลยค่ะว่ามีประโยชน์ด้านใดบ้าง

7 สูตรผิวสวยด้วยมะเขือเทศ

tomato-acne

1. กระชับรูขุมขนกว้างให้เล็กลง
สาวๆ หลายคนมักเผชิญกับผิวหน้ามันแถมยังมาพร้อมปัญหารูขุมขนกว้างอีกด้วย แต่คุณสามารถคั้นน้ำมะเขือเทศสดผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย แล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที เสร็จแล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง รับรองได้เลยว่ารูขุมขนจะค่อยๆ เล็กลง ผิวหน้าก็กระชับยืดหยุ่นมากขึ้น แถมยังขาวกระจ่างใสมากขึ้นอีกด้วย

2. รักษาสิว
เนื่องจากมะเขือเทศมีวิตามินเอและวิตามินซีสูง จึงสามารถรักษาสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ เพียงผ่ามะเขือเทศออกครึ่งแล้วนำมาถูวนให้ทั่วผิวหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำเย็นจัด หมั่นทำเป็นประจำ เพียงเท่านี้สิวก็จะค่อยๆ หายไปแถมยังรักษารอยสิวให้จางลงได้ด้วย

3. ลดเลือนความหมองคล้ำ
ใบหน้าที่หมองคล้ำไม่สดใส สามารถนำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นใหญ่แล้วคลุกน้ำตาลทราย จากนั้นนำมาขัดผิวอย่างอ่อนโยนให้ทั่ว เป็นการสครับผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วให้หลุดออก ความหมองคล้ำก็จะจางหายไป ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือผิวหน้าอันกระจ่างใสผุดผ่องนั่นเอง สูตรนี้แนะนำให้ทำสัปดาห์ละประมาณ 2 ครั้งค่ะ

4. คืนความเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
คืนความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้าง่ายๆ ด้วยการนำมะเขือเทศมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต จากนั้นนำมาพอกหน้าให้ทั่วแล้วปล่อยทิ้งไว้ 30 นาที ทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ รับรองผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งอย่างสังเกตได้แน่นอน เพราะมะเขือเทศมีคุณสมบัติที่สามารถล้างพิษต่างๆ ที่ปะปนอยู่ในผิวให้หลุดออกไปได้ ในขณะที่โยเกิร์ตจะทำหน้าที่บำรุงและฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาแข็งแรง สดใส สูตรนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาวๆ ที่มักเผชิญฝุ่นควันหรือมลพิษต่างๆ ในระหว่างวันจนสภาพผิวหน้าร่วงโรยและอ่อนล้า

5. ชะลอริ้วรอย
ปอกเปลือกมะเขือเทศออกให้หมดแล้วนำเอาน้ำและเนื้อของมะเขือเทศมาผสมรวมกันกับแป้งกรัม คนจนส่วนผสมเป็นเนื้อเหลวๆ แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่วปล่อยทิ้งไว้จนแห้ง จึงล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำเย็น อยากมีใบหน้านุ่มนวลและไร้ริ้วรอย อย่าลืมทำสูตรนี้เป็นประจำนะคะสาวๆ

6. เยียวยาผิวไหม้จากแดด
คุณรู้ไหมว่ามะเขือเทศนั้นมีสารไลโคปีนที่สามารถปกป้องผิวให้ห่างไกลจากรังสียูวีได้ด้วย และหากผิวมีปัญหาไหม้แดดจนมีอาการแสบร้อน ก็สามารถคั้นเอาน้ำมะเขือเทศมาผสมกับนมเปรี้ยวจากนั้นนำไปทาผิวที่ไหม้แดดได้เลยค่ะ ปล่อยทิ้งไว้สัก 20-30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด รับรองมันจะช่วยปลุกฟื้นผิวให้กลับมามีสุขภาพดีขึ้นดังเดิมได้เร็วแน่นอน

7. แก้ปัญหาหน้ามัน
คั้นน้ำมะเขือเทศสดแล้วใช้สำลีชุบให้ชุ่มมาทาผิวหน้าเป็นประจำทุกวันค่ะ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถช่วยขจัดความมันบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว แถมสาวๆ ยังได้ผิวหน้าที่กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นด้วย

เพราะสุขภาพผิวเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจ ใครว่าใช่จะมีแต่เรื่องสุขภาพกายภายในเท่านั้นจริงมั้ยละคะ ดังนั้น สำหรับสาวๆ คนไหนที่อยากมีผิวพรรณสวยครบวงจรตั้งแต่ภายในจรดภายนอก อย่าลืมหันมาใส่ใจกินมะเขือเทศหรือน้ำมะเขือเทศเป็นประจำ พร้อมกับหมั่นพอกผิวตามสูตรต่างๆ

ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kaewsaiidea.com/

4 วิธีดูแลสุขภาพสมอง .. ให้สดใสอยู่เสมอ

bb1

พบว่า .. ปัจจุบันคนเราหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น วันนี้มีบทความ “เทคนิคการดูแลสุขภาพสมอง (Technique to treat your brain)” มาฝากค่ะ  เพื่อยืดอายุสมองของเราให้ดีวันดีคืนตลอดไป

1. ทานโปรตีนจากปลาทะเลลึก
ลองเปลี่ยนการรับประทานเนื้อหมู หรือวัว หรือสัตว์ใหญ่ มาเป็นการรับประทานโปรตีนจากปลาทะเลลึกกัน อาทิ ปลาทู กลาแซลมอน ปลาทูน่าเป็นต้น ปลาเหล่านี้จะมีสาระสำคัญสองตัว คือ DHA และ RNA อันมีส่วนสำคัญในการเป็นอาหารสมอง คุณไม่มีทางมีสมองที่คิดได้ดีไปกว่าสมองที่มีสารอาหารไปหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพออยู่เสมอ

2. ฝึกการหายใจและสมาธิ
ฝึกการหายใจของคุณ โดยการหายใจเข้าออกอย่างช้ายาว ๆ หลายครั้ง หรือเรียกว่า ทำสมาธิ เพื่อให้ประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ในการฝึกการลำดับความคิดในสมอง และควรทำเป็นประจำทุกวัน

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ และลดจำนวนครั้งในการป่วยในแต่ละปีได้อย่างมาก นอกจากนี้ยังทำให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

4. อาหารเสริมช่วยคุณได้
หากยังรู้สึกว่ารับประทานอาหาร เพื่อเพิ่มพลังสมองไม่เพียงพอ สามารถมองหาอาหารเสริม อาทิ  น้ำมันปลา   เพื่อมาใช้ในการดูแลสุขภาพ ด้วยการรับประทานอาหารเสริมจะช่วยให้มีมิติการคิดที่ลึก  และซับซ้อนมากกว่าใคร

 

นำเคล็ดลับ 4 ประการนี้ไปปรับใช้
จะช่วยให้คุณมีพลังสมองเหนือใคร ๆ  ลองนำไปทำดูนะค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.insurancecoverageblog.com

 

ไม่ชอบดื่มน้ำ ถึงตายได้เชียว เสี่ยงกับโรคร้าย

ใครทำงานเพลิน ๆ  แล้วดื่มน้ำน้อย
ถ้าบางคนทำงานจนลืมแม้กระทั่งการดื่มน้ำ  ต้องระวังนะค่ะ
6 โรคร้ายที่จะตามมา เมื่อเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ
คือ สมองเสื่อม ริดสีดวงทวาร ปวดข้อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อ้วน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ
มีรายละเอียดที่แชร์ของเค้ามา ลองอ่านดูได้นะ

bb1

1. สมองเสื่อม

ใครจะไปเชื่อว่าแค่ดื่มน้ำน้อย ก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมได้ เพราะเมื่อร่างกายของเราขาดน้ำ ปริมาณของน้ำในร่างกายไม่เพียงพอในการเป็นส่วนหนึ่งของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกาย เมื่อเลือดมีความข้นหนืดมากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงที่สมองได้เพียงพอ

จึงอาจเป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นหากคุณรู้สึกไม่สดชื่น เนือย ๆ คิดอะไรช้า ไม่กระฉับกระเฉง อึน ๆ มึน ๆ นั่นอาจเป็นผลมาจากแค่การ “ดื่มน้ำน้อยเกินไป” ก็ได้นะ

2. ริดสีดวงทวาร

แน่นอนที่สุดว่าหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลไปถึงการย่อยในกระเพาะอาหารที่ทำได้ยากลำบากมากขึ้น และลำไส้ที่แห้ง อาจทำให้เราไม่สามารถขับอุจจาระออกมาได้ เพราะอุจจาระอาจแห้งเกินไป เมื่อของเสียสะสมอยู่ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายไปอีก ยิ่งทำให้เลือดมีของเสีย และข้นหนืดกว่าเดิม อุจจาระก็แข็งแห้งกว่าเดิม จนเกิดเป็นอาการท้องผูก และท้ายที่สุดลงเอยด้วยโรคริดสีดวงทวารนั่นเอง

มีคำแนะนำว่า “ตื่นเช้ามา” ก่อนทำอะไรก็ดื่มน้ำซะขวดนึง

3. ปวดข้อ

เชื่อหรือไม่ ว่ากระดูกอ่อนในหลายๆ ส่วนของร่างกาย รวมไปถึงหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ และเกิดอาการผิดปกติได้ง่าย มีส่วนประกอบเป็นน้ำมากถึง 80% ดังนั้นหากข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกแห้ง ไม่ชุ่มชื้นเพียงพอ อาจทำให้ข้อต่อต่างๆ ดูดซับแรงกระแทกได้ไม่ดีพอ จนเกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย หรืออาจอักเสบได้ง่ายเมื่อต้องออกแรงเดิน ยก เหวี่ยง หรือแม้แต่ตอนออกกำลังกาย และยกน้ำหนัก

4. ทางเดินปัสสาวะอักเสบ / กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

หากคุณมีอาการปวดปัสสาวะ แต่ไม่มีปัสสาวะไหลออกมา หรือไหลออกเพียงหยดสองหยด คุณอาจกำลังเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อันเนื่องมาจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การติดเชื้อ และการกลั้นปัสสาวะนานๆ

5. อ้วน

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหากคุณดื่มน้ำน้อย เป็นสาเหตุที่อาจทำไปสู่โรคอ้วนได้ เพราะหากคุณดื่มน้ำอย่างเพียงพอในตอนเช้า ระหว่างมื้อกลางวัน และตอนเย็น หรืออาจดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนทานอาหาร คุณจะพบว่าคุณอิ่มง่ายอิ่มเร็วกว่าการทานอาหารโดยไม่ดื่มน้ำเลย ยิ่งถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่กินจุอยู่แล้ว แล้วยิ่งไม่ดื่มน้ำอีก ด้วยความหิวหรือความอยากอาหาร คุณอาจทานเพลินจนน้ำหนักขึ้นได้ง่ายๆ

6. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

ประจำเดือนของคุณผู้หญิงเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพได้ดีอีกอย่างหนึ่ง หากคุณพบว่าคุณมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ ขาดๆ หายๆ มีน้ำเกินไป มีสีเข้มเกินไป มาเป็นลิ่มเลือด หรือแม้กระทั่งปวดท้องประจำเดือนมาก สาเหตุสำคัญที่คุณอาจละเลยอาจมาจากการดื่มน้ำน้อยก็เป็นได้ เพราะเมื่อน้ำในร่างกายมีปริมาณไม่เพียงพอ ร่างกายจึงไม่สามารถนำน้ำไปสร้างเป็นประจำเดือนได้นั่นเอง

3  สัญญาณของคนดื่มน้ำน้อย

หากไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นคนดื่มน้ำน้อยหรือไม่ ให้สังเกตได้จาก

 

1. ปัสสาวะไม่ถึง 4-7 ครั้งต่อวัน
2. ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มแทบทุกครั้ง
3. ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนจัด

 

แค่ดื่มน้ำน้อยก็ส่งผลเสียถึงร่างกายได้มากมายขนาดนี้ นี่ยังไม่รวมถึงผลเสียด้านผิวพรรณที่หย่อยคล้อย หมองคล้ำ ผิวแห้ง ตาแห้ง และดูแก่กว่าวัยอีกนะ สาวๆ ได้ยินแล้วคงกรี๊ดเลยสิ

เพราะฉะนั้นหากใครมีอาการตามสัญญาณของคนดื่มน้ำน้อยดังกล่าว ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นให้ได้ราวๆ 1,500-2,000 มิลลิลิตรต่อวัน หรือ 6-8 แก้วต่อวัน หรือถ้ากลัวลืมก็เอาขวดลิตรมาตั้งไว้บนโต๊ะ 1 ขวด แล้วเตือนตัวเองว่าต้องดื่มให้หมด ทำงานจิบไป เข้าห้องประชุมก็ถือแก้วน้ำเข้าไปด้วย รับรองว่าหากทำได้ร่างกายของคุณจะไม่ขาดน้ำอีกต่อไป

หมายเหตุ – หากคุณดื่มน้ำไม่ถึง 6-8 แก้ว แต่ไม่มีอาการที่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณของคนดื่มน้ำน้อย อาจเป็นเพราะคุณดื่มเครื่องดื่ม หรือทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากพออยู่แล้ว จึงอาจไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้วต่อวันค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม “น้ำเปล่า” ก็ยังสำคัญต่อร่างกาย อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าบ้างนะคะ

digi2

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก สสส และ   http://health.sanook.com/4557/

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วัยซน คนการ์ตูน Bakuman (2016)

ตอนจบของ คนการ์ตูน Bakuman (2016)
พูดถึงการหลับตลอดระหว่างเรียนปีสุดท้ายของมัธยมปลาย
เพราะช่วงนั้นใช้ชีวิตเป็นนักเขียนการ์ตูน
ให้กับนิตยสารการ์ตูน “โชเน็งจัมป์
เคยขึ้นอันดับ 1 จากผลโหวตของผู้อ่าน
แล้วก็โดนเด้งออกมาจากนิตยสาร
ต่อไปก็จะตกงานสักพัก ไม่ได้พูดถึงการเรียนต่อ
แล้วคิดจะเขียนการ์ตูนเรื่องใหม่เสนอนิตยสารอีกรอบ

ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้สนใจระบบการศึกษา
แต่สนใจการวาดการ์ตูนเพื่อเลี้ยงชีพ

การแสดงของทีม AFS (At First Sight) เต้นประกอบเพลง Right Now ใน Abum : Rihanna

เต้นประกอบเพลงในงานแนะแนวนักเรียน
เต้นประกอบเพลงในงานแนะแนวนักเรียน (ภาพโดยนิเวศน์ อินติ๊บ)

การแสดงของทีม AFS (At First Sight)
เต้นประกอบเพลง Right Now ใน Abum : Rihanna
ในโครงการพัฒนาการจัดการศึกษาพื้นฐานของครูและนักเรียนผ่านแนวทางค้นหาตัวตน
เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น ลำปาง

Smartphone :  i-mobile iq big 2
Price : 3990
Back Camera : 12 Megapixels
Song : Right now
Singer : Rihanna
Lyric :

https://www.youtube.com/watch?v=fh2M9j4nfN8

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

Baby tonight I need you
And I feel it when I see you
Wherever you wanna go
Whenever baby I’m yours

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

So close I can taste you
Ain’t scared I can take you
Can’t fight the feeling
Can you feel me?
You got me feel it

Something you wanted to do all your life
There’s no more waiting ‒ tonight is the night
And we can’t be wrong, not if it feels this right
Turn it up, scream it loud, yeah.

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

Tomorrow’s way too far away
And we can’t get back yesterday
But we young right now
We got right now
So get up right now
‘Cause all we got is right now

https://www.facebook.com/photo.php?fbid=976023865877719&set=oa.1241182539280947&type=3&theater

ความดันโลหิตต่ำ…ต้องอ่านด่วน

Omron : digital blood pressure monitor
Omron : digital blood pressure monitor

คนที่บ้านเป็นลม วัดความดันพบว่าต่ำ จึงไปหาหมอ
(ไม่เกี่ยวอะไรกับความดันทุรังนะครับ)

16 ก.ย.59 หมอแนะนำว่าให้ออกกำลังกาย
ให้ยาลดความเครียด
แนะนำให้ออกกำลังกาย
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ติดราวในห้องน้ำ เวลาเป็นลมจะได้มีที่เกาะ

จากนั้นก็ไปค้นข้อมูลเก็บไว้อ่าน ดังนี้

ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) คือ การที่ความดันโลหิตลดลงอย่างกระทันหันอาจเกิดเนื่องมาจากหัวใจล้มเหลว ที่จะรักษาระดับความดันไว้ได้ หรือเกิดจากการขาดของเหลวไหลเวียนอย่างรุนแรงในระบบหมุนเวียนโลหิต

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความดันต่ำ คือ การอดอาหารเป็นเวลานาน ๆ การใช้ยาระงับประสาทบางชนิด การเสียเลือดมากกว่าปกติ และความผิดปกติในการขับถ่าย ความดันต่ำไม่เป็นอันตรายก็จริง แต่ก็คงจะทำให้เป็นคนอ่อนแอ ไม่มีแรง ปวดหัวเวียนหัวอยู่ตลอดเวลา ทำงานที่ออกแรงไม่ได้ เป็นต้น

ความดันโลหิตโดยทั่วไปสำหรับผู้ ใหญ่
ถ้าเกิน 140/90 ถือว่าเป็นความดันโลหิตสูงเกินควร
ถ้าต่ำกว่า 100/60 ถือว่าต่ำเกินควร
ตัวเลขเหล่านี้เราจะรู้ได้จากการวัดด้วยเครื่องวัดความดันโลหิต (Sphygmomanometer) ซึ่งจะเป็นเครื่องวัดที่ต้องใช้หูฟัง (Stethoscope) หรือจะเป็นเครื่องวัดอัตโนมัติแบบที่เรียกว่าดิจิตอลก็ได้
(Omron : digital blood pressure monitor)

ความดันโลหิตต่ำเกิดขึ้นได้จากต้นตอ 2  ประการ คือ

1.  จากระบบบางอย่างของร่างกายบกพร่องมาตั้งแต่เกิด
2. เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเฉพาะหน้าบางประการ สาเหตุบางอย่างจากระบบบกพร่องนั้น ได้แก่  คนที่โลหิตจางหรือเลือดน้อย   ปริมาณรวมของเลือดต่ำและผนังของเส้นเลือดและการปั๊มของหัวใจผิดปกติ

อันตรายร้ายแรงจากระบบบกพร่องนั้น   จะไม่ค่อยมี แต่ผู้ที่ความดันโลหิตต่ำมักจะ เป็นคนที่ไม่มีแรง   เวียนหัว   หัวหมุน   และคลื่นไส้อาเจียนได้ง่าย ทำงานหนักไม่ค่อยจะได้   เหนื่อยง่าย
ส่วนที่ความดันโลหิตต่ำเพราะมีโรคภัยเฉพาะหน้าเกิดขึ้นนั้น    อาจจะเกิดขึ้นเพราะโลหิตจางแบบเฉียบพลัน    ซึ่งสาเหตุอาจจะเป็นเพราะอุบัติเหตุเสียเลือดมาก หรือมีสิ่งที่เป็นท้อกซินมากเข้าสู่ร่างกายอย่างกะทันหัน หรือต้องรับยาเคมีบางอย่าง   เช่น   ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งต้องรับเคมีบำบัด   และต้องใช้รังสีบำบัด เป็นต้นความดันต่ำกว่าปกติสามารถก่อผลเสียอย่างทันทีได้มากมาย   เนื่องจากอวัยวะสำคัญหลายชนิดต้องการเลือดและความดันเลือดในระดับหนึ่ง  จึงจะทำหน้าที่ได้ดี    เมื่อความดันต่ำลงมาก  อวัยวะต่างๆ   ก็จะเริ่มหยุดทำงานที่สำคัญๆ   ได้แก่ ไต ตับ หัวใจ สมอง     โดยเฉพาะสมองที่จะก่อให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมหมดสติ     และในที่สุดอาจจะเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้แก้ไขสาเหตุของความดันต่ำ อาการนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Shock

สาเหตุที่พบแบ่งตามลักษณะการเกิดและการรักษา
1. Hypovolumic shock ช๊อคความดันต่ำจากการเสียเลือดหรือเสียน้ำจากร่างกายมากๆ พบในอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อบางอย่าง(ท้องร่วง)
2. Distributive shock  เกิดช๊อคความดันต่ำจากการที่เส้นเลือดทั่วร่างกายขยายตัว   จนปริมาณเลือดในร่างกายดูเหมือนมีน้อยลง  (เมื่อเทียบกับพื้นที่ๆเพิ่มขึ้น)   พบในการแพ้อาหารยาแมลง   การกระทบกระเทือนทางระบบประสาทอย่างรุนแรง   และการติดเชื้อในกระแสโลหิต

3. Cardiogenic shock   ความดันต่ำช๊อคจากการที่หัวใจทำงานแย่ลง พอตัวปั๊มเลือดทำงานแย่ ความดันเลือดก็ลดลง พวกนี้เจอในโรคหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายทั้งหลาย

สามตัวนี้ ถ้าปล่อยไว้ ตาย… (บางทีรักษาไม่ไหวก็ตาย)
Symptomatic hypotension อื่นๆ ได้แก่โรคหรือภาวะใดๆที่ทำให้ร่างกายเกิดความดันต่ำขึ้นชั่วขณะ มีหลายๆตัว อันตรายบ้างไม่อันตรายบ้าง แต่อาการที่ตรงกันก็คือจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม เหงื่อแตก ใจเต้นเร็ว หมดสติหรือเกือบหมดสติ
วิธีแก้    สำหรับผู้ที่มีโรคภัยเฉพาะหน้าก่อน
ถ้าจะให้รู้ว่าเพราะโลหิตจางหรือไม่   คงจะต้องตรวจเลือดก่อนแล้วดูที่ปริมาณเม็ดเลือดขาวก่อนเป็นตัวแรกต่อจากนั้นให้ดูที่เฮโมโกลบิน   (ตัวที่รับเอาออกซิเจนเข้าไว้ในเลือด)   แล้วดูเฮมาโตคริต   (เปอร์เซ็นต์ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมด)ถ้าชนิดของเลือดเหล่านี้ต่ำกว่าเกณฑ์จะค่อนข้างแน่ใจว่าโลหิตจาง   และถ้าวัดความดันโลหิตว่าต่ำกว่าเกณฑ์ก็ต้องให้เลือดเป็นการด่วน แต่การปฏิบัติเช่นนี้เป็นหน้าที่ของแพทย์ทำเองไม่ได้ เมื่อแก้อาการโลหิตจางตามนี้ได้แล้ว ความดันโลหิตของคุณน่าจะขึ้นมาได้อยู่ในระดับปกติ

แต่อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเฝ้าดูเป็นพิเศษ คือ การที่คุณโลหิตจางนั้นเกิดจากการเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ เลือดออกภายในนี้อาจจะเป็นที่แผลในกระเพาะหรือลำไส้ คุณรับประทานอะไรเข้าไปเป็นกรดหรือย่อยไม่หมด ก็จะทำให้แผลภายในเลือดออกไม่หยุด อย่างนี้อันตรายแบบเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำอย่างแน่นอนฉะนั้น อย่าวางใจถ้าความดันโลหิตต่ำจนหมดแรงจะเป็นลม แต่ไม่พบอาการผิดปกติอย่างอื่นให้ดูให้แน่ว่ามีเลือดออกภายในร่างกายหรือไม่ รีบส่งโรงพยาบาลด่วน    โรคเฉพาะหน้าที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำอีกอย่างหนึ่งและไม่ค่อยมีใครสังเกตพบ ก็คือ ผู้ที่เป็นหวัดอย่างแรง หรือไปติดเชื้อหวัดใหญ่มา ความดันโลหิตมักจะต่ำ แต่ก็ไม่มีใครค่อยสังเกต เพราะถ้าใครเป็นหวัดใหญ่ ก็มักจะให้คนไข้นอนพัก ให้ยาแก้ไข้ ให้อาหารบำรุงไม่กี่วันก็จะหายแต่ข้อสังเกต ถ้ามีโอกาสตรวจความดันโลหิตและปรากฏว่าเป็นความดันต่ำแล้วละก็ รีบให้ยาบำรุงเลือดด้วย

คำแนะนำเพื่อช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตต่ำ
1. ดื่มชาโสม ชาโสมจะมีประโยชน์ในกรณีอ่อนเพลีย
2. ดื่มชาขิง ชาขิงจะช่วยกระตุ้นและสนับสนุนระบบหมุนเวียนโลหิต
3. การพักผ่อนนอนหลับให้สนิทและมากๆ มีความจำเป็นเพราะการนอนไม่หลับจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ
4. รับประทานผลไม้เพื่อให้ได้วิตามิน
5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ


ถ้ามีปัญหาเรื่องขาดอาหาร ก็ควรให้สารอาหารชดเชย เช่น
– กรดโฟลิคจากน้ำผึ้งช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
– กรดอะมิโนในสาหร่ายเกลียวทองเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผนังเส้นเลือดและระบบประสาทอัตโนมัติ
– วิตามิน เกลือแร่ ในว่านหางจระเข้ช่วยให้เกิดสมดุลของความดันโลหิต
– วิตามินซี ช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยม ธาตุเหล็กและกระบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย
– วิตามินอีในเมล็ดทานตะวันช่วยลดการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง
การแก้ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำโดยทั่วไป
1.  แก้ด้วยอาหาร ควรจะให้อาหารที่เพิ่มโปรตีน ให้มากๆ สำหรับท่านที่กินอาหารชีวจิตอยู่แล้ว เราให้กินโปรตีนทั้งจากพืชและจากเนื้อสัตว์ได้ จากพืชก็คือ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วดำ ถั่วแดง และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร เป็นต้น และเราให้กินปลาหรืออาหารทะเลได้ อาทิตย์ละ 2 ครั้งอาจจะเพิ่มปลาได้เป็นอาทิตย์ละสัก 3 ครั้ง และถั่ว-เต้าหู้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 25% แทนที่จะเป็น 15%

2.  กินวิตามิน B COMPLEX 100 มก. เป็นประจำวันละ 1 เม็ด และให้แถม B1 100 มก.และ B12 500 ไมโครแกรม อีกอย่างละเม็ด

3.  แคลเซียม 1,000 มก. และโปแตสเซียม 500 มก. กินประมาณ 1 เดือน เว้น 1 เดือน

4. วิตามิน E 400 IU. วันละ 1 เม็ด

5. ขอให้ออกกำลังกายเบาๆก่อน ใช้วิธีรำตะบองแบบชีวจิตจะดีที่สุด แรกใช้
แต่ละท่า ประมาณ 20 ครั้ง เมื่อรู้สึกดีแล้ว ให้เพิ่มเป็นท่าละ 3 ครั้ง

6. ใช้หัวแม่มือนวดเบาๆ บริเวณกลาง หน้าอกแล้วเลื่อนไปที่บริเวณใกล้รักแร้สองข้าง
—————————–
แหล่งข้อมูล:จาก..  คอลัมน์ชีวจิต หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/134141
https://en.wikipedia.org/wiki/Hypotension
http://med.mahidol.ac.th/ramachannel/index.php/knowforhealth-20140914-3/
http://www.thaihealth.or.th/node/17259
+ http://www.thailabonline.com/sec31hypo.htm