ปัญหาหมอกควันทำให้ฝุ่นละอองเพิ่ม

วิจัย ชี้ ปัญหาหมอกควันที่ทำให้ฝุ่นละอองเพิ่มขึ้น ทำให้ 9 จังหวัดภาคเหนือพบสารก่อมะเร็ง 15 ชนิด เทียบเท่าสูบบุหรี่ 75 มวนต่อเดือน

หมอกควัน
หมอกควัน

เมื่อวานนี้ (5 เมษายน) นายศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ เปิดเผยว่า ผลวิจัยความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน ในชั้นบรรยากาศช่วงวิกฤติหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน มีความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อนำช่วงปลายปี 2555 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติ มาเทียบกับต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเกิดวิกฤติพอดี โดยจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน เป็นจังหวัดที่มีประมาณฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นมากที่สุด ร้อยละ 513 และ 509 ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดได้แก่ เชียงใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 87

นายศิวัช กล่าวอีกว่า ในการตรวจความเข้มข้นของสารก่อมะเร็งในฝุ่นละออง พบว่า มีสารก่อมะเร็งสำคัญถึง 15 ชนิด อาทิ เบนโซไพรีน ที่มีความรุนแรงเทียบเท่าการสูบบุหรี่ 75 มวนต่อเดือน เป็นต้น ขณะที่ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งทั่วไปอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนจังหวัดที่มีสารก่อมะเร็งมากที่สุดคือ แม่ฮ่องสอน อยู่ที่ 3,864 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาคือ ลำพูน 866 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วน แพร่ มีสารก่อมะเร็งต่ำสุดที่ 54 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ ระบุอีกว่า ดังนั้นทางภาครัฐจึงต้องรณรงค์หยุดการเผาป่า หรือเพิ่มโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนมากขึ้น มิเช่นนั้นประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้

http://health.kapook.com/view60063.html

ข้อดีของคุณพ่อเลี้ยงลูก

เมื่อพูดถึงการเลี้ยงลูกใครๆ ก็นึกถึงคนเป็นแม่ แต่วันนี้เรามีข้อดีของคุณพ่อในการช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยมาฝากกัน แล้วคุณจะต้องประหลาดใจว่าในมุมการเลี้ยงลูกของคุณพ่อก็มีข้อดีมากมายแฝงอยู่

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

1.คุณพ่อกล้าปล่อยให้ลูกได้เสี่ยงมากกว่า

ความเป็นแม่ ด้วยความใกล้ชิดที่ดูแลกันมาตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ มักทำให้ปกป้องลูกน้อยมากจนเกินไป แต่บางครั้งเด็กๆ ก็ต้องการการเรียนรู้จากความผิดพลาดบ้าง อย่างการหกล้ม หรือทำบางสิ่งไม่สำเร็จ เพื่อให้รู้จักระมัดระวังตัวต่อไป และบ่อยครั้งความกล้านี้จำเป็นต้องอาศัยคุณพ่อที่จะกล้าปล่อยให้เจ้าตัวน้อย ลองผจญภัยดูบ้าง คุณแม่จึงควรปล่อยวาง ไม่ดุคุณพ่อที่ปล่อยให้ลูกน้อยได้ลองด้วยตัวเอง ตราบใดที่คุณพ่อคอยจับตาดูอย่างเหมาะสม

2.คุณพ่อมักมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าเชื่อผู้เชี่ยวชาญ

ความพยายามที่จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด มักทำให้คุณแม่เกาะติดตำรา และคำแนะนำต่างๆ แต่อย่าลืมว่าเด็กทุกคนก็ไม่ได้เหมือนกันแม้แต่ในเรื่องพัฒนาการ คนที่จะรู้เกี่ยวกับลูกของคุณดีที่สุดก็คือคนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดอย่างคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง และความมั่นใจในตัวเอง หรือเชื่อในสัญชาตญาณของคุณพ่อก็จำเป็นในกรณีที่จะช่วยทัดทานคุณแม่ได้ในเรื่องนี้

3.คุณพ่อมักไม่สนใจเรื่องหยุมหยิม

ความเป็นคุณนายเจ้าระเบียบอาจทำให้คุณแม่ดูแลความเรียบร้อยไปเสียทุกเรื่อง แต่หลายๆ เรื่องก็ไม่ได้จำเป็นต้องระเบียบจัดเกินไปนัก อย่างการแต่งตัวของลูกน้อย หากเขาอยากแต่งตัวแปลกๆ หรือสีเสื้อไม่เข้ากับกางเกง กระโปรงบ้าง ก็ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด แถมยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจในตัวเองให้ลูกน้อยมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเองอีกด้วย ซึ่งความกล้าที่จะปล่อยให้ลูกน้อยเป็นตัวของตัวเองนี้ คุณพ่อมักเป็นฝ่ายที่ยืดหยุ่นมากกว่า

4.คุณพ่อมีความเป็นเด็กสูงนะ

ลูกน้อยไม่ได้ต้องการคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น แต่เขายังต้องการเพื่อนเล่นด้วย แต่การเล่นแบบเด็ก ๆ ต้องการการเลอะเทอะบ้างเป็นครั้งคราว ฝ่ายคุณแม่ซึ่งขี้อายกว่า เจ้าระเบียบกว่า อาจทำได้ยากกว่าฝ่ายคุณพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นในจินตนาการ หรือเล่นซน การที่พ่อลงมาคลุกคลีตีโมง เล่นหัวกับเขา นอกจากจะช่วยเพิ่มความสนิทสนมแล้ว ยังช่วยให้ลูกมีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองต่อไปด้วย

5.คุณพ่อปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เมื่อได้ยินเสียงลูกร้องไห้ คุณแม่มักเป็นคนแรกที่จะพุ่งเข้าไปหาเสมอ แม้อาบน้ำอยู่ก็ถึงกับออกจากห้องน้ำทีเดียว แต่ฝ่ายคุณพ่อมักจะใจเย็นกว่า และปล่อยให้ลูกร้องไห้ได้ จนอาจทำให้คุณแม่หงุดหงิดได้ ซึ่งอันที่จริงบางครั้งการปล่อยให้เด็กๆ ได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองบ้างก็เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเติบโตต่อไป

6.คุณพ่อใจเย็นแม้ในสถานการณ์ชวนหงุดหงิด

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเจ้าตัวน้อยไม่อยากอาบน้ำ และร้องไห้โวยวาย คุณแม่อาจรู้สึกหงุดหงิด แต่บ่อยครั้งคุณพ่อมักเป็นฝ่ายที่ใจเย็นพอและยืดหยุ่นได้มากกว่า ฉะนั้นเมื่อจะต้องรับมือกับเจ้าตัวน้อย ปล่อยให้คุณพ่อเป็นฝ่ายจัดการบ้างก็ได้ค่ะ

เห็นข้อดีของการให้คุณพ่อได้เลี้ยงลูกอย่างนี้ หวังว่าจะช่วยให้เหล่าคุณพ่อมั่นใจที่จะช่วยคุณแม่ดูแลเจ้าตัวน้อยมากขึ้นนะคะ

อ้างอิงบางส่วนจาก parenting.com

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000031222

ห่างไกลโรคมะเร็ง ด้วย 11 วิธี

โดย: ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าโรคมะเร็งเป็นโรคที่ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม นอกจากนี้ปัจจัยของการเกิดโรคมะเร็งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

โรคมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยไปแล้วถึงปีละ 6 หมื่นกว่าคน ดังนั้นวันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอวิธีการดำเนินชีวิตง่ายๆ ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ดังนี้
1. ดื่มน้ำที่สะอาด การลดสารที่ก่อตัวทำให้เกิดโรคมะเร็งวิธีหนึ่ง คือการดื่มน้ำที่สะอาด จากการศึกษาที่เพิ่มค้นพบใหม่จากสถิติของสถาบันมะเร็งพบว่าการดื่มน้ำสะอาดจากเครื่องกรองจะดีกว่าการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่มีคุณภาพน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน และจากการศึกษาของสมาคมสิ่งแวดล้อมพบว่าการเก็บรักษาน้ำในเหยือกแก้ว หรือภาชนะสเตนเลส จะดีกว่าการเก็บรักษาในภาชนะพลาสติก

2. พยายามหลีกเลี่ยงการสูดดมหรือสัมผัสก๊าซขณะเติมน้ำมันรถ เพราะสารพิษที่อยู่ในอากาศสามารถเข้าสู่ปอดและหากกระเด็นสู่ผิวหนังจะทำให้เกิดมะเร็งได้

3. การหมักเนื้อสัตว์ก่อนการปรุงอาหาร การทำอาหารประเภทปิ้งย่างนั้นหากไหม้หรือมีเศษสีดำของการเผาของถ่านติดอยู่จะทำให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นหากจะทำการปิ้งย่างอาหาร งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Kansas พบว่าการหมักเนื้อสัตว์เหล่านั้นก่อนการปิ้งย่างอย่างน้อยประมาณ 1 ชั่วโมงสามารถลดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่างเผาได้ถึง 87%

4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำอย่างพอเพียงสามารถลดความเข้มข้นของการขับถ่ายปัสสาวะได้และลดมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นกับกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันหรือให้ปริมาณปัสสาวะมีสีเจือจางเมื่อขับถ่ายทุกครั้ง

5. รับประทานผักผลไม้สีเขียว เพราะสารแมกนีเซียมจากพืช ผักสีเขียวช่วยลดมะเร็งลำไส้ได้โดยเฉพาะสุภาพสตรี อีกทั้งการได้รับสารแมกนีเซียมที่เพียงพอ จะช่วยให้เซลล์ในร่างกายทำงานอย่างปกติ การรับประทานผักขมครึ่งถ้วยต่อวันให้ปริมาณแมกนิเซียม 75 มิลลิกรัม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ออกกำลังกายลดการเกิดมะเร็งเต้านม การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเผาผลาญไขมัน ดังนั้นการออกกำลังกายโดยการเดินเร็วอย่างน้อย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยลดการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 18%

7. ลดการส่งเสื้อผ้าไปซักแห้ง จากการวิจัยของ National Academies of Science เมื่อต้นปี 2010 ระบุว่าการซักแห้งหรือซักน้ำมันโดยสาร perc (perchloroethylene) จะมีผลให้เกิดการก่อสารมะเร็งต่อปอด ไตและตับได้เมื่อสูดดมเป็นเวลานาน ดังนั้นการใช้สารซักแห้ง ซักน้ำมันที่ทำให้ผ้าเรียบอาจไม่ปลอดภัยอีกแล้ว

8. ลดการใช้ปริมาณสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารฟอกขาว สารเคมีในการขัดห้องน้ำ สารขจัดคราบสกปรกต่างๆ เพราะหากใช้สารเหล่านั้นเป็นเวลานาน การสูดดมหรือสัมผัสจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ การทำความสะอาดห้องน้ำโดยใช้น้ำส้มสายชูก็เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีไม่น้อย

9. หลีกเลี่ยงการผ่านสารรังสี ไม่ว่าจะเป็นการฉายแสงตรวจดูมะเร็งเต้านมประจำปี การทำแมมโมแกรม เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งถึง 4-5 เท่าเลยทีเดียว การตรวจมะเร็งโดยใช้วิธีคลำหา และไม่ผ่านรังสีอาจช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกิดมะเร็งได้ดีกว่า

10. ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือโดยการแนบหูเป็นเวลานาน เนื่องจากสัญญาณโทรศัพท์มีคลื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้โทรศัพท์โดยมีอุปกรณ์เสริมจะลดผลกระทบต่อระบบประสาทและสมองได้

11. ทาโลชั่นกันแดด เนื่องจากแสงยูวี จากแสงอาทิตย์มีปริมาณมากในปัจจุบันทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังได้ ดังนั้นการทาโลชั่นกันแดดจะช่วยลดปริมาณแสงอาทิตย์ที่จะส่งผลต่อมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่ศีรษะล้าน มีผมน้อยควรทาโลชั่นกันแดดเพื่อลดปริมาณสารยูวี

นอกจากนี้การดูแลร่างกายให้ปลอดภัยจากมะเร็งยังมีอีกหลายวิธี เช่นการรับประทานอาหารที่สะอาด รับประทานข้าวขัดสีน้อยแทนข้าวขาว เสริมแคลเซียมให้เพียงพอ รวมทั้งการมีสุขภาพจิตที่แจ่มใสก็เป็นตัวช่วยที่ดี ให้เรามีชีวิตที่ปลอดจากมะเร็ง ลองศึกษาและเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่ดูนะคะ เพื่อการมีสุขภาพที่ดีจะได้อยู่เป็นที่พึ่งของลูกหลานต่อไป ผู้เขียนเป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
http://health.yahoo.net/articles/cancer/photos/20-ways-prevent-cancer#21

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040109

ตรวจเอชไอวี..เถอะ ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาได้

เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ข่าวเรื่องรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้เป็นที่ครึกโครมมาก ผู้ติดเชื้อหลายคนมีความหวัง บางรายโทรศัพท์เข้ามาหาผมเพื่อสอบถามรายละเอียด แต่ผมก็ต้องทำให้คนที่โทรมาหาผิดหวังครับ เพราะการรักษาไวรัสเอชไอวีให้ “หายขาด” นั้นอยู่บนเงื่อนไขว่า ต้องตรวจพบการติดเชื้อเอชไอวีในระยะเริ่มแรกที่นักวิจัย บอกว่าภายใน 30 วัน แต่ยิ่งรู้ว่าติดเชื้อเร็วที่สุด ก็จะให้ผลในการรักษาดีกว่า รู้ช้า โดยหลังจากตรวจพบเชื้อแล้วแพทย์จะให้กินยาสูตรเบื้องต้นทันที เหตุที่ต้องเป็นการพบเชื้อไม่เกิน 30 วัน ก็เพราะเอชไอวียังไม่เข้าไปอยู่ในเซลล์ ยังไม่ทันได้ปรับเปลี่ยนสายพันธุกรรมครับทำให้ยาต้านไวรัสสามารถควบคุมเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บอกตรงๆ ครับว่า ผมรู้สึกเห็นใจปลายสายมาก เพราะเขาดูมีความหวัง แต่พอฟังรายละเอียดที่ผมบอกแล้ว เขาก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนพูดกับผมด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า “แบบผมก็คงไม่ได้เนอะพี่ ตรวจพบเชื้อมาปีกว่าแล้ว ไม่เป็นไรพี่ ขอบคุณที่เล่ารายละเอียดให้ผมฟังครับ”

จริงๆ แล้ว ถ้าเป็นผม อ่านข่าวแวบแรกก็คงรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เหมือนผู้ติดเชื้อที่โทร.มา เพราะการพาดหัวข่าวชวนให้เข้าใจผิดจริงๆ เช่น “แพทย์ไทยสุดเจ๋งรักษา “เอดส์” หายขาด” ใครอ่านก็เข้าใจผิดครับ (และเป็นพาดหัวที่ผิดข้อเท็จจริง เนื่องจาก “เอดส์” คือภาวะการเจ็บป่วยด้วยโรคติดเชื้อฉวยโอกาสอันเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งรักษาให้หายขาดได้ การแพทย์บ้านเรารักษาเอดส์ให้หายขาดได้มานานแล้วด้วย)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการค้นพบดังกล่าวเป็นข่าวดี ถือเป็นความหวังที่จะรักษาเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มี 2 โจทยใหญ่ๆ ที่ต้องช่วยกันแก้ครับ โจทย์แรกคือจะต้องรณรงค์ให้คนเข้าใจเรื่องเอดส์ ประเมินความเสี่ยงต่อการรับเชื้อเอชไอวีของตัวเองให้ได้ และคิด ก้าวออกไปตรวจหาการติดเชื้อ ให้เร็วเพื่อที่จะควบคุมเอชไอวีก่อนที่เพิ่มจำนวน จนทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลาในการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นเวลานาน กว่าจะลดจำนวนไวรัสและกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันฟื้นฟูมาอยู่ในระดับปกติ ดังนั้นการรู้เร็วก็เพื่อจะใช้ยาต้านไวรัสกำจัดเอชไอวีให้ มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษาอย่างยิ่ง ซึ่งโครงการวิจัยที่สภากาชาดไทยทำอยู่ นั้นเริ่มจากโจทย์ที่เชื่อว่า ถ้าเรารู้การติดเชื้อให้เร็ว เริ่มรักษาเร็ว น่าจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ สูงสุดคือ กำจัดให้เชื้อเอชไอวีหมดไปได้ โดยทดลองให้ยาต้านไวรัสกับผู้ที่เพิ่งติดเชื้อ ตั้งแต่ 7-30 วัน และผลก็ออกมาอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละครับ

อีกโจทย์สำคัญคือ ขณะนี้มีเพียงคลินิกนิรนาม และศูนย์รับบริจาคโลหิตของสภากาชาด ที่มีเครื่องมือที่ไวต่อการตรวจหาเชื้อตั้งแต่ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากมีพฤติกรรมเสี่ยงก็สามารถตรวจพบเชื้อได้ แต่ใช้ในระบบการรับบริจาคโลหิตของสภากาชาดเท่านั้น สำหรับโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังใช้วิธีตรวจแบบหาสารภูมิคุ้มกัน (Antibody) ซึ่งต้องรอประมาณ 1 เดือนหลังจากไปมีความเสี่ยงมาจึงจะตรวจได้ซึ่งช้าเกินไปที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสเพื่อกำจัดเชื้อเอชไอวีออกจากร่างกายให้หมด เรื่องนี้ ผมคิดว่า รัฐต้องคิดต้องมีนโยบาย ในเรื่องนี้แล้วครับ ช้าไม่ได้ ซึ่งผมขอเสนอว่า รัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุน ลงทุนพัฒนาวิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสโดยตรง ให้มีเครื่องตรวจกระจายในแต่ละเขตสุขภาพ และสร้างเครือข่ายในการส่งเลือดโดยให้แต่ละโรงพยาบาลส่งเลือดของผู้ที่มาตรวจด้วยวิธีเดิม (Antibody) ที่มีผลเป็นลบมาตรวจซ้ำตามวิธีการตรวจที่สภากาชาดทำอยู่ เพื่อเราจะได้ค้นพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้เร็วขึ้น จะช่วยให้คน คนนั้นได้รับการรักษาได้เร็วขึ้นและเขาคนนั้น จะได้ป้องกันคู่คนต่อไปของเขา ไม่ต้องรับเชื้อจากเขาได้ แต่จะทำได้มากน้อยอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องคิดริเริ่มทำ ถ้ามั่วแต่คิดว่าไม่คุ้ม ทำไม่ได้ …เราก็ต้องเผชิญกับ อัตราการติดเชื้อที่ยังสูงอยู่ต่อไป

หากแก้ 2 โจทย์ใหญ่ข้างต้นได้ก็จะช่วยให้ปัญหาเอดส์บ้านเราลดลงได้มากครับ ที่แน่ๆ คือลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ รัฐก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสและเรื่องยาต้านไวรัส และผมคิดว่า 2 โจทย์นี้เพื่อนๆ สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยรณรงค์สร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้กับประชาชนและช่วยส่งเสียงกระทุ้งรัฐบาลให้จัดการเรื่องระบบและเครื่องไม้เครื่องมือ

ช่วยกันครับ….ช่วยกันรณรงค์ให้คนประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีให้ได้และเดินเข้ามาตรวจเลือด เพราะยิ่งรู้เร็ว ก็จะยิ่งรักษาได้ ตรวจเถอะครับ จะได้จัดการชีวิตได้ ยิ่งรู้ผลเร็วก็ยิ่งรักษาได้ผลเร็ว ครับ

หากคุณเคยมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกัน ตรวจเอชไอวีเถอะครับ…ตรวจเพื่อ (ให้ชีวิต) ก้าวต่อ

บทความโดย: นิมิตร์ เทียนอุดม

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000039255

วิธีคลายร้อน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

ร้อน… ร้อน… ร้อน… ร้อนจนอยากร้องตะโกนบอกฟ้า ให้พื้นพสุธานั้นสั่นไหว ว่า… ร้อนกว่านี้มีอีกไหม…!!!

หลังจากนายต่อศักดิ์ วานิชขจร รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า อุณหภูมิของประเทศไทยเฉลี่ยสูงสุดในปีนี้ จะสูงถึง 41 องศาเซลเซียส เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้น แถมยังจะมีพายุฤดูร้อนยาวนานถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้อีกนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ทำเอาคนไทยที่น่ารักอย่างเราๆ ถึงกลับกรี๊ด!! เพราะต้องเตรียมตัวตั้งหน้าตั้งตารับมือกับอากาศที่ร้อนจัด หรือจัดว่าร้อนตับแลบกันเลยทีเดียว

บางคน… เลือกที่จะติดแอร์ทุกห้องในบ้าน บางคน… ใส่เสื้อกล้ามทั้งวัน (หวังคลายอุณหภูมิในร่างกาย) บางคน… พกพัดลมติดตามตัว บางคน… เลือกที่จะอาบน้ำวันละหลายๆ ครั้ง มีวิธีคลายร้อนอีกหลายๆ วิธีมาให้ท่านผู้อ่านได้ทำเพื่อคลายร้อนกันค่ะ

-เดิน นั่งเล่น ทานอาหาร ห้างสรรพสินค้า ได้แอร์โดยไม่ต้องเปิดแอร์เองที่บ้าน หาเก้าอี้สาธารณะแล้วนำอาหารไปทานเองจากบ้านก็ได้ ไม่เปลืองสตังค์ มาถึงยุคนี้แล้ว ไม่ต้องอายค่ะ ทำไปก่อนค่ะ เดี๋ยวมีคนทำตามเพียบ!

-เข้าโรงหนัง ระหว่างนั่งรอหนังเข้า ก็เอามือถือมาเปิด oknation wap เล่นบล็อกซะ

-เข้าไปนั่งอ่านหนังสือ ทำงานที่ห้องสมุดที่เปิดแอร์อยู่แล้ว

-ไปนั่งพักผ่อนใต้ต้นไม้ ตามสวนสาธารณะ สถานที่คุ้นเคย มีคนรู้จักแถบนอกเมือง

-หยุดวันสองวันก็ปิดบ้านหนีร้อนไปเที่ยวน้ำตก หรือทะเลบ้าง

-อาบน้ำบ่อยๆ นอนแช่น้ำให้คลายร้อน (โดยไม่ต้องใช้เครื่องทำน้ำอุ่น)

-ทาแป้งเย็น หรือประดินสอพอง ให้ตัวลายพร้อย เปิดหน้าต่างรับลม

-เอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ชุบน้ำแช่ในช่องแข็ง หรือแช่เย็นไว้หลายๆผืน ควรหาอะไรใส่หุ้มไว้ทุกผืน ป้องกันไม่ให้ติดกัน หรือเปรอะเปื้อน เอาออกมาเช็ดหน้า เช็ดตัว พาดไว้ที่คอ คลายร้อนได้ดี

-ซื้อถาดทำน้ำแข็งไว้เยอะๆ ทำน้ำแข็งใส่ที่เก็บน้ำแข็งไว้ให้มีใช้ตลอดเวลา

-ทำน้ำเย็นใส่กระติกไว้ทาน (เหยาะน้ำยาอุทัย สักนิดให้ชื่นใจก็ได้) ใส่กระติกใบเล็กสำหรับพกออกไปนอกบ้าน ไม่ต้องไปซื้อน้ำเย็น น้ำแข็งใสที่ไหน

-ทำไอศครีมหรือหวานเย็นทานเอง จะใช้น้ำผลไม้คั้นสดๆ (คั้นด้วยมือ) ผสมน้ำผึ้ง น้ำเชื่อม เกลือนิดหน่อย หรือ ใช้น้ำแข็งทุบละเอียดใส่น้ำหวาน

-พื้นบ้านหลังจาก ถูด้วยผ้าเปียกใหม่ๆ จะรู้สึกเย็นสบาย วันนี้คุณถูบ้านหรือยัง?

-เอาผ้าชุบน้ำ หรือถุงผ้าชุบน้ำใส่น้ำแข็ง แขวนไว้หน้าพัดลม ก็เย็นเหมือนเปิดแอร์ (ถ้าขี้เกียจเดินเอาผ้าไปชุบน้ำบ่อยๆ ให้ใช้ผ้ายาวหน่อย จับปลายด้านล่างแช่น้ำ หรือน้ำแช่น้ำแข็งในถังวางไว้หน้าพัดลมเลยค่ะ)

-ทำราวแขวนผ้าในบ้าน ย้ายผ้าสะอาดๆที่หมาดแล้วมาตากในบ้าน ให้พัดลมพัดเฉี่ยวๆเอาลมเย็นมาปะทะตัวเรา

-ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากใยธรรมชาติ งดผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์

ประพรมน้ำอบน้ำหอม เครื่องหอมไทย กลิ่นหอมของสมุนไพรไทย มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบประสาท เมื่อได้กลิ่นจะทำให้มีความรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี ทำให้มีความสดชื่น … ลองทำกันดูนะค่ะ น่าจะช่วยให้คลายร้อนได้บ้าง

http://variety.mwake.net/story/191/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99.html

เมื่อเกิดอาการ “เซ็ง”

คำว่า เซ็ง เป็นคำไทยแท้ แปลว่า จืดชืด หมดรส หมดความตื่นเต้น ขาดแรงบันดาลใจ ตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่คงไม่มีใครไม่เคยพูดคำว่า เซ็ง

เบื่อ เซ็ง
เบื่อ เซ็ง

เซ็ง เป็นความรู้สึกทางจิตใจอย่างหนึ่ง เจือไปด้วยความเบื่อหน่าย บางทีก็แทรกความขับข้องใจอึดอัด มองอะไรไม่มีชีวิตชีวาเบื่อหน่ายทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังทำและกำลังเป็นอยู่ เมิอเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในใจของคนเราจะทำให้อ่อนเพลียและละเหี่ยใจ หมดเรี่ยวแรง เคร่งเครียด วิตกกังวล ต่อมาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับดูอะไรขวางหูขวางตาไปหมด หงุดหงิด ใครพูดอะไรไม่ได้ ไม่เบิกบานไม่น่าภูมมิใจ ดิฉันจึงมีข้อแนะนำให้สำหรับคนที่กำลังเครียดอยู่ดังนี้

1. อย่าเป็นคนตั้งความหวังไว้สูงเกินไป ความหวังใหม่ที่ควรเป็นไปได้มีเหตุผลที่สำคัญต้องเปลี่ยนแปลงตามเวลาและสถาณการณ์

2. ปรับปรุงให้เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะการทำอะไรพลาดแล้วโทษตัวเองทุกที ย่อมทำให้หมดกำลังใจง่ายๆ

3. พยายามทำอะไรให้เต็มที่ อย่าคอยให้คนอื่นมาช่วยอยู่ตลอดเวลา

4. ยอมรับความเป็นจริง เปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น แล้วอย่าน้อยใจตนเองที่ด้อยกว่า พยายามปรับปรุงตัวเองให้เก่งกว่าเขา อาจทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน

5. ไปเปิดหูเปิดตาในที่ไม่เคยไปที่ทำให้คุณไปแล้วมีความสุข หรือเข้าวัดไปทำสมาธิให้จิตใจสงบ

6. เตรียมตัวเตรียมใจเป็นเพื่อนความเซ็งเสียเลย รับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทำอะไรทำไป บางคนก็ทำในสิ่งที่หวังได้ดี ในขณะที่เขากำลังเซ็ง ความเซ็งเกิดจากการหมดหวังในชีวิต สิ่งที่เคยหวังไว้หลายๆอย่างในชีวิตล้มเหลว หากหมดหวังแล้วเกิดความเซ็ง สวิธีที่สามารถแก้ได้ คือคุณต้องยอมรับว่าชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์สลับกันไปตั้งความหวังที่มีทางเป็นไปได้ มีความเชื่อมั่นในตนเอง พยายามทำอะไรให้เต็มที่ ยอมรับความจริงถ้าด้อยกว่าที่ปรับปรุงให้เก่งกว่า

สิ่งเหล่านี้จะสามารถทำให้คุณพร้อมที่จะรับมือความเซ็งได้ทุกเมื่อ ลองเอาเคล็ดลับดีๆแบบนี้ไปใช้บ้างนะคะ

http://blog.eduzones.com/pocky/1779

ร้อนระอุกว่าหมื่นปีก่อนถึง 80%

นักวิทยาศาสตร์ศึกษาแกนน้ำแข็งเก็บข้อมูลอุณหภูมิโลกในอดีต (โอเรกอนสเตท)

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

นักวิทยาศาสตร์เก็บข้อมูลแกนน้ำแข็งและตะกอนดิน จาก 73 แห่งทั่วโลก แล้วย้อนหาอุณหภูมิโลกไปจนถึงปลายยุคน้ำแข็ง ซึ่งผลการวิเคราะห์เผยว่า โลกเราทุกวันนี้ร้อนขึ้นจากเมื่อ 11,300 ปีก่อนถึง 70-80%

ข้อมูลดังกล่าวเป็นผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอเรกอนสเตท (Oregon State University) และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) สหรัฐฯ ซึ่งได้ตีพิมพ์ผลงานลงวารสารไซน์ (Science) โดย EarthSky ได้รายงานเรื่องนี้และอ้างข้อมูลจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ (NSF)

ฌอน มาร์คอตต์ (Shaun Marcott) จากโอเรกอนสเตท กล่าวว่า งานวิจัยเกี่ยวกับอุณหภูมิโลกที่ผ่านๆ มานั้น ส่วนใหญ่พิจารณาแค่ช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการย้อนหาอุณหภูมิโลกไปไกลถึงลายยุคน้ำแข็งนี้ เป็นการขยายให้เห็นสถานการณ์ที่กว้างขึ้น ซึ่งเราทราบว่าโลกทุกวันนี้ร้อนกว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อน แต่ตอนนี้เราทราบด้วยว่าโลกยังร้อนกว่าเมื่อหมื่นปีก่อนมาก

ด้าน แคนแดซ เมเจอร์ (Candace Major) ผู้อำนวยการโครงการจากแผนกมหาสมุทรศาสตร์ ของมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ กล่าวว่าในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้นับเป็นความวิปริตของอุณหภูมิโลกนับแต่ปลายยุคน้ำแข็ง

“งานวิจัยนี้เผยให้เห็นการเปลี่ยนของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในช่วงไล่เลี่ยกับการเริ่มต้นปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วมากเมื่อเทียบกับช่วงประวัติศาสตร์โลกกว่า 11,000 ปีที่ผ่านมา” เมเจอร์กล่าว

สำหรับงานวิจัยนี้ได้ทุนสนับสนุนจากโครงการภูมิอากาศดึกดำบรรพ์ ของแผนกบรรยากาศและภูมิศาสตร์ ในมูลนิธิวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ

ปีเตอร์ คลาร์ก (Peter Clark) นักบรรพชีวินวิทยาของโอเรกอนสเตทและเป็นผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัยในวารสารไซน์ กล่าวว่างานวิจัยอุณหภูมิโลกที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับภูมิภาค และไม่ได้ลงไปในระดับโลก

คลาร์กกล่าวว่า การศึกษาเพียงบางส่วนของโลกนั้น มักจะได้รับกระทบจากภูมิอากาศระดับภูมิภาคด้วย อย่างปัจจัยเรื่องเอลนีโญและมรสุมต่างๆ เป็นต้น แต่ห่างรวบรวมข้อมูลจากจุดต่างๆ ทั่วโลก ก็จะเฉลี่ยเอาความแปรปรวนในระดับภูมิภาคออกไป และได้ภาพรวมของประวัติศาสตร์อุณหภูมิเฉลี่ยระดับโลก

นักวิจัยระบุว่า ที่ประวัติศาสตร์อุณหภูมิโลกเผยออกมาคือ เมื่อช่วง 5,000 ปีก่อนโลกเย็นกว่านี้ 1.3 องศาฟาห์เรนไฮต์ หรือ 0.7 องศาเซลเซียส และเมื่อ 100 ปีก่อน อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1.3 องศาฟาห์เรนไฮต์ โดยพื้นที่ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากทึ่สุดอยยู่ในซีกโลกเหนือ ที่มีแผ่นดินและประชากรมนุษย์อาศัยอยู่มากกว่าพื้นที่ในซีกโลกใต้

แบบจำลองภูมิอากาศคาดการณ์ว่า ก่อนสิ้นศตวรรษนี้อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้น 2-11.5 องศาฟาห์เรนไฮต์ หรือ 1.1-6.3 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มมากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณมากน้อยในการปลดปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ

สิ่งที่แย่ที่สุดของคาดการณ์จากแบบจำลองคือ ความร้อนที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะเพิ่มสูงกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ 11,300 ปีที่ผ่านมา มาร์คอตต์ ยังบอกอีกว่าปัจจัยเดียวที่ส่งผลกระทบต่ออุณหภูมิโลกในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ที่โลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์โดยสัมพันธ์กับตำแหน่งของโลกและดวงอาทิตย์ด้วย

ในเบื้องต้น ทีมวิจัยซึ่งยังประกอบด้วย เจเรมี ชากุน (Jeremy Shakun) จากฮาวาร์ด และ อลัน มิกซ์ (Alan Mix) จากโอเรกอนสเตท ได้ใช้ฟอสซิลจากแกนตะกอนในมหาสมุทร และบนบกเพื่อหาอุณหภูมิโลกตั้งแต่อดีต

คุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของฟอสซิล ทั้งชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตและองค์ประกอบเคมี และอัตราส่วนไอโซโทป เป็นบันทึกข้อมูลอุณหภูมิในอดีตที่ยอมรับได้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่บันทึกข้อมูลในยุคปัจจุบัน

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจาก 73 แห่ง ได้เผยให้เห็นภาพใหญ่ของประวัติศาสตร์โลก และให้บริบทใหม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

มาร์คอตต์กล่าวว่า ภูมิอากาศโลกนั้นซับซ้อนและตอบสนองต่อแรงขับที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงคาร์บอนไดออกไซด์และการรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทั้งสองปัจจัยเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในช่วง 11,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจากการปลดปล่อยผ่านกิจกรรมของมนุษย์อย่างมากมายมหาศาล

“มันคือตัวแปรเดียวที่อธิบายได้ดีที่สุดถึงการเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของอุณหภูมิโลก” มาร์คอตต์ชี้ต้นเหตุของอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นอย่างผิดปกติในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9560000029299

ปฏิบัติตัวอย่างไร..ในหน้าร้อน

โดย รศ.นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม

ไปไหนมาไหนช่วงนี้ มีแต่คนบ่นว่าร้อนจนแสบผิว ปัญหานี้มีวิธีดูแลตัวเองมาฝากครับ

1. สวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง ไม่หนา ระบายอากาศดี สีอ่อน และสวมหมวก แว่นกันแดด หรือถือร่มในที่กลางแจ้ง รวมถึงใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่า 15 ซึ่งการทาครีมกันแดดหนาๆ และมี SPF สูงๆ จะช่วยป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีได้ดีกว่า

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละประมาณ 2-3 ลิตร แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

3. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน โดยปกติแล้วร่างกายคนเรามีอุณหภูมิประมาณ 36 – 37 องศาเซลเซียส ถ้าอากาศร้อนมากจนร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ไม่ถึง 40 องศาเซลเซียส อาจเกิดอาการเพลียแดดได้ เช่น ปวดศีรษะ มึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียไม่มีแรง มีตะคริวและมีไข้ และถ้าสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ร่วมกับเริ่มมีอาการทางสมอง เช่น ซึม สับสน ชักเกร็งหรือหมดสติ เราเรียกว่าโรคลมแดด ภาวะนี้สามารถทำให้เกิดตับและไตวาย กล้ามเนื้อสลายตัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ น้ำท่วมปอด เกิดลิ่มเลือดอุดตันในกระแสเลือดและช็อกได้

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

4. รังสียูวี (Ultraviolet) ในแสงแดดที่แผ่ลงมา จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ซึ่งจะทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเหงื่อเป็นเวลานาน นอกจากนั้นการได้รับรังสียูวีเป็นเวลานานๆ ยังอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง โรคผิวหนังบางชนิดและผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนไวรวมถึงยังอาจมีผลต่อการเกิดต้อกระจกและต้อเนื้อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

5. ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายในที่ร่ม โล่ง ถ้าเป็นกลางแจ้ง ให้ทำในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักติดต่อกันเป็นเวลานานในช่วงที่อากาศร้อนจัด และควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังเสร็จสิ้น เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อหรือเชื้อราที่เกิดขึ้นได้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน อย่าเพิ่งออกกำลังกายหักโหม ให้ร่างกายได้มีการปรับตัวอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์เสียก่อน

6. ระวังความสะอาดของอาหาร น้ำ น้ำแข็งที่รับประทาน เพราะอาจบูดเสียง่าย และทำให้เกิดอุจจาระร่วง

7. สุดท้ายผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย เด็กเล็ก และผู้มีโรคประจำตัว ควรระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิอากาศ เพราะอากาศร้อนจะทำให้เส้นเลือดขยายตัว เกิดความเครียด หัวใจทำงานหนักและควรให้รับประทานผักผลไม้ เพื่อเติมวิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกายในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ รวมถึงได้รับน้ำอย่างเพียงพอ สังเกตได้จากสีของน้ำปัสสาวะที่ออกมา ถ้าสีเหลืองใส แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ

ลองนำไปปฏิบัติ จะช่วยคลายร้อนได้

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000040051

แครอท..ผักสีส้มสารพัดประโยชน์

แครอท ผักสีส้มสารพัดประโยชน์ที่สามารถนำไปดัดแปลงเป็นอาหารได้หลายชนิด ไม่ว่าจะผัด ทอด แกง อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นเครื่องดื่มแสนอร่อยได้อีกด้วย ทว่าหนุ่ม ๆ สาว ๆ นักกินเนื้อทั้งหลายที่ชอบเขี่ยแครอทในจานทิ้งอยู่เป็นประจำทราบหรือไม่ว่า ภายใต้สีสวย ๆ ของแครอทนั้นเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่ามากมายหลายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง พูดอย่างเดียวอาจจะไม่เชื่อ วันนี้เราก็เลยนำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแครอทมาเปิดเผยให้คุณได้รู้กัน

แครอท
แครอท

1. บำรุงสายตา

เพราะในแครอทอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน หนึ่งในวิตามินที่ร่างกายต้องการอีกทั้งมีประโยชน์ที่ช่วยในเรื่องของการ บำรุงสายตาของเราด้วย โดยเฉพาะเนื้อเยื่อชั้นในของดวงตา หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า เรติน่า ซึ่งการที่คุณรับประทานแครอทบ่อย ๆ ยังช่วยถนอมดวงตาให้สามารถมองเห็นได้อย่างปกติไปอีกนานเท่านานเลยเชียวล่ะ

2. ป้องกันมะเร็ง

เป็นที่รู้กันดีว่าแครอทนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันโรคมะเร็งโดย เฉพาะการก่อตัวของมะเร็งปอด ทั้งนี้เป็นเพราะในแครอทเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง ฟาลคารินอล ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น ควรใส่แครอทเป็นส่วนผสมในอาหารจากหลักของคุณด้วยนะ

3. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบไหลเวียนของเลือด

เนื่องจากผู้คนในปัจจุบันไม่ค่อยใส่ใจกับการทานอาหารสักเท่าไหร่ ทำให้เกิดโรคเส้นเลือดอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทานของหวานและของทอด ทั้งนี้สารในแครอทจะเข้าไปกำจัดไขมันที่เกาะสะสมอยู่ในเส้นเลือด ซึ่งช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

4. รักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือด

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงอายุเท่าไหร่และมีรูปร่างแบบใด ก็มีสิทธิ์ที่จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านั้นก็ควรหมั่นทานแครอทอยู่เป็นประจำ เนื่องจากในแครอทมีสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งสารตัวนี้จะเข้าไปช่วยรักษาสมดุลระดับน้ำตาลในเส้นเลือดของคุณนั่นเอง

5. ปรับปรุงระบบย่อยอาหาร

สำหรับคนที่อยากจะมีหุ่นดี ๆ ฟิต แอนด์ เฟิร์มหรือคนที่อยากจะลดน้ำหนักล่ะก็ การทานแครอทถือเป็นตัวช่วยที่ดีเลยเชียวล่ะ เพราะแครอทจะเข้าไปเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น

6. บำรุงผิวให้เปล่งปลั่ง

แครอท ยังมีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงผิวพรรณอีกด้วย เพราะทำให้ผิวชุ่มชื่น และดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ เพราะในแครอทชุ่มช่ำไปด้วยน้ำ เมื่อคุณทานเข้าไปก็เท่ากับว่าร่างกายได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้น น้ำและสารอาหารของแครอทยังมีประโยชน์ในเรื่องของการบำรุงเส้นผมด้วย

7. เสริมความแข็งแรงของฟัน

แครอทไม่ได้มีประโยชน์แค่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายของคุณเท่านั้น เพราะยังช่วยเสริมสร้างโครงสร้างของอวัยวะต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยในระหว่างที่คุณกำลังกัด ขบ เคี้ยวแครอท ถือเป็นการเสริมสร้างสุขภาพฟันให้ดีขึ้นด้วย ฉะนั้นในแต่ละมื้ออย่าลืมหยิบแครอทมาเคี้ยวกันด้วยนะ

8. เพิ่มประสิทธิภาพให้กับภูมิคุ้มกัน

อีกหนึ่งประโยชน์ที่ร่างกายของคุณจะได้รับจากแครอทนั่นก็คือ การมีภุมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง ทั้งนี้เป็นเพราะแครอทมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย อีกทั้งมีคุณสมบัติในการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเป็นปกติรวดเร็วมากขึ้น ไม่ว่าจะกินแครอทแบบดิบ ๆ หรือผ่านการปรุงสุกมาแล้วก็ตาม

9. มีฤทธิ์ขับพยาธิ

สำหรับคนที่ต้องการขับพยาธิ ยาถ่ายอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเสมอไป เพราะแครอทมีฤทธิ์ช่วยในการขับถ่ายพยาธิได้เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการรักษาที่ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายด้วย รับรองเลยว่าเป็นยาที่ปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่าลืมหามาทานกันนะ

10. ของว่างเพื่อสุขภาพ

ปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าแครอทสามารถนำไปประกอบอาหารคาวได้เพียงอย่าง เดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วแครอทสามารถนำมาทำขนมได้เหมือนกัน เช่น ขนมปังโฮลวีทแครอท หรือดื่มน้ำแครอทหวาน ๆ สักแก้วในระหว่างมื้อ สามารถช่วยดับหิวและดับกระหายได้ไม่ต่างจากขนมหวานและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เลย

เพราะมี ประโยชน์มากมายหลากหลายแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้แครอทเป็นผักยอดนิยมของผู้คนมากมาย สำหรับคนที่ยังไม่เคยลองทานหรือไม่ชอบทานแครอท ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสักหน่อย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองค่ะ

น้ำแครอท
น้ำแครอท

http://www.healthmee.com/ForumId-449-ViewForum.aspx

เรื่องของ..สาหร่ายทะเล

สาหร่ายทะเล เป็นอีกหนึ่งทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพ และยังมีรสชาติที่อร่อย จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเมนูอาหาร ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารของเราที่มีให้เลือกทำได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะใส่สาหร่ายลงในแกงจืด หรือผัดผักต่างๆ นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังมีแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกายที่คนเราต้องการอยู่มากถึง 18 ชนิด อย่างเช่น แคลเซียม เหล็ก ไอโอดีน แมกนีเซียม และโซเดียม เป็นต้น แต่สารหาอารที่สาหร่ายมีมากเป็นพิเศษ และมีความสำคัญต่อร่างกายของเรา ได้แก่สารอาหารดังต่อไปนี้

ยำสาหร่ายทะเล
ยำสาหร่ายทะเล

ไอโอดีน โดยปกติแล้ว คนเราต้องการไอโอดีนประมาณ 0.1-0.3 มิลลิกรัมต่อวัน ถ้าหากเราเทียบกับการกินสาหร่ายทะเลชนิดแผ่น ขนาดกว้าง 2 เซนติเมตร ยาว 2 เซนติเมตร มันก็จะเพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายเราในแต่ละวัน และช่วยในการป้องกันโรคคอพอกได้

สังกะสี เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์หลากหลายชนิดในร่างกาย ที่จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย

ใยอาหาร ยิ่งได้รับใยอาหารมากยิ่งทำให้ท้องของเราไม่ผูก และช่วยในการเร่งการขับถ่ายสารพิษภายในร่างร่างกาย ในระบบทางเดินอาหารของเราอีกด้วย

ธาตุเหล็ก เป็นสารอาหารที่มีอยู่มากในสาหร่ายทะเล มีส่วนช่วยให้บำรุงผิวพรรณของเราให้แลดูเปล่งปลั่ง แลดูมีน้ำมีนวล รวมทั้งยังช่วยในการบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นมันเงางามขึ้นด้วยอีกนะ

ทองแดง มีหน้าที่ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และช่วยในการสร้างฮีโมโกลบินที่ไขกระดูก ถ้าหากว่าร่างกายของเราเกิดขาดธาตุอาหารชนิดนี้ ก็จะทำให้เป็นโรคโลหิตจาง และเกิดผมร่วงได้ง่ายอีกด้วย

การทานสาหร่าย เราควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะว่าในสาหร่ายมีปริมาณโซเดียมที่สูง ผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูงจึงควรระมัดระวัง ในการทานด้วย

สาหร่ายทะเล (Seaweeds)
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาหร่ายเป็นแหล่งผลิตก๊าซออกซิเจนให้กับโลกของเราถึง 70% เลยทีเดียว นอกจากจะสร้างอาหารโดยการสังเคราะห์แสงแล้ว สาหร่ายทะเลก็สามารถ สร้างอาหารโดยการดูดซึม (osmosis) เอาแร่ธาตุและสิ่งมีประโยชน์ทั้งหลายโดยตรง มาจากทะเลด้วย ดังนั้นคุณค่า และคุณประโยชน์ของสาหร่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ น้ำทะเลเป็นสำคัญ แหล่งที่เก็บเกี่ยวสาหร่ายจึงจัดว่า มีความสำคัญอย่างมาก ในการพิจารณาถึงคุณประโยชน์ของสาหร่ายด้วย (คัดลอก จากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2540)
สาหร่ายทะเล เป็นพืชชั้นต่ำ ไม่มีระบบท่อลำเลียงอาหารจากรากสู่ลำต้นและใบแบบพืชชั้นสูงเช่นหญ้าทะเล แต่จะใช้วิธีดูดซับน้ำและแร่ธาตุจากน้ำทะเลสู่เซลล์ต่าง ๆ โดยตรง พืชกลุ่มนี้ไม่มีดอกและผล แต่แพร่กระจายพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์และแบ่งตัว สาหร่ายทะเลมีลักษณะมากมายหลายแบบ ตั้งแต่แบบที่เป็นแพลงก์ตอนลอยไปมาในน้ำ ซึ่งมีขนาดเล็กมากมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า บางชนิดเป็นเซลล์เดี่ยว บางชนิดจับตัวกันเป็นกลุ่มเซลล์ หรือเป็นสาย จนถึงชนิดที่เป็นต้นดูคล้ายพืชชั้นสูง

สาหร่ายทะเล แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามโครงสร้างและสีของสารสังเคราะห์แสง ได้เป็น 4 กลุ่ม คือ
• สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (blue-green algae)
• สาหร่ายสีเขียว (green algae)
• สาหร่ายสีน้ำตาล (brown algae)
• สาหร่ายสีแดง (red algae)
โดยทั่วไป เราสามารถจำแนกกลุ่มสาหร่ายได้จากสีที่เห็น แต่ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในเขตร้อนซึ่งมีแสงจัด บางครั้งสาหร่ายจะมีสีเปลี่ยนไปจากที่ควรจะเป็น

ประโยชน์ของสาหร่าย
• เป็นอาหารพื้นฐานของสัตว์ทะเล ทั้งที่กินสาหร่ายโดยตรง หรือที่กินสัตว์อื่นที่กินสาหร่ายอีกต่อหนึ่ง
• เป็นอาหารโดยตรงของคน ใช้ทำวุ้น เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหรือเวชภัณฑ์ยาหลายชนิด

สาหร่ายทะเล มีแร่ธาตุซึ่งร่างกายมนุษย์ต้องการครบถ้วนแร่ธาตุ ซึ่งต้องการมีอยู่ 18 ชนิด อาทิ แคลเซียม คลอรีน โครเมียม โคบอลต์ ทองแดง (คอปเปอร์) ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม ซีลีเนียม โซเดียม ซัลเฟอร์ วาเนเดียม และสังกะสี (ซิงค์) เป็นต้น

ทำไมคนเกาหลีต้องกิน ซุปสาหร่าย ในวันเกิด

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไม เวลาดูละคร หรือ ซีรีส์ เกาหลี แล้วมีฉากงานวันเกิดของตัวละครในเรื่อง แทนที่จะยกเค้กวันเกิดมาฉลองกันตามธรรมเนียมสากล แต่เกาหลี กลับ ยก ‘ซุปสาหร่าย’มาให้แทน ! วันนี้มา เฉลยคำตอบที่สงสัยกันให้ฟังแล้วจ้า!!

ซุปสาหร่าย นั้น จะเป็นอาหารที่คนเกาหลี จะต้องกินในวันคล้ายวันเกิด เรียกว่าสำคัญกว่าขนมเค้กด้วยซ้ำ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ’ซุปสาหร่าย’ จะต้องทำขึ้นเพื่อมอบให้กับเจ้าของวันเกิดโดยใครสักคนในครอบครัว ดังนั้นจึงถือว่าสำคัญมากและห้ามลืมโดยเด็ดขาด

ที่มาของซุปสาหร่ายสำหรับวันเกิดคือ หญิงที่ตั้งครรภ์จะรับประทานซุปสาหร่ายเพื่อบำรุงร่างกาย เพราะสาหร่ายมีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม และ ไอโอดีน ดังนั้นจึงเป็นอาหารชนิดแรกจากแม่สู่ลูกในครรภ์ นอกจากนี้หลังจากคลอดลูกแล้วจะต้องเตรียมซุปสาหร่าย พร้อมข้าวเพื่อไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้การคลอดนั้นราบรื่นปลอดภัย ปกปักษ์ให้ทารกนั้นสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืน รวมทั้งช่วยบำรุงให้คุณแม่มีน้ำนมมากๆด้วย

ดังนั้น การรับประทานซุปสาหร่ายในวันเกิดจึงเป็นการระลึกถึงอาหารมื้อแรกในชีวิตนั่นเอง

http://www.healthmee.com/ForumId-495-ViewForum.aspx