บำรุงสายตาด้วยผักและผลไม้

สายตาเป็นสิ่งจำเป็นมาก ยิ่งปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกล ลองคิดดูเล่นๆว่ าเราใช้สายตาในการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ และหน้าจอสมาร์ทโฟนในหนึ่งวันกี่ชั่วโมง หรือแม้แต่การเพ่งอ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ  ก็ทำให้สายตาของเราอ่อนล้าได้  ไหนจะผลกระทบต่อดวงตาที่เกิดจากแสงแดดและหลอดไฟอีก อาหารบำรุงสายตาจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำให้สายตาที่อ่อนล้ากลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ พร้อมใช้งานอีกครั้ง

ผลวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การให้วิตามิน C วิตามิน E เบต้าแคโรทีน ธาตุสังกะสี และธาตุทองแดง มีประโยชน์ในการชะลอการเสื่อมมากขึ้นของผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไป (Moderate Age-Related Macular Degeneration) ดังนั้น   การเลือกรับประทานอาหารที่สารอาหาร ดังกล่าวจะเป็นอาหารบำรุงสายตา หรือบางคนอาจเข้าร้านซื้ออาหารเสริมมารับประทานก็ได้ เพราะจากการวิจัยของแพทย์ในสหรัฐอเมริกา  และหลายประเทศพบว่าการรับประทานอาหารเสริมที่มีสารอาหารดังกล่าวมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาได้ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเรารับประทานอาหารให้เหมาะสมโดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมให้สิ้นเปลือง นั่นคือการรับประทานผัก ผลไม้  ดังต่อไปนี

1.  ผักบุ้ง : เป็นอาหารบำรุงสายตา ไม่ทำให้ปวดตา สายตาสั้น แสบตา ผักบุ้งมีทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้าแคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย นอกจากนี้ผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด การรับประทานผักบุ้ง หากผัดควรใส่น้ำมันให้น้อย แต่ถ้าลวดจะดีกว่าเพราะไม่มีน้ำมันที่ทำให้อ้วน หากรับประทานดิบก็ยิ่งมีประโยชน์มาก

2. แครอท : แครอทมีสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุดในบรรดาผักสีส้ม นอกจากนี้มันก็ยังมีไวตามินและแร่ธาตุอื่นอีกหลายชนิด เบต้าแครอทีนก็คือ ไวตามินเอ ซึ่งช่วยในการบำรุงรักษาดวงตา เพราะมีผลต่อปฏิกิริยาเคมีของดวงตาต่อแสง ไวตามินเอยังช่วยให้มีผิวที่ดีอีกด้วย และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆได้ดี

3.  ฝักทอง : มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ ระบบย่อยอาหาร บำรุงตับไต สร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าที่ตายไปแล้ว มีสารลูทีนป้องกันการเสื่อมของจุดหรือแสงสีของเรตินา มีวิตามินเอ  บำรุงสายตา มีเบตาแคโรทีนซึ่งมีสาร Antioxidant สูงจึงช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย

4.  มะม่วงสุก : เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ฟอสฟอรัส ใยอาหาร ซึ่งเป็นอาหารบำรุงสายตาบำรุงเหงือกและฟัน ช่วยให้ผิวพรรณสดใส ลดสิวและริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างดี ที่สำคัญมีรถชาติหอมหวาน อร่อย เป็นที่ติดใจของใครหลายคน

5.   ตำลึง : เป็นผักที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มีคุณค่าทางอาหารสูง ตำลึงเป็นพืชที่มีเบต้าแคโรทีนที่ดีที่สุด ซึ่งเบต้าแคโรทีนเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ ทำหน้าที่กรองแสงให้กับดวงตา ป้องกันไฟเบอร์ของเลนส์ตาจากความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการถูกออกซิไดซ์ด้วยแสง ป้องกันการเกิดต้อ เป็นสารที่เปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ จัดเป็นสารกลุ่มคาโรทีนอยด์ที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีที่สุด ดังนั้น ที่กล่าวกันว่า “ตำลึงบำรุงสายตา” ก็เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ที่สำคัญเบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านออกซิเดชัน ลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ยับยั้งการทำลายของออกซิเจนเดี่ยวและอนุมูลอิสระ ทั้งยังสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

———————–ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.irondaleinn.com

ดูแลสุขภาพด้วย 18 วิธี

ขึ้นชื่อว่า “สุขภาพ”แล้วทุกคนย่อมปรารถนาที่จะมีสุขภาพร่ายกายที่แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย  วันนี้มีวิธีดูและสุขภาพมาฝากให้ปฏิบัติกันค่ะ  ตามนี้เลย
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม

ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว…อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://women.thaiza.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2-18-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5/136708/

รู้ได้ยังไงว่า…เราเป็นไข้เลือดออก

กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนโรคไข้เลือดออก มีอาการสำคัญที่สังเกตได้ คือ ไข้สูงลอยเกิน 2 วัน เบื่ออาหาร อาเจียน กินยาแล้วไข้ไม่ลด รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษา อันตรายที่สุด คือ ช่วงไข้ลดเริ่มตั้งแต่วันที่ 3-5 วัน หากซึมลง อ่อนเพลีย รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ปวดท้องหรืออาเจียนเป็นเลือด แสดงว่าอาจเข้าสู่ภาวะช็อก ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

เมื่อมีไข้ดูแลง่ายๆ คือ เช็ดตัวผู้ป่วยไม่ให้ตัวร้อนจัด รับประทานยาตามแพทย์สั่ง รับประทานอาหารอ่อนและที่ทำให้สดชื่น เช่น น้ำเกลือ น้ำผลไม้ พักผ่อนมากๆ และหมั่นสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยช่วงที่สำคัญและถือว่าอันตรายที่สุดคือ ช่วงที่ไข้ลด ซึ่งประมาณตั้งแต่ 3-5 วันหลังป่วย ถ้าผู้ป่วยฟื้นไข้ คือ มีอาการสดชื่น รับประทานอาหารได้ กรณีในเด็ก ถ้าวิ่งเล่นได้ก็แสดงว่าน่าจะหายป่วย แต่หากพบว่าซึมลง อ่อนเพลีย รับประทานอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น   ปวดท้องกะทันหัน   หรืออาเจียนเป็นเลือด   แสดงว่าเข้าสู่ภาวะช็อก  ให้ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ โรค ไข้เลือดออก ป้องกันได้ ประชาชนมีส่วนสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรค ทำได้ด้วยการ

1.  เก็บบ้านให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง ตรวจสอบมุ้งลวด มุ้งที่ใช้กางนอน มีรอยรั่วหรือไม่ ให้ปะชุนให้เรียบร้อย

2.  เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน เช่น ใบไม้ กล่องโฟม จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า ต้องเก็บกวาด ฝัง เผา หรือทำลายทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

3.  ภาชนะเก็บน้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิด ป้องกันยุงลายไปวางไข่ ภาชนะรองน้ำ ต้องสังเกตดูว่า มีรอยไข่ยุงลาย ดำ ๆ ติดอยู่หรือไม่ เพราะไข่ยุงลายติดอยู่ได้นานเป็นปี หากพบใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก

4.  ป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด เช่น ทายากันยุง กำจัดยุงโดยใช้ไม้ช็อตไฟฟ้า จุดสมุนไพรหรือยาจุดไล่ยุง หรือ ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น

———————– ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://health.mthai.com/howto/health-care/12159.html