มนุษย์เราไว้ใจไม่ได้ ระแวงไว้ดีกว่าแก้

love น่ะเจ้านาย .. เป็นอะไรที่ต้องระแวงไว้ก่อน
love น่ะเจ้านาย .. เป็นอะไรที่ต้องระแวงไว้ก่อน

https://www.facebook.com/Nolongerslave/photos/a.1619757398242114.1073741828.1619753201575867/1625432924341228/

เป็นธรรมชาติน่ะครับ
ผมชอบภาพนี้นะ คุณตุ้ยแชร์มา.. เป็นภาพที่มีไว้เตือนสติได้ดี
คนสองคน มีความสัมพันธ์ ต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์ สีหน้าเจ้านายดูปิติ
ส่วนลูกน้องก็จะได้ผลประโยชน์ที่เจ้านายหยิบยื่นให้
แต่
.. เจ้านายอย่าหันหลังนะครับ เพราะเท่าที่เคยดูหนังมา
.. ลูกน้องที่รักมาก ๆ นี่หละจะหักหลังเจ้านาย
.. เหมือนคุณตัน เหมือนแป๊ปซี่ เหมือน pizza hut
ใน จระเข้ฟาดหางทางธุรกิจ
http://www.thairath.co.th/content/343256

ผมเคยอ่านหนังสือ โศกนาฏกรรมองค์กรหลงทิศ
บทที่ 8 เรื่อง “รักษาบุคลากรที่ดีไว้ไม่ได้” ก็สะท้อนปัญหาคล้ายกับภาพนี้

http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1490/

9 เรื่องที่คนส่วนใหญ่ขาด กับเพลงต้นขับขี่

9 เรื่องที่คนส่วนใหญ่ขาด สงสัยต้องจัดอบรม
นึกถึงหนุ่มชาวเขาที่ถามว่าต้นใบขับขี่หน้าตาอย่างไร
จะไปเก็บใบมาให้
555 สงสัยหัวหน้าจะบอก บุรินทร์ คุณไม่เข้าใจ
เพื่อน ๆ คงอ่านแล้วงง ผมไม่ได้ร้อยเรียงครับ
อ่านคนเดียว ก็เข้าใจคนเดียว
===
หัวหน้าแชร์มาให้อ่าน น่าสนใจครับ
===
ผลงานวิจัยเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา พบว่า:-

* ไม่ได้อยู่ที่ความเก่าแก่ของอารยะธรรมของประเทศนั้นๆ ซึ่งสามารถดูได้จากประเทศอินเดียและอียิปต์ แม้มีอารยะธรรมมานานมากกว่า 2,000 ปี แต่ก็ยังยากจน

ในขณะเดียวกันประเทศ ออสเตรเลีย แคนาดา ละนิวซีแลนด์ ที่เป็นประเทศที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่เกินร้อยห้าสิบปี ก็พัฒนากลายเป็นประเทศร่ำรวยได้

* ไม่ได้อยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในประเทศนั้นๆ

ซึ่งสามารถดูได้จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีพื้นที่ทำกินน้อยมาก พื้นที่ 80% เป็นภูเขาไม่เหมาะแก่การเกษตรกรรม

แต่สามารถเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ และยังเป็นปใช้วัตถุดิบจากประเทศอื่นๆ ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก

ส่วนประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตซ็อคโกแล็ตรายใหญ่ของโลกทั้งๆ ที่ไม่มีไร่ปลูกโกโก้เลยและมีที่ดินเพียงน้อยนิดแถมอากาศหนาวจัดปลูกพืชได้เพียงปีละ 4 เดือนเท่านั้น

นอกจากนี้ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ยังนำเอาความเป็นระบบระเบียบของคนในชาติมาใช้ประโยชน์จนเป็นประเทศธนาคารโลกและองค์กรธุรกิจการเงินที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก

* ไม่ได้อยู่ที่ความแตกต่างด้านสติปัญญาและแรงงานของคนในชาติเลย

เพราะเมื่อแรงงานที่เคยขี้เกียจในประเทศตนย้ายไปทำงานในประเทศที่เจริญแล้วกลับกลายเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็งด้วยซ้ำไป

***แล้วอะไรที่ทำให้แตกต่าง?

สิ่งที่แตกต่างคือ ทัศนคติที่ฝังรากลึกมานานปีโดยผ่านระบบการศึกษาและการอบรมปลูกฝัง

จากการวิเคราะห์พฤติกรรมของคนในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่า

คนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักปรัชญาเหล่านี้ คือ

1. ใช้จริยธรรมนำทางชีวิต
2. ความซื่อสัตย์
3. ความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่
4. ความเคารพต่อกฎระเบียบ
5. การเคารพต่อสิทธิของผู้อื่น
6. ความรักในงาน
7. ความสนใจในการอดออมและการลงทุน
8. แรงผลักดันสูงสู่ความเป็นที่หนึ่ง
9. ความตรงต่อเวลา

ในประเทศด้อยพัฒนานั้น มีคนเพียงจำนวนน้อยที่ใช้หลักปรัชญาเหล่านี้ในการดำเนินชีวิต
การที่ประเทศไทยเรายังไม่สามารถพัฒนาไปดีกว่านี้เพราะเราขาดทัศนคติและแรงผลักดันที่สอดคล้องไปตามหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตที่กล่าวมาแล้ว

เพลงต้นขับขี่ ของ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
“เหล่าเช้งเป็นคนปราดเปรื่อง รู้เรื่องใบไม้อย่างดี แต่ใบที่นายสิบตรี ว่าใบขับขี่มันเป็นละยังไง”

แม่ค้าข้าวผัดใจดี กับลูกหนีออกจากบ้าน

แม่ค้าคนเนี้ย ใจดีกว่าพ่อ กว่าแม่เรา ซะอีก
เหมือนเคยอ่านเรื่องนี้มานะ วันนี้เห็นมาเป็นคลิ๊ปเลย
ซีพีเค้าทำให้ดู

สุดประทับใจ…หญิงหิวโซน้ำตาไหล ก้มลงไหว้พ่อค้าข้าวหมูแดง

http://chaoprayanews.com/blog/happyforever/2015/05/31/

หุ่นยนต์คิดแบบในหนังคงยังไม่มี (itinlife508)

cyborg she
cyborg she

มีภาพยนตร์มากมายที่กล่าวถึงการสร้างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ก้าวต่อไปคือการสร้างหุ่นยนต์มารับใช้มนุษย์ มีองค์ประกอบหลายอย่างที่จำเป็นต่อการสร้างหุ่นยนต์ แต่สิ่งที่เรายังทำกันไม่สำเร็จคือการสร้างปัญญาประดิษฐ์ หรือทำให้หุ่นยนต์คิดเองได้ โดยไม่ต้องรอรับคำสั่ง ส่วนนวัตกรรมการสร้างหุ่นยนต์มีความสำเร็จเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จินตนาการเป็นเรื่องที่หยุดไม่ได้ มีภาพยนตร์มากมายฉายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในแง่มุมที่หลากหลายทั้งด้านประโยชน์ และปัญหา

หุ่นอาร์ทูดีทู หรือซีทรีพีโอในสตาร์วอร์ส (Star war) เป็นหุ่นยนต์ที่นักดูภาพยนตร์คงจดจำกันได้ดีกว่าเรื่องอื่น แต่ความเหมือนมนุษย์ยังไม่เด่นชัด หากหุ่นยนต์สามารถคิดเองได้ หรือรู้จักการเรียนรู้แล้ว มีภาพยนตร์ที่สะท้อนปัญหาให้เห็น คือ เทอมิเนเตอร์ (Terminator) ที่เล่าว่าถ้าหุ่นยนต์คิดเองได้ ก็จะรู้ว่ามนุษย์เป็นภัยต่อหุ่นยนต์เก่า เพราะมนุษย์ชอบของใหม่เสมอ เพื่อความอยู่รอดของหุ่นยนต์ที่จะต้องเก่าในอนาคต จึงต้องกำจัดมนุษย์ซะก่อนที่จะสายเกินไป และเริ่มดำเนินการในทันที ต่อมาผู้สร้างภาพยนตร์ก็เปลี่ยนแนวว่าเราสามารถควบคุมหุ่นยนต์ได้ โดยการเพิ่มคำสั่งห้ามทำร้ายมนุษย์ให้เป็นเงื่อนไขสำคัญ จนมีภาพยนตร์เรื่องไอโรบอต (irobot) หรือออโตเมต้า (Automata) ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสบายใจได้ว่าหุ่นยนต์จะไม่มีวันทำร้ายมนุษย์ แต่กฎย่อมมีข้อยกเว้น เมื่อเวลาผ่านไปกฎที่เคยใส่เข้าไปในหุ่นยนต์ก็อาจถูกเปลี่ยน พัฒนา หรืออัพเกรด จนหุ่นยนต์อาจเป็นภัยต่อมนุษย์ได้

ผู้สร้างภาพยนตร์ได้เนรมิตเรื่องราวให้หุ่นยนต์มีความเหมือนมนุษย์มากขึ้นไปอีก ด้วยการสร้างหุ่นยนต์ที่คิดว่าตนเองเป็นมนุษย์ คนที่พบเห็นก็ไม่รู้ เช่น เอวา (EVA) หรือสครีมเมอร์ส (Screamers) หรือไบเซนเทนเนียลแมน (Bicentennial Man) แต่ความเหมือนมนุษย์นั้นก็แฝงมาด้วยภัยซ่อนเร้น เช่น เอวาที่ไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย แต่ผู้สร้างดื้อรั้นขอเก็บไว้ สุดท้ายก็แสดงความรุนแรงออกมาจนทำร้ายผู้สร้าง ส่วนสครีมเมอร์สก็วิวัฒนาการจากอุปกรณ์ที่ดำดินไปสังหารศัตรูขึ้นมาเป็นหุ่นยนต์สาวสวยเหมือนมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจิตใจ แต่เรื่องไบเซนเทนเนียลแมนเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่สะท้อนให้เห็นเฉพาะมุมบวกของหุ่นยนต์ที่มีขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ และตัดสินใจปิดเครื่องของตนเองด้วยความเชื่ออย่างมนุษย์ แต่วันนี้เรากำลังพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดขึ้นจริง แล้วมาลุ่นกันว่าชีวิตจริงในอนาคตจะเหมือนภาพยนตร์เรื่องใด

ดูหนังเรื่อง eva 2011

eva
eva
เอวา (EVA)
หลายปีก่อนมีภาพยนตร์ที่ล้ำสมัย [28.10.11]
กล่าวถึงยุคที่คนเราสร้างหุ่นยนต์ไว้ใช้งานตามบ้าน
หุ่นที่สร้างขึ้น จะคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละตัว
สร้างเสร็จก็จะได้รับการทดสอบ
หากผ่านการทดสอบ ก็จะมาใช้ชีวิตร่วมกับคน

แต่นางเอกของเรื่องสร้างหุ่นเด็กผู้หญิง
ทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย
แต่เธอขอเก็บผลงานไว้ แล้วเลี้ยงดูแบบลูก หุ่นก็ไม่รู้ตัว
อยู่มาวันหนึ่ง หุ่นเด็กผู้หญิงเกิดมีอารมณ์ แล้วพลาดทำร้ายผู้สร้างจนตาย
แล้วนึกถึงพฤติกรรมมนุษย์ในหนังสือพิมพ์นะครับ
สงสัยจะไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยกันเยอะ
ไม่เหมือนในหนังครับ ไม่ผ่านก็ปิดเครื่องไปเลย

เรื่อง eva เล่าว่า เด็กหญิงที่ไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย

อาจทำลายผู้สร้างได้ สุดท้ายผู้สร้างก็ถูกเด็กทำให้เสียชีวิต

นี่ก็เพราะการไม่เคารพกฎเกณฑ์ เพราะใช้หัวใจแทนสมอง

สุดท้ายผู้สร้างอีกคนก็ต้องปิด switch เด็กหญิง

.. นี่ผมสปอยตรง ๆ เลย

สาวสวยหน้าตาดี จะกล้าพักกับชายแปลกหน้า 3 คนเหรอ

ห้องรวมแบบผสม ตามวัฒนธรรมนานาชาติ
ห้องรวมแบบผสม ตามวัฒนธรรมนานาชาติ

ต้นกรกฎาคม 2558 มีโอกาสเดินทางเข้าบางกอก
ด้วยระยะทางกว่า 700 กิโลเมตรด้วยรถไฟตู้นอนชั้นบน
เข้ามาประชุมทั้งวัน ตกเย็นต้องหาที่พักใกล้ ๆ สักคืน
ค้นกูเกิ้ลก็พบว่า หลับดี (lubd.com) เป็นที่พักราคาถูก
จากผ่าน agoda.com ราคาอยู่ที่ 400 กว่าบาท
ผ่านเว็บของโรงแรมก็ 750 บาท
เท่าที่อ่านดูก็เป็นห้องพักรวม 4 คน ห้องน้ำรวม
แต่ดูใหม่ ทันสมัย ใกล้ที่ประชุมในวันรุ่งขึ้น
ลงบรรได BTS สนามกีฬาก็ถึงเลย เดินไปชิดลมสบาย ๆ

1. เดินเข้าไป check in พนักงานพูดภาษาต่างชาติคล่องปรื๊ด
ก็แจ้งว่า walk in ราคา 800 และผมคงเป็นคนไทยในคนไทย
ไม่กี่คนที่ไปพักแล้ว ขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเพื่อไปเบิก
ก็ขลุกขลักนิดหน่อย เหมือนโรงแรมหลายแห่งนั่นหละ
เพราะชาวต่างชาติเขาไม่ขอใบกำกับภาษีกัน พนักงานที่ออกใบก็มากลางวัน

2. ขึ้นห้อง 302 ต้องใช้บัตรเปิดเข้าโซนที่พัก
เปิดเข้าห้อง และเปิดไฟหัวเตียง เข้าไปพบว่าพักแล้ว
มี 2 คน รวมผมเป็น 3 คน ที่พบตัวเป็นไต้หวัน
อีกสักพักคนที่ 4 ก็เข้ามาเป็นคนจีน
นอนไปสักพัก คนอเมริกาเข้ามาเพิ่ม แต่คราวนี้เป็นหญิง
ปัญหาที่คือผมไม่คุ้นเคยกับ ชาว 3 หญิง 1
หญิงสาวที่เดินทางมาคนเดียวแบบสะพายเป้ (Backpacker)
พักคืนเดียวกับผู้ชายนานาชาติที่อาจพบกันชาติเดียว

3. โทรไปเล่าให้เจ้าหน้าที่ เธอก็บอกว่าห้องรวม
คือรวมชายรวมหญิง ผมเข้าดูเว็บอีกครั้งก็จริง
ที่นี่มีให้เลือกคือ รวมชายหญิง หรือรวมเฉพาะหญิง
แต่ไม่มีแบบรวมเฉพาะชาย ถ้าห้องเดี่ยว หรือคู่
ราคาก็จะสูงเป็น 2 – 3 พันบาท
วัฒนธรรมเราต่างกับนานาชาติ
ซึ่งผมจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เพือนที่ทำงานฟัง

4. กลางเดือนมิถุนายน ผมมาประชุมกับเพื่อน 2 คน
อีกคนเป็นหญิง วัยเราก็ลุงป้าทั้งคู่มีครอบครัวแล้วทั้งคู่
ต้องพักกันหลายคืน แต่จองโรงแรมแยกห้อง
ผมก็ได้รับคำตอบว่า วัฒนธรรมเรา หญิงชายไม่นอนด้วยกัน
แม้จะไว้ใจกัน คบเป็นเพื่อนกันมาเป็นชาติ
อาจต้องพบกันอีกทั้งชาติ ก็ไม่ไว้ใจมากพอที่จะนอนด้วยกัน

5. วัฒนธรรมต่างชาติ เขาเสมอภาคเรื่องเพศเยอะนะ
ช่องว่างระหว่างเพศแคบลง ไม่กี่วันที่ผ่านมา
อเมริกาประกาศให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้
ครั้งนี้ได้พบเรื่องของวัฒนาธรรมที่แตกต่างกัน
ทำให้นึกถึงเพื่อนบางกอกคนหนึ่ง เธอเคยทักผมว่าบ้านน๊อก บ้านนอก
พอนึกถึงเหตุการณ์นี้แล้ว
ท่าจะจริงว่าคนไทยแบบผมกลายเป็นบ้านนอกไปเลย
จะให้ชายสูงอายุอย่างผม นอนร่วมห้องกับหญิงสาวก็ดูแปลก
ตอนที่เธอเข้ามา ผมอยู่คนเดียว
แล้วเธอก็เปลี่ยนเสื้อใต้เตียงผม เฉยเลย
เพราะผมนอนเตียงบน จากนั้นเธอก็หลับไป
ส่วนผมก็นั่งอัพเฟสต่อไป ต่อมาทุกคนกลับมา ขึ้นเตียงของตน
พอดึกเราทุกคนก็ต่างคนต่างหลับ จนเช้า

หลับดี ที่พักสำหรับนักเดินทาง ชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
หลับดี ที่พักสำหรับนักเดินทาง ชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่

ปล.อันที่จริงที่ลำปางก็มีโรงแรมแบบนี้ แต่ผมยังไม่เคยไปพัก
แต่ไม่นึกว่าจะมีหญิงหนึ่งชายสามน่ะสิครับ