เล่นโซเชียลในเวลางานผิดด้วยเหรอ (itinlife485)

online love
online love

ปลายเดือนมกราคม 2558 กรมการปกครองออกหนังสือถึงผู้ว่าทั่วประเทศว่า ได้รับแจ้งว่าบุคลากรภาครัฐบางท่านใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเวลาของทางราชการเข้า Social media ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย เพื่อความเรียบร้อย จึงให้ใช้เฉพาะในงานราชการเท่านั้น โดยย้ำว่าห้ามใช้ในทางส่วนตัว ซึ่งผู้บังคับบัญชาต้องทำหน้าที่กำกับดูแล ถ้าไม่ควบคุมดูแลแล้วเกิดเป็นคดีความ ผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดด้วย สอดรับกับเมื่อกันยายน 2555 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยพบว่า ข้าราชการส่วนหนึ่งโหลดคลิ๊ปและภาพในเวลางานที่ไม่เกี่ยวกับงานกันมาก ทำให้ช่องสัญญาณ (Bandwidth) ไม่พอกับการใช้งาน จึงระงับการเข้าถึงเว็บไซต์ที่บริการดาวน์โหลดข้อมูลภาพและเสียงที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน

จากข้อมูลทำให้เข้าใจว่ากรณีแรกนั้นมีประชาชนไปพบว่าข้าราชการเข้าใช้ Social media ในเวลาราชการ ทั้งโพสต์ แชท เม้นท์ และแชร์ที่ไม่เกี่ยวกับงาน ผู้รับผิดชอบจึงมีหนังสือตักเตือนว่าถ้ามีการแชร์แล้วเข้าข่ายผิดกฎหมายใด จะถือว่าผู้บังคับบัญชามีความผิดด้วยในฐานะที่ไม่ควบคุมดูแลลูกน้องให้รู้จักกาลเทศะ ก็คงมีข้าราชการที่ติดเฟสบางกลุ่มออกมาแสดงทัศนะไม่เห็นด้วย  ส่วนพนักงานบริษัทที่ติดโซเชียลก็คงมีกังวลเล็กน้อยว่าจะมีมาตรการนี้เข้าบริษัทหรือไม่ หากเจ้านายที่ไม่ติดโซเชียลเกิดคิดได้ขึ้นมาก็อาจทำให้ต่อไปต้องลักลอบเข้าเน็ต ทำให้นึกถึงละครเรื่องแอบรักออนไลน์ ที่นางเอกต้องแอบคุยกับหนุ่มไม่ให้ใครรู้

กรณีที่สองเกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ผู้รับผิดชอบเรื่องช่องสัญญาณพบว่าช่องที่มีอยู่มีปริมาณการใช้หนาแน่น ตรวจสอบแล้วพบว่าดาวน์โหลดคลิ๊ปหนัง (Video) กันมาก ผมก็ไม่รู้จะเป็นซีรี่เกาหลีรึเปล่าเพราะในหนังสือไม่ได้ระบุไว้ คาดว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียงบประมาณเช่าช่องสัญญาณเพิ่มรองรับความต้องการที่หนาแน่น จึงปรึกษาผู้ใหญ่แล้วผลคือมีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะปิดกั้นการเข้าถึงบางเว็บไซต์ แล้วเชื่อได้ว่าข้าราชการในสมัยนั้นอาจมองหาทางเลือกใหม่ในการเข้าถึงคลิ๊ปหนังในเวลาราชการผ่านบริการ 3G ซึ่งปัจจุบันมีราคาลดลง และอาจเร็วกว่าเน็ตของส่วนราชการบางแห่ง ก็ต้องมาติดตามว่าจะมีหนังสือแบบนี้ฉบับต่อไปจากหน่วยงานใดหรือไม่ เพราะเชื่อว่ากระแสโซเชียลในกลุ่มราชการจะไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ถ้าบอสไม่เอาจริง

+ http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9580000011774

+ http://www.manager.co.th/Drama/ViewNews.aspx?NewsID=9570000145325

+ http://news.mthai.com/general-news/188920.html

รวมคลิ๊ปเกี่ยวกับพิธีประสาทปริญญาบัตร

รวมคลิ๊ปงานรับปริญญา และภาพบรรยากาศ

เวทีพิธีประสาทปริญญาบัตร
เวทีพิธีประสาทปริญญาบัตร

1. น้องเอ๋ เล่าบรรยากาศงานรับปริญญา
https://www.youtube.com/watch?v=I7T1ByJP-8E
1.1 ข่าวงานรับปริญญาโดย ธัญพิสิษฐ์ เล่าเรื่องคลิ๊ปน้องเอ๋
https://www.youtube.com/watch?v=I7T1ByJP-8E
2. พิธีประสาทปริญญาบัตร วันแรก โดยเจม (9.21 นาที)
https://www.youtube.com/watch?v=I2FDTYzZM44
3. พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี) บรรยายพิเศษ
https://www.youtube.com/watch?v=PiglXCxn7QA
4. แสดงความยินดีกับบัณฑิต ขอ 3 คำ
https://www.youtube.com/watch?v=J0oINaER43s
5. ขานชื่อบัณฑิตเดินเข้ารับปริญญาของคณะต่าง ๆ
https://www.youtube.com/watch?v=bKdK6_vwFQ0
6. บูมบัณฑิต วีดบูม
https://www.youtube.com/watch?v=x4By0hLFERY
7. ซ้อมรับปริญญาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
https://www.youtube.com/watch?v=xaeJ-UbEML4
8. สัมภาษณ์บัณฑิต .. ลูกสาวคุณนิเวศน์ อินติ๊บ
https://www.youtube.com/watch?v=OGeKOJf-wH8
9. พิธีประสาทปริญญาบัตร
https://www.youtube.com/watch?v=c03tWmIhkmo

ข้อพึงปฏิบัติและข้อห้ามในพิธีประสาทปริญญาบัตร

มีเอกสารเผยแพร่ในพิธีประสาทปริญญาบัตรครั้งที่ 21
ที่มหาวิทยาลัยเนชั่น ฝ่ายพิธีการได้ทำเอกสารเผยแพร่
เพื่อให้บัณฑิต และมหาบัณฑิตใช้เป็นแนวทาง
ว่าสิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ
ประกอบด้วย
– การแต่งกาย
– การสวมหมวก
– การโค้งคำนับ
– การปรบมือ
– การรับปริญญาบัตร
– การกล่าวคำปฏิญาณตน
– การถ่ายภาพหมู่
– ข้อห้ามปฏิบัติ
– การบริการอาหารและเครื่องดื่ม
– การบริการด้านปฐมพยาบาลเบื้องต้น
– การจราจรและที่จอดรถ
มีรายละเอียดดังนี้

กินอาหารเกินพิกัด (overload eating) เสี่ยงถึงตาย

overloading is problem
overloading is problem

หากกินผิดวันนี้อาจคิดเสียใจไปจนวันตาย
เป็นเรื่องที่ผมว่ามนุษย์รู้กันมานานแล้ว ทั้งเหล้า บุหรี่ ของหวาน ของมัน
ในช่วงอายุ 45 ปี ผมรู้สึกได้ถึงความไม่ดีหลังกินบุฟเฟต์หลายครั้ง
แล้ว วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม 2558 เป็นวันที่ตัดสินใจเลิกกินบุฟเฟต์อย่างเด็ดขาด
เป็นการเปลี่ยนทัศนคติที่เปลี่ยนได้อีกครั้งหนึ่ง (ผมเปลี่ยนเรื่องอื่นมาหลายอย่างแล้ว)
เพราะบุฟเฟต์มื้อหนึ่งก็หลายร้อย แต่อิ่มปกติหนึ่งมื้อจ่ายเพียง 30 บาท
หลายคนบอกว่าเข้าไปกินบุฟเฟต์มื้อละหลายร้อย แต่ตักมากินเท่า 30 บาทก็ได้
ถ้าคิดและทำแบบนั้นจริง แสดงว่าคุณร่ำรวยไม่น้อย
แต่ผมคงทำใจไม่ได้ ที่จะจ่าย 300 บาท แต่กิน 30 บาท
สรุปว่า .. ต่อไปผมจะไม่จ่าย 300 บาท แล้วพยายามกินให้คุ้มกับที่จ่ายไป
เพราะการกินอาหารเกินกว่าอิ่มปกติ จะทำให้ร่างกายมีปัญหาอย่างแน่นอน

1. คุณภาพของอาหารบุฟเฟต์ มักถูกตั้งคำถามว่า “ไว้ใจ๋ได้ก๋า”
2. กระเพาะ ลำไส้ ของเรา เมื่อรับปริมาณอาหารเกินปกติ ย่อมทำงานมากผิดปกติ
อาจทำให้สูญเสียการยืดหยุ่นตามปกติ แล้วอาจเกิดความผิดปกติใดใดตามมา
เช่น กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ หรือโรคลำไส้ทั้งใหญ่และเล็ก
3. การอิ่มเกินปกติที่เกิดขึ้นในวันนี้ ก็จะทิ้งไว้เพียงความทรงจำ
แต่ผลกระทบต่อร่างกายจะยังคงอยู่ถาวร .. เป็นเรื่องที่น่ากลัวนะ

http://courses.educ.ubc.ca/etec540/May08/hansonj/comm2.html

ท่านเป็นเจนใดในแปดเจน (itinlife482)

ท่านเป็นเจนใดในแปดเจน
ท่านเป็นเจนใดในแปดเจน

ได้อ่านผลงานของ ผศ.ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่องเจนวาย แล้วไปอ่านภาพอินโฟกราฟฟิคของ kapook.com เรื่องคน 8 เจเนอเรชั่น ซึ่งคำว่าเจน (Gen) มาจาก Generation แปลว่า สายพันธุ์ ยุค หรือรุ่น ที่แบ่งช่วงอายุตามพฤติกรรม ได้เห็นการจำแนกมนุษย์ที่สัมพันธ์กับช่วงอายุ มีนักธุรกิจ หรือนักการตลาดใช้เป็นสารสนเทศในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย มีผลการศึกษาอย่างแพร่หลาย อีกเจนหนึ่งนอกจากแปดเจนที่พบในผลงานเรื่อง Gen-M Lifestyle ของ ม.หอการค้าไทย มี อายุระหว่าง 18-24 ปี เป็นกลุ่มนักศึกษาในมหาวิทยาลัย หรือเริ่มทำงานใหม่ เป็นสมาชิกของครอบครัวที่ถูกดูแลสั่งสอนเป็นพิเศษ เป็นที่คาดหวังของพ่อแม่ไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งยั่วยุ รักครอบครัว เคารพผู้ใหญ่ ตัดสินใจด้วยความคิดของตนเอง เปิดรับข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อดิจิตอล

คนรุ่นแรกหรือรุ่นสูญหาย (Lost Gen.) เกิดช่วง 2426-2443 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการเริ่มต้นของความเจริญที่ชัดเจน คนรุ่นสองหรือรุ่นผู้ยิ่งใหญ่ (Greatest Gen.) เกิดช่วง 2444-2467 ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้ที่เกิดช่วงนี้จะเป็นกำลังหลักในการทำสงคราม มีความคิดเห็น ความเชื่อไปในทางเดียวกัน คนรุ่นสามหรือรุ่นเงียบ (Silent Gen.) เกิดช่วง 2468-2488 ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มีประชากรไม่มากเพราะเป็นช่วงสงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ ชีวิตยากลำบาก คนรุ่นสี่หรือรุ่นลูกเยอะ (Baby Boomer) เกิดช่วง 2489-2507 ยุคสิ้นสุดสงคราม มีการส่งเสริมการมีลูก เพื่อมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง เคารพกฎเกณฑ์ มีความอดทนสูง ถูกสั่งสอนให้เป็นคนประหยัด อดออม ใช้จ่ายอย่างรอบคอบระมัดระวัง

คนรุ่นห้าหรือรุ่นเอ็กซ์ (Gen-X) เกิดช่วง 2508-2522 ยุคโลกมั่งคั่ง เริ่มควบคุมการเกิด ชอบอะไรง่าย ไม่เรื่องมาก มีความคิดสร้างสรรค์ พึ่งมาตนเอง มีความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว คนรุ่นหกหรือรุ่นวาย (Gen-Y) เกิดช่วง 2523-2540 ยุคเทคโนโลยี เป็นตัวของตนเอง ช่างเลือก  ชอบมีชีวิตอิสระ ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้ เปิดรับข้อมูลข่าวสาร มีส่วนร่วมกับเครือข่ายสังคม กล้าแสดงออก มีความเห็นตรงไปตรงมา มักไม่เกรงใจ คนรุ่นเจ็ดหรือรุ่นแซด (Gen-Z) เกิดช่วง 2540 ถึงปัจจุบัน เป็นยุคเด็กใช้เทคโนโลยี เรียนรู้ได้เร็ว เป็นรุ่นสุดท้ายในยุคนี้ที่โตมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก สภาพแวดล้อมด้านไอทีที่พร้อมบริบูรณ์ คนรุ่นแปดหรือรุ่นซี (Gen-C) ไม่แบ่งตามอายุ เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมใช้โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย เสพติดการเชื่อมต่อ กดแชร์ กดไลค์ทุกเวลาที่มีโอกาส มักเป็นสมาชิกของสังคมก้มหน้า

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1420337305

http://www.thaipost.net/x-cite/090114/84364

http://hilight.kapook.com/view/83492

http://pantip.com/topic/30807680

http://sara-dd.com/index.php?option=com_content&view=article&id=227:consumer-%20behavior-gen-

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20100106/93930/Y-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%9B-M-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7.html

ลูกค้าถูกเสมอ เป็นกฎที่ทำให้ผู้คนเชื่อว่ามีอย่างอื่นสำคัญกว่า “ความถูกต้อง”

ชวนมองต่างมุมเฉย ๆ ครับ
จากการที่เคยเรียน และเคยเชื่อ
ว่า .. มีอย่างอื่นสำคัญกว่าความถูกต้อง คือ “ลูกค้า”
เพราะเคยเห็นนโยบายขององค์กรในตำรา ที่เขียนว่า
Rule 1. The customer is always right!
Rule 2. If the customer is ever wrong reread rule 1.

แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น

แมวจับหนู ถ้าจับได้ไม่ว่าจะแมวขาวหรือดำ ก็เรียกว่าแมวดี .. จริงหรือ
แมวจับหนู ถ้าจับได้ไม่ว่าจะแมวขาวหรือดำ ก็เรียกว่าแมวดี .. จริงหรือ

http://www.aecnews.co.th/focus/read/261

กรณีที่ 1
มีข่าวว่าแม่ค้าที่ประเทศจีน
แก้ผ้าลูกค้าประจาน ในความผิดที่ขโมยเสื้อผ้าในร้าน
ถ้าแม่ค้ายึดนโยบายลูกค้าถูกเสมอ เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น
http://news.truelife.com/detail/3256491

กรณีที่ 2
มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกปิด
เพราะมองนักศึกษาเป็นลูกค้า
เมื่อลูกค้าอยากซื้อใบปริญญา ก็ขายให้
แม้นักศึกษากระทำผิดแต่ก็ไปสนับสนุน
โดยเชื่อว่าลูกค้าถูกเสมอ แล้วตนเองก็กระทำผิด
http://www.globalpurchasinggroup.com/the-customer-isnt-always-right/

กรณีที่ 3

ผลสำรวจของ ABAC Poll
เผยผลสำรวจ ระบุประชาชน เกินร้อยละ 60 รับได้
ถ้ารัฐบาลคอร์รัปชั่น แล้วตนเองได้ประโยชน์
อะไรก็ตามที่ทำแล้วตนเองได้ประโยชน์ มีมนุษย์ไม่น้อยคิดว่าเป็นความถูกต้อง
ผมว่าน่าคล้อยตามอยู่ไม่น้อย
http://www.thaiall.com/blog/burin/5410/

เสนอร่างระบบการรับนักศึกษาและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษา

หลังไปคุยกับเพื่อนเรื่องระบบและกลไก พบว่าในคู่มือมีเกณฑ์คล้ายกัน 7 ตัวบ่งชี้ คือ
3.1 การรับนักศึกษา
3.2 การส่งเสริมและพัฒนานักศึกษา
4.1 การบริหารและพัฒนาอาจารย์
5.1 สาระของรายวิชาในหลักสูตร
5.2 การวางระบบผู้สอนและกระบวนการจัดการเรียนการสอน
5.3 การประเมินผู้เรียน
6.1 สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้

พบว่า ปกติจะมีการประชุมและทำงานตามระบบและกลไก .. ต่อเนื่องทุกปี
เมื่อถึงสิ้นปีแล้ว เห็นว่าขั้นตอนหรือกระบวนการใดในระบบ
ควรยุบ ปรับปรุง พัฒนา หรือขยายก็เปลี่ยนได้
จึงเสนอตุ๊กตา ตามตัวบ่งชี้ 3.1 ระบบและกลไกการรับนักศึกษา
ในคู่มือการประกันคุณภาพภายใน ระดับอุดมศึกษา ฉบับปีการศึกษา 2557
ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

กำหนดการของ ม.สวนดุสิต มีความละเอียดดี จึงนำมาเป็นภาพประกอบ
กำหนดการของ ม.สวนดุสิต มีความละเอียดดี จึงนำมาเป็นภาพประกอบ

เป็นตัวอย่าง “ระบบการรับนักศึกษาและการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษา
1. แต่งตั้ง/ทบทวน คณะกรรมการรับนักศึกษา ประจำหลักสูตร
2. ประชุมวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
3. ประชุมทบทวน/จัดทำแผนกลยุทธ์การรับนักศึกษา และการรณรงค์รับนักศึกษา
4. เสนอขออนุมัติแผนกลยุทธ์จากคณะกรรมการบริหารคณะฯ
5. เผยแพร่แผนกลยุทธ์การรับนักศึกษา
6. ประชุมจัดทำแผนปฏิบัติการ  เป้าหมาย เกณฑ์ และตัวบ่งชี้ความสำเร็จ
7. เสนอขออนุมัติแผนปฏิบัติการ และงบประมาณ
8. เผยแพร่แผนปฏิบัติการให้กับทีมงานได้เข้าใจ เข้าถึง
9. เตรียมข้อมูลของหลักสูตร เพื่อการประชาสัมพันธ์รับนักศึกษา
10. ประชุมทบทวนเงื่อนไขการรับนักศึกษาในโครงการต่าง ๆ
11. ประกาศรับสมัครนักศึกษาตามเกณฑ์หลักสูตร
12. แต่งตั้งคณะกรรมการออกข้อสอบ คุมสอบ ตรวจข้อสอบ ประกาศผลสอบ
13. ประชุมออกข้อสอบ รูปแบบการรับสมัคร หรือเครื่องมือคัดเลือกนักศึกษา
14. จัดพิมพ์ข้อสอบ
15. จัดสอบข้อเขียน
16. จัดสอบสัมภาษณ์
17. ประกาศผลสอบ
18. ปฐมนิเทศนักศึกษา
19. จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนเข้าศึกษา
20. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการของคณะ
21. ดำเนินการสนับสนุนแผนปฏิบัติการของมหาวิทยาลัย
22. ประชุมติดตามตัวบ่งชี้ของแผนปฏิบัติการระหว่างปีการศึกษา
23. ประเมินความพึงพอใจการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการรับนักศึกษา
24. ประชุมเปรียบเทียบกับหลักสูตรใกล้เคียง และทำการรวบรวมข้อเสนอแนะ
25. ประชุมประเมินผลแผนงาน/โครงการ และประเมินกระบวนการรับนักศึกษา
26. ประชุมถอดบทเรียน ปรับปรุงแผน พัฒนาการบูรณาการกระบวนการ ระบบ และกลไก
27. ประชุมสรุปผลตามแผนกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการการรับนักศึกษาประจำปี

* มีอีกหลายขั้นตอนที่ยังไม่ได้ระบุลงไป เช่น ประชุมผู้ปกครอง ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ วันมอบตัว เป็นต้น
http://www.thaiall.com/iqa

การเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ ก็ต้องเปลี่ยนข้อมูลนำเข้า หรือการประมวลผล

เล่าสู่กันฟัง ว่า ..
แต่ละปี มีกิจกรรมซ้ำซ้ำมากมาย
หากสามารถนำบทเรียนในอดีต มาปรับกิจกรรมที่ทำได้
ย่อมส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น
แต่ถ้าขึ้นปีใหม่ แล้วยังมีกิจกรรมเหมือนเดิม ทำกันแบบเดิม ๆ
ผลลัพธ์ระหว่างปี หรือปลายปีก็คงเหมือนเดิม
แล้วจะคาดหวังผลใหม่ได้อย่างไร
อ้างอิง ที่ ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ กล่าวไว้ว่า
ถ้าระบบการศึกษาเดิมได้วางแผนว่า “ท่องจำ ทำข้อสอบ”
เด็ก ๆ คงต้อง “ออกแบบ เรียนรู้ และวางแผนอนาคต” กันเอง
เพราะถ้า input กับ process ยังเหมือนเดิม
จะหวังให้ output เปลี่ยนเอง คงเป็นไปไม่ได้
จึงต้องทำ input กับ process กันใหม่
ระบบ (system)
ระบบ (system)
ภาพนี้เล่าถึงความหมายของ ระบบ (system)
ตัวอย่างระบบทั้งหมด 3 เรื่อง
1. ระบบคอมพิวเตอร์
2. ระบบท่องเที่ยว
3. ระบบสุขภาพ
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นตัวคุมกิจกรรม หรือกระบวนการ
บางระบบก็ต้องทำ 4 รอบจึงจะบรรลุวัตถุประสงค์

ความเป็นมาของการส่งความสุขที่เปลี่ยนไป (itinlife 481)

ส.ค.ส. ที่มีรูปธงไตรรงค์ ธงชาติไทยที่เก่าแก่ที่สุด
ส.ค.ส. ที่มีรูปธงไตรรงค์ ธงชาติไทยที่เก่าแก่ที่สุด

http://tccontent.blogspot.com/2013/11/blog-post_3001.html

ตามบันทึกในประวัติศาสตร์ พบว่าเริ่มมีการส่งบัตรเยี่ยม หรือ การ์ดข้อความมามากกว่า 200 ปีแล้ว ประเทศไทยรับธรรมเนียมการส่งบัตรอวยพรจากต่างชาติ แบบแรกคือ บัตรอวยพรปีใหม่ ซึ่งพบหลักฐานที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เคยจัดทำเป็นภาษาอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2409 ปรากฏในหนังสือพิมพ์ The Bangkok Recorder ของ หมอบรัดเลย์ (Dr.Dan Beach Bradley) ต่อมาได้เกิดคำว่า ส.ค.ส. ที่ย่อจาก ส่งความสุข ในต้นรัชกาลที่ 5 จนมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากเมษายน เป็นมกราคม ตามแบบสากลเมื่อ พ.ศ.2483 และนิยมสงการ์ดอวยพรเรื่องมาถึงปัจจุบัน

เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างมาก หลายปีก่อนนิยมส่งข้อความถึงกันด้วยอีเมล (E-Mail) และมีบริการส่งบัตรอวยพรทางเว็บไซต์ ทำให้บัตรอวยพรที่ส่งทางไปรษณีย์เริ่มเสื่อมความนิยมลง แต่มีการรับส่งบัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) ทางอีเมลกันมากขึ้น ต่อมาโทรศัพท์มีบริการรับส่งข้อความแบบสั้น หรือ SMS (Short Message Service) ทำให้การส่งความสุข หรือข้อความยินดีในแต่ละเทศกาลเริ่มเปลี่ยนไป บางท่านที่มีเพื่อนมากอาจได้รับข้อความในเทศกาลปีใหม่นับร้อย บางท่านมีเพื่อนน้อยอาจได้รับเป็นสิบข้อความเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในต้นปี 2558 สถิติการส่งข้อความสั้นลดลงตามคาด และลดลงมากกว่าปีที่ผ่านมา จากรายงานข้อมูลของผู้ให้บริการทั้ง ดีแทค เอไอเอส และทรูมูฟ เอช

การใช้งานดาต้าในช่วง 23.45 – 00.15น. เปลี่ยนปีเก่าเป็นปีใหม่ เทียบกับปีที่ผ่านมา พบว่ามียอดการใช้งานสูงขึ้น 3 – 4 เท่า ซึ่งผู้ใช้ส่งข้อความหากันผ่านโซเชียลมีเดียหลัก 3 ราย คือ Line, Facebook และ Instagram ทั้งนี้กระแสการใช้งาน Line Sticker ได้รับการสนับสนุนประชาสัมพันธ์จากภาครัฐ มีแบบสติ๊กเกอร์ 16 แบบให้ดาวน์โหลดฟรี เพื่อส่งเสริม “ค่านิยมสิบสองประการ” และแบบที่ 13 มีคำว่า “สวัสดีปีใหม่” ซึ่งผมก็ได้รับจากเพื่อนหลายท่าน แต่ในทางตรงกันข้ามปีนี้กลับไม่ได้รับข้อความส่งความสุขทาง SMS เลย ต่อจากนี้แนวโน้มการส่งข้อความของผู้ใช้เทคโนโลยีก็จะใช้บริการผ่าน Line และ Facebook เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าท่านกำลังพิจารณาว่าจะส่งความสุขถึงใครสักคนก็คงต้องพิจารณาว่าผู้รับจะสะดวกรับทางใด ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากนักในยุคสังคมก้มหน้า

http://www.jobmarket.co.th/news/detail.php?dd=5978

http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000000110

http://www.mxphone.net/010115-3-operetor-new-year-data-usage-up/