Avon ปลดพนักงาน 600 ตำแหน่ง หลังขาดทุนหนัก

avon
avon

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2557 เว็บไซต์อินเทอร์เนชันแนล บิซิเนส ไทม์ส รายงานว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางเอวอน (Avon) ประกาศปลดพนักงาน 600 ตำแหน่ง รวมทั้งในภูมิภาคอเมริกาเหนือ หลังจากบริษัทต้องต่อสู้กับภาวะขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา โดยเอวอนต้องขาดทุน 5 ใน 6 ไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการนี้คาดว่าจะทำให้เอวอนสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ราว 50-55 ล้านดอลลาร์ (1,500-1,650 ล้านบาท)

รายงานระบุว่า เอวอน ต้องขาดทุนในตลาดเครื่องสำอางสำคัญของโลก ตั้งแต่รัสเซีย ลาตินอเมริกา และสหรัฐ โดยการขาดทุนของเอวอนเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 168 ล้านดอลลาร์ หรือขาดทุน 38 เซนต์ต่อหุ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกยอดขายของเอวอนในตลาดอเมริกาเหนือได้ตกลง 22 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเอวอนต้องเผชิญกับสินค้าเครื่องสำอางคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่าตามดรักสโตร์ และร้านขายเครื่องสำอางต่าง ๆ

ทั้งนี้ เอวอน เป็นบริษัทเครื่องสำอางใหญ่อันดับ 5 ของโลก และเป็นบริษัทขายตรงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนตัวแทนทั่วโลกกว่า 6.5 ล้านคนในปี 2556 แต่นับตั้งแต่ปี 2549-2554 เอวอนมีผลกำไรติดลบถึง 2 ปี คือ ปี 2552 ติดลบ 24.9% และปี 2554 ติดลบ 20.4%

————–

หญิงอังกฤษซิลิโคนหน้าอกระเบิด หลังเสริมคัพ D

หญิงอังกฤษซิลิโคนหน้าอกระเบิด หลังเสริมอึ๋มสุดสะบึม เป็นคัพ D

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษ เปิดเผยเรื่องราวน่าหวาดเสียว เมื่อหญิงชาวอังกฤษรายหนึ่ง ต้องเผชิญกับฝันร้าย หน้าอกปลอมระเบิดทำซิลิโคนรั่วไหล หลังจากเข้ารับการศัลยกรรมหน้าอกไซส์ใหญ่จัดเต็ม

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ คิม บร็อกเฮิร์สต์ วัย 51 ปี ครูสอนกีฬาจากอังกฤษ ได้ทุ่มเงินกว่า 2 แสนบาท เข้ารับการผ่าตัดเสริมหน้าอกจาก 32A ให้ใหญ่ขึ้น 2 คัพ ซึ่งจะเท่ากับคัพ C แต่แล้วหลังจากผ่าตัดเสร็จ เธอกลับพบว่าหมอเข้าใจผิด จัดเต็มให้เธอมีหน้าอกคัพ D สุดสะบึมซะอย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ตัดสินใจแก้ไขให้เป็นขนาดที่ต้องการ และใช้ชีวิตอยู่กับมันมาโดยตลอด กระทั่งวันหนึ่ง หน้าอกเจ้ากรรมของเธอก็เกิดการอักเสบขึ้น เนื่องจากซิลิโคนที่อกซ้ายระเบิดและรั่วภายในร่างกายเธอ เธอจึงต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาซิลิโคนออก

อย่างไรก็ดี ภายหลังแพทย์ผู้ผ่าตัดนำซิลิโคนออกจากหน้าอกเธอ ได้เปิดเผยว่า แพทย์ที่ทำศัลยกรรมหน้าอกให้คิมนั้น ใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงนำมาซึ่งการระเบิดของซิลิโคนดังกล่าว
—————–

ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view91097.html

ภาพจาก Kim Brockhurst

เอมี่ น้ำเพชร รองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 ภาพหลุดสุดหวิว

เอมี่ น้ำเพชร สุณัณณิการ์ รองมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 อันดับ 2 ถูกมือดีขุดภาพหวิวแฉ ชี้ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง

วันที่ 12 มิถุนายน 2557 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 ฉาวซ้ำอีกครั้ง หลังมีบุคคลนิรนามเปิดบัญชีอินสตาแกรมชื่อ amikan_amy พร้อมกับนำภาพถ่ายสาวหน้าคล้ายกับ เอมี่ น้ำเพชร สุณัณณิการ์ กฤษณสุวรรณ เจ้าของมงกุฎรองชนะเลิศอันดับ 2 ของเวทีประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 มาโพสต์เผยแพร่อย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ ผู้โพสต์ยังตั้งคำถามว่า ผู้หญิงที่เคยมีพฤติกรรมหรือถ่ายภาพแบบไม่เหมาะสมเช่นนี้มาก่อน สมควรได้รับรางวัลจากเวทีมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มีผู้ติดตามอินสตาแกรมนี้แล้วเกือบ 20,000 คนเลยทีเดียว

———–

ขอบคุณข้อมูลจาก http://women.kapook.com/view90657.html

สลด ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองบัวลำภู โรคลมบ้าหมูกำเริบ ขับรถชนเด็กนักเรียน เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ13ราย

วันนี้(11 มิ.ย.) ช่วงเวลาประมาณ 10.00น. มีรายงานข่าวว่าได้เกิดเหตุสลดขึ้นที่โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งกำลังจัดงานนิทรรศการวันวิทยาศาสตร์และมีคุณครูและนักเรียนอีกหลายโรงเรียนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ระหว่างนั้น นายบัวลำ โงะบุดดา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวังน้ำขาวชนูปถัมภ์ กำลังขับรถยนต์ปาเจโร่ผ่านมา

และได้เกิดอาการโรคลมบ้าหมูกำเริบ ทำให้รถยนต์ชนเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4ของโรงเรียนหนองบัววิทยายนที่มาร่วมเยี่ยมชมงาน ก่อนที่รถปาเจโร่จะพุ่งไปชนต้นไม้ที่เกาะกลางถนน โดยมีเพื่อนนักเรียนและคุณครูเห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก

เบื้องต้นมีรายงานว่า เด็กที่ถูกรถชนเสียชีวิตกลางถนนของโรงเรียนรวมแล้ว4 ราย บาดเจ็บ 13 ราย

——————–

ขอบคุณข่าวจาก http://news.mthai.com/general-news/345620.html

“แอน สิเรียม”ซุ่มเงียบวิวาห์ที่อังกฤษ

อดีตนางเอกดัง “แอน สิเรียม” วิวาห์อย่างเงียบๆ ที่ประเทศอังกฤษ

“แอน” สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ อดีตนางเอกชื่อดัง ซุ่มเงียบเข้าประตูวิวาห์เป็นรอบที่ 3 ที่ประเทศอังกฤษ หลังเจ้าตัวโพสต์รูปลงบนอินสตาแกรม @annsirium พร้อมข้อความว่า “Celebrating with my daughter”  โดยเป็นภาพที่สาวแอน อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาว ในมือถือช่อดอกไม้ ยืนเคียงคู่กับลูกสาวคนสวย “น้องนนนี่”

ก่อนหน้านี้ แอน สิเรียม เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ากำลังศึกษาดูใจอยู่กับนักธุรกิจหนุ่มอังกฤษ โดยรู้จักกันนานแล้วและเป็นเพื่อนกันมาก่อน

—————

http://www.posttoday.com/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/299769/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9

ฝ้าย ร่ำไห้ ขอลาออก มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014

วันนี้ (9 มิ.ย.)  กองประกวด ประกาศแจ้งเรียนเชิญสื่อมวลชน ร่วมรับฟังการแถลงเปิดใจของ ฝ้าย เวฬุรีย์ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2014 ณ ห้อง R2 โรงแรมเรอเนซองส์ ย่านราชประสงค์ เวลา 13.30 น.

โดยเวลา 13.45 น. ฝ้าย เวฬุรีย์  ปรากฎตัว พร้อมบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ออกมาแถลงข่าวหลังจากก่อนหน้านี้ฝ้ายได้ออกมาพูด ออกมาขอโทษ และขอกำลังใจจากแฟนนางงามทุกคน (เริ่มร้องไห้) ซึ่งมันไม่ได้กระทบตัวฝ้ายคนเดียว มันกระทบไปถึงครอบครัวฝ้ายด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ วันนี้ฝ้ายเลยตัดสินใจ สละตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และไม่ขอเรียกร้องสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น

เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของฝ้ายเอง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ้ายต้องขอขอบคุณกรรมการทุกท่าน และหากในอนาคตหลังจากนี้มีกิจกรรมเพื่อสังคมอะไรเข้ามาจากกองประกวด ฝ้ายก็พร้อมร่วมมือและช่วยเสมอ ฝ้ายขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ข้างฝ้าย เพื่อน ๆ ที่คอยให้กำลังใจฝ้าย รวมถึงกองประกวด พี่เลี้ยงทุกคนที่ช่วยเหลือฝ้าย ดูแลฝ้ายมาจนถึงวันนี้ ฝ้ายขอบคุณทุกคำวิจารณ์ ทุกคอมเม้นท์ต่าง ๆ ตามช่องทางสื่อ ทั้งดีและไม่ดี

ฝ้ายอยากจะขอให้เรื่องของฝ้ายเป็นบทเรียนให้แก่ทุก ๆ คน ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เองก็เป็นบทเรียนที่ครั้งใหญ่ของฝ้ายเช่นกันค่ะเราจะมองว่าเป็นเรื่องของส่วนบุคคลมากกว่าค่ะ

ฝ้ายเสียดายหรือเสียใจไหมกับโอกาสตรงนี้ ?
– ไม่เสียใจเลยค่ะ เพราะตอนแรกทุกคนในครอบครัวยินดีมีความสุข แต่พอกระแสสังคมมันเกิดขึ้นแบบนี้ ความสุขที่เคยมีมันก็หายไปหมดแล้วค่ะ”

ตอนแรกเราบอกว่าจะสู้ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้ตัดสินใจถอย?
“บางทีกระแสสังคมมันมากเหลือเกิน เห็นแม่นอนไม่หลับหนูก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

สละตำแหน่งแบบนี้เงินรางวัลที่ได้มาจะต้องคืนกองประกวดด้วยไหม ?
“หนูไม่ได้หวังประโยชน์อะไรจากกองประกวดค่ะ”

เมื่อสละตำแหน่งไปแล้วตอนนี้จะถือว่าฝ้ายอยู่ในตำแหน่งอะไร ?
“ก็คือหนึ่งในผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ค่ะ”

ทางด้านผู้จัดการกองประกวดให้สัมภาษณ์ว่า

เหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้กองประกวดพิจารณาการคัดเลือกนางงามมากขึ้นไหม ?
“เราก็คงจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ สิ่งมากขึ้นค่ะ อย่างพวกโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ”

สำหรับกองประกวด เป็นเพราะกระแสสังคมค่อนข้างแรงด้วยไหมเราถึงยอมให้น้องฝ้ายสละตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกก็ยืนยันว่าจะเดินหน้าไปด้วยกัน ?
“เรามองที่ตัวบุคคลมากกว่าค่ะ คือถ้าบุคคลไม่มีความสุข ไม่มีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไปเราก็ถือการตัดสินใจของเขาเป็นสำคัญดีกว่าค่ะ”

ถ้าเป็นที่สองมาแทนและที่สองก็มีภาพหลุดออกมาอีก ?
“อันนี้ก็ต้องคุยกันเป็นคน ๆ ไปนะคะ”

—————

ประโยชน์ของข้าวโพด

ข้าวโพด
ข้าวโพด

ข้าวโพดเป็นธัญพืช ที่ชื่นชอบของใครหลายๆคน นอกจากจะมีฝักและเมล็ดที่มีรสชาติ หวาน แล้วยังประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหารมากมาย ยิ่งในปัจจุบันยุคไอที ข้าวโพดเป็นธัญพืชชั้นดี ที่จะช่วยดูแลสุขภาพร่างกายของเรา และป้องกันโรคต่างๆ อีกด้วย มาดูกันว่าข้าวโพดมีประโยชน์อะไรบ้าง

สรรพคุณของข้าวโพด

ข้าวโพดช่วยบำรุงสายตา

ในข้าวโพดจะมีสาร เบต้าแคโรทีน (β-carotene) หรือที่เรารู้กันว่าเป็น โปรวิตามินเอ ร่างกายเราจะนำไปใช้สร้างสาร โรดอปซินนะครับช่วยให้ลดอัตราเสื่อมของลูกตาและป้องกันการเป็นโรคต้อกระจกตาด้วย อีกทั้งยังมี โฟเลตซึ่งจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอในการเสื่อมสภาพของร่างกาย

ป้องกันโรคหัวใจ

ข้าวโพดจะมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ ผูกกับใยที่ละลายกับน้ำดีจากคอเลสเตอรอลในตับของเรา ซึ่งจะช่วยให้คอเลสเตอรอลในร่างกาย สลายไปได้ดีอีกด้วย แถมยังอุดมไปด้วยโฟเลต, วิตามินบีที่ช่วยในการลดระดับของ homocysteine, กรดอะมิโนที่ตามผลิตภัณฑ์ในกระบวนการเมตาบอลิสำคัญ (เรียกว่ารอบการเติมหมู่เมธิ) ระดับสูงของ homocysteine สามารถทำลายเส้นเลือดที่นำไปสู่หัวใจวายโรคหลอดเลือดสมองหรือโรคหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดันในร่างกาย

ต้านมะเร็ง

นอกจากข้าวโพดจะมีสารที่ช่วยในการสร้าง โรดอปซิน ที่จะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว ข้าวโพดยังช่วยลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งปอด และเส้นใยในข้าวโพดยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารเพื่อสุขภาพจึงลดความเสี่ยงของโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่

ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหาร

เส้นใยอาหารแบบไม่ละลายน้ำ ในข้าวโพดจะช่วยให้ดี สำหรับริดสีดวงทวาร จากโรคทางเดินอาหาร หรืออาหารท้องผูก ทุเลาลง เนื่องจาก เส้นใยจะช่วยดูดซับน้ำ และช่วยระบบขับถ่ายให้ดียิ่งขึ้น

ช่วยบำรุงผิวพรรณ

อย่างที่เราทราบกันดีเรื่อง สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในข้าวโพด ทำให้ผิวพรรณของเราไม่เหี่ยวย่น เปล่งปลั่งดูสดชื่นมีชีวิตชีวา

————-

และยังมีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ (Cornell University : เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนตั้งอยู่ที่เมืองอิทากา ในมลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2408) รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษ ในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด นักวิจัยเปิดเผยว่า “ผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน” ว่าผักและผลไม้หากต้มหรือปรุงสุกแล้ว จะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถ เก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะสูญเสียวิตามินซีไป

นักวิจัยยังพบอีกว่าการต้มข้าวโพดหวาน ด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานเท่าไหร่ จะทำให้มันมีสาร ที่เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์ เป็นตัวล้างพิษ ช่วยดับพิษของอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรค อันสืบเนื่องมาจากความแก่ชราต่างๆ เช่น ต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย

คณะนักวิจัยชี้แจงว่าข้าวโพดหวาน ที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก (Ferulic acid) อันเป็นคุณกับร่างกาย และจะยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้น หรือเวลานานขึ้น กรดเฟรุลิกเป็นพวก “พฤกษเคมี” (Phytochemical หรือ Phytonutrients) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพ พบเฉพาะในผักและผลไม้และมีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบว่ามีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพด ซึ่งผสมปนเปรวมอยู่กับพฤกษเคมีอย่างอื่นๆ เพราะฉะนั้นการทำให้มันสุก จึงช่วยให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น”

—————————————

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.xn--22c6buahm7b6c3b8g.com/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94.html

http://www.jitdrathanee.com/blog/2010/10/corn/

ญี่ปุ่นส่งเสริมประชาชนแต่งชุดลำลองในที่ทำงานเพื่อประหยัดพลังงาน

ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต
ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต

2 มิ.ย.- สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานอ้างสื่อญี่ปุ่นว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มดำเนินโครงการรณรงค์ซูเปอร์คูลบิซส่งเสริมให้ประชาชนแต่งกายด้วยชุดลำลองในสถานที่ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรับอากาศมากเกินไปซึ่งจะช่วยให้ประหยัดพลังงาน
สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงานว่า โครงการซูเปอร์คูลบิซเริ่มขึ้นในปี 2554 ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนพลังงานหลังจากเกิดวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะไดอิจิ โดยได้รับการปรับปรุงมาจากโครงการคูลบิซที่เริ่มขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งอนุญาตให้ลูกจ้างของรัฐไม่ต้องสวมสูทมาทำงาน

โดยปกติแล้วคนทำงานในญี่ปุ่นจะสวมชุดสูทและผูกเนคไทเสมอ แต่ระหว่างช่วงที่มีการดำเนินโครงการซูเปอร์คูลบิซคนทำงานจะได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อโปโล รองเท้าผ้าใบหรือแม้แต่เสื้อฮาวายในที่ทำงานได้ ทั้งนี้ โครงการซูเปอร์คูลบิซจะยังคงดำเนินไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ และโครงการคูลบิซจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมของญี่ปุ่นยังได้แนะให้ประชาชนเปลี่ยนช่วงการทำงานให้เช้าขึ้นซึ่งสภาพอากาศเย็นกว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ในญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคลมแดดแล้ว 3 คน และล้มป่วยอีกหลายร้อยคน หลังจากหย่อมความกดอากาศสูงปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นและส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น.

-สำนักข่าวไทย  http://www.mcot.net/site/content?id=538c11d2be0470e3068b4569#.U45303J_tLE

กินกล้วย…ช่วยแก้ตะคริว

Banana
Banana

หากคุณเป็นตะคริวบ่อยๆ วิธีการแก้ในระยาวก็คือ  รับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมให้มากๆ ซึ่งอาหารที่พบได้ว่ามีโพแทสเซียมก็หาไม่ยาก  เช่น ผลไม้พื้นเมืองบ้านเราอย่าง “กล้วย” นั่นเอง

เมื่อรับประทานกล้วยบ่อยๆ อาการตะคริวก็ค่อยๆ หายไปและไม่เป็นอีก นอกจากนี้ควรหมั่นยืดเส้นยืดสายบ่อยๆ ระหว่างนั่งทำงาน ก็เป็นวิธีป้องกันการเป็นตะคริวได้ค่ะ

————–
ขอบคุณข้อมูลจาก.นิตยสารเพื่อนแพน

กรมวิทย์ฯ ยัน ตรวจขวดน้ำพลาสติกในรถไม่พบสารก่อมะเร็ง

      images
      images

    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันไม่เคยมีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่ม พร้อมเผยผลการตรวจวิเคราะห์ไม่พบในทุกตัวอย่าง (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์)

    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยืนยัน ไม่เคยมีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในขวดพลาสติกบรรจุน้ำดื่มที่วางทิ้งไว้ในรถ หลังมีข้อมูลส่งต่อกันว่า ขวดพลาสติกที่ตากแดดนาน ๆ จะมีสารแพร่ออกมาทำให้เสี่ยงมะเร็ง

    เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากกระแสข่าวผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์และสื่อสังคมออนไลน์เตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำดื่มบรรจุขวดพลาสติกที่เก็บในหลังรถยนต์ และจอดกลางแดด โดยมีโอกาสได้รับสารไดออกซินที่แพร่ออกมาจากขวดน้ำพลาสติก เนื่องจากอากาศร้อนจัด อาจทำให้เกิดมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งอื่น ๆ ได้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตื่นกลัวถึงอันตรายจากการดื่มน้ำบรรจุขวดพลาสติกนั้น

    ในเรื่องนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดย สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ซึ่งมีภารกิจในการวิเคราะห์ วิจัยทางด้านไดออกซิน น้ำดื่มและวัสดุสัมผัสอาหาร ขอชี้แจงข้อมูลเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคดังนี้…

    สารไดออกซิน (Dioxins) เป็นชื่อกลุ่มสารที่มีโครงสร้างและสมบัติทางเคมีใกล้เคียงกัน ประกอบด้วย สารกลุ่มโพลี คลอริเนตเตท ไดเบนโซพารา ไดออกซิน (Polychlorinated dibenzo-para-dioxins: PCDDs) สารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตท ไดเบนโซ ฟูแรน (Polychlorinated dibenzo furans: PCDFs) และสารกลุ่มโพลีคลอริเนตเตทไบฟีนิล ที่มีสมบัติคล้ายสารไดออกซิน (Dioxins–like polychlorinated biphenyls: DL-PCBs) ซึ่งกลุ่มสารไดออกซินที่ก่อให้เกิดพิษมี 29 ตัว และสารแต่ละตัวจะมีค่าความเป็นพิษแตกต่างกัน โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือว่าสาร 2,3,7,8–Tetrachlorodibenzo-para-dioxin (2,3,7,8-TCDD) เป็นสารที่มีความเป็นพิษสูงสุด

    สารไดออกซินเป็นผลผลิตทางเคมีที่เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ แหล่งกำเนิดสำคัญของสารกลุ่มนี้คือกระบวนการผลิตเคมีภัณฑ์ที่มีสารคลอรีนเป็นองค์ประกอบ เช่น อุตสาหกรรมผลิตเยื่อกระดาษ อุตสาหกรรมผลิตยาฆ่าแมลง เป็นต้น หรือกระบวนการเผาไหม้อุณหภูมิสูงทุกชนิด เช่น เตาเผาขยะทั่วไป เตาเผาขยะจากโรงพยาบาล เตาเผาศพ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง และการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น

    การสร้างกลุ่มสารไดออกซินจากการเผาไหม้จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิประมาณ 200-550 องศาเซลเซียส และจะเริ่มถูกทำลายเมื่ออุณหภูมิ 850 องศาเซลเซียสขึ้นไป ทำให้มีการปลดปล่อยและสะสมสารกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ดิน หรือน้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้