แก้วน้ำแห่งความสุข

แก้วน้ำแห่งความสุข
แก้วน้ำแห่งความสุข

ลูกสาว ม.1 นำบทความในกระดาษมาให้อ่าน
เพราะครูให้สรุปมาสั้น ๆ ว่า เขาพูดถึงอะไร
ผมก็ให้ลูกอ่านให้ฟัง แล้วก็ชอบครับ
.. เห็นความคิดของมนุษย์อีกแบบหนึ่ง

จึงนำเนื้อหามาแบ่งปันต่อครับ
ถ้ามีโอกาสก็จะไปหาหนังสือ ความหวัง ไม่เห็น ไม่ใช่ ไม่มี มาอ่านสักหน่อย

จิตร์ ตัณฑเสถียร มือเก๋าของแวดวงโฆษณาพูดเรื่อง “การยึดมั่นถือมั่น

เขายกตัวอย่างเรื่อง “แก้ว”
แก้วที่ว่างเปล่านั้น  เมื่อใส่น้ำ มันก็เป็น “แก้วน้ำ”
แต่ถ้าเราเอาดอกไม้ปักลงไป มันก็จะเป็น “แจกัน”
และถ้าแก้วใบนั้นใหญ่หน่อย เราเติมน้ำและใส่ “ปลา” ลงไป
“แก้วน้ำ” ก็จะกลายเป็น “ตู้ปลา”
และหากเราคว่ำ “แก้วน้ำ” เอาดินสอขีดรอบแก้ว
“แก้วน้ำ” จะกลายเป็น “วงเวียน”

“จิตร์” บอกว่าคนเราอย่ายึดมั่นถือมั่น
อย่าคิดว่า “แก้วน้ำ” ต้องเป็น “แก้วน้ำ” ตลอดไป
ครับ ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ได้หยุดนิ่ง
มันแปรเปลี่ยนตาม “ตัวแปร” ต่างๆ
เรานำไปใช้งานอย่างไร มันก็เป็นเช่นนั้น

“ชีวิต” ก็เช่นกัน
เหมือนนักเรียนที่เชื่อว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือทั้งหมดของชีวิต
ถ้าสอบไม่ติดก็เสียใจ และรู้สึกว่าชีวิตสิ้นหวัง
หรือถ้าสอบเข้าคณะที่คนคิดว่า “ดี” ก็จะคิดว่าชีวิตนับต่อจากนี้ต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน

สมัยก่อน “ด่าน” วัดความสำเร็จของชีวิตจะอยู่ที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แต่ปัจจุบันนี้ผู้ปกครองเพิ่ม “ด่าน” มากขึ้น
เริ่มต้นจากระดับ “โรงเรียน”
ถ้าเข้าโรงเรียนนี้ได้ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
จากนั้นก็ขยับเป็นทอดๆ จนถึง “มหาวิทยาลัย”
ใช้ “โรงเรียน” หรือ “มหาวิทยาลัย” เป็นดัชนีวัดความสำเร็จ
คิดแบบ “หยุดนิ่ง” ว่าเมื่อเข้าคณะดีๆ มหาวิทยาลัยดังๆไปแล้ว
ชีวิตก็ต้อง “ดี” แบบนี้ตลอดไป
เป็น “แก้วน้ำ” ก็เป็น “แก้วน้ำ” ตลอดไป

นั่นคือเหตุผลที่เด็กวันนี้ต้องใช้เวลากับการ “เรียนพิเศษ” มากกว่าในห้องเรียนปกติ
ไม่มีเวลาเล่นกับชีวิตเลย
ผมไม่เคย “เรียนพิเศษ”
ดังนั้น ทุกครั้งที่เห็นเด็กเรียนพิเศษแบบหามรุ่งหามค่ำ ผมจะรู้สึกสงสารและเสียดาย
“สงสาร” เด็กที่ต้องเรียนหนัก
“เสียดาย” โอกาสสำหรับความสุขนอกห้องเรียนในวัยเด็ก

ขออนุญาตเล่าชีวิตวัยเด็กของผมให้เด็กรุ่นใหม่อิจฉาสักหน่อย
ตอนเรียนอยู่ที่เมืองจันท์ ผมใช้ชีวิตอยู่กับโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ๑๐-๑๒ ชั่วโมงต่อวัน
ค่าเทอมที่พ่อแม่จ่ายไปคุ้มค่าจริงๆ
ไปเรียนตอนเช้า เรียนเสร็จเดินกลับบ้าน
เปลี่ยนชุดเสร็จก็วิ่งกลับไปโรงเรียนอีก
ไม่ได้ไป “เรียน” แต่ไป “เล่น” ครับ

ตอนเช้าใช้ห้องเรียนของโรงเรียน แต่ตอนเย็นใช้สนามกีฬา
ถ้าไม่เล่นวอลเลย์บอล ก็เล่นฟุตบอล
ใช้แสงอาทิตย์เป็น “นาฬิกาปลุก”
หมดแสงเมื่อไรก็หมดแรงเมื่อนั้น

ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าไม่ไปสวนกับ “ป๋า” หรือ “แม่” ก็จะแวะไปบ้านเพื่อน
ฮาเฮกันตลอด
ปิดเทอมก็เล่นฟุตบอล วอลเลย์บอล เข้าสวน ไปห้องสมุดประชาชน หรือหานิยายอ่าน หรือไม่ก็ไปบ้านเพื่อน
ไม่เคยเรียนพิเศษเลย
จนช่วงหนึ่งที่บ้านมีปัญหาทางการเงิน แม่ต้องเปิดแผง ขายสาคูไส้หมูและขนมใส่ไส้หารายได้เพิ่ม
ช่วงนั้นจึงเริ่มทำตัวมีประโยชน์
ช่วยทำขนมและเปลี่ยนผลัดกับแม่ไปนั่งขายที่หน้าแผงตอนค่ำ
แต่ก็ยังเล่นกีฬาตลอด
จนอีก ๑ ปีก่อนเอ็นทรานซ์ ชีวิตผมจึงเปลี่ยนไป
ลุยอ่านหนังสือเต็มที่ก่อนสอบ

ครับ ในขณะที่เด็กวันนี้ใช้เวลาเรียนพิเศษตั้งแต่ระดับประถมจนถึงชั้น ม.๖
ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ปี
แต่ผมใช้เวลาลุยอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแค่ปีเดียว
ที่เหลือ “เล่น”
น่าอิจฉาไหมครับ
ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่มัก “ยึดมั่นถือมั่น” ว่า “โรงเรียน” หรือ“มหาวิทยาลัย” เป็น “ด่าน” วัดความสำเร็จ
ลืมไปว่าชีวิตไม่ใช่ “เกมโชว์”
ผ่านด่านนี้ไปก็ชนะในเกมเลย
ชอบคิดแบบ “หยุดนิ่ง”
เช่นเดียวกับ “เกรด” ในใบปริญญา
นิสิตนักศึกษาจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเลขของ “เกรด” มีค่าเพียงแค่ใช้ในการสมัครงาน
พ้นจากวันนั้น “เกรด” ก็เป็นแค่ “ตัวเลข” ในใบปริญญา
ไม่มีใครสนใจ
เพราะเมื่อเริ่มทำงานจริง คุณค่าของเราจะอยู่ที่การทำงาน
ใครทำงานเก่งกว่ากัน
ใครทำงานกับคนได้ดีกว่ากัน ฯลฯ
หัวหน้างานไม่สนใจแล้วว่าใครเรียนจบมาด้วยเกรดเท่าไร

ที่สำคัญ  ชีวิตของเราไม่ใช่ “เส้นตรง”
แต่เป็น “ทางแยก” ที่ต้องเลือกเสมอ
ดุลพินิจในการใช้ชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะ “ชีวิต” ก็เหมือน “แก้วน้ำ” ครับ
มันแปรเปลี่ยนไปเสมอ ไม่เคยหยุดนิ่ง

“แก้วน้ำ” จะเป็นอะไร
ขึ้นอยู่กับ “การใช้งาน”
“ชีวิต” ก็เช่นกัน
จะเป็นอะไร
ก็ขึ้นอยู่กับ “การใช้ชีวิต”
ที่สำคัญ ต้องอย่าลืมว่าทุกช่วงเวลาของชีวิตมีค่าเท่าเทียมกัน

ถ้าคนเรามีอายุ ๗๐ ปี
๑๐ ปี ก็คือ ๑ ใน ๗ ของชีวิต
๑๐ ปีในวัยเด็กก็มีค่าเท่ากับ ๑๐ ปีในวัยหนุ่มสาว
หรือ ๑๐ ปีในช่วงท้ายของชีวิต
ไม่มีช่วงเวลาใดมีค่ามากกว่ากัน
ดังนั้น ใครสะสมห้วงเวลาแห่งความสุขได้มากกว่ากัน
คนนั้นถือว่า “โชคดี”
เวลาของ “ความสุข” ที่แท้จริงจึงไม่ใช่ “วันพรุ่งนี้”
แต่เป็น “วันนี้”

http://www.se-ed.com/eShop/Products/Detail.aspx?CategoryId=0&No=9789740208495
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321953970

สทศ. รับ o-net ถามแรงเรื่องเพศ พร้อมนำข้อวิจารณ์ไปปรับปรุง


onet เวลาผ่านไป อะไรอะไรก็กระจ่างขึ้น
onet เวลาผ่านไป อะไรอะไรก็กระจ่างขึ้น

http://www.scholarshipinter.com/2011/content.php?id=1360

http://news.mthai.com/hot-news/154847.html

1. ผมว่า .. ฐานคิดของคนเราแตกต่างกัน
เมื่อใดก็ตามที่คิด แล้วนำความคิดมาเปรียบเทียบ ก็มักจะเห็นความแตกต่าง
อย่างเช่น ข้อสอบโอเน็ต
ถ้าใช้ฐานคิดของนักเรียนหญิงก็คงตอบไปทาง
ถ้าใช้ฐานคิดของผู้ปกครองที่ทุกเรื่องต้องปรึกษาตนก็คงตอบไปทาง
ถ้าใช้ฐานคิดของวัยรุ่นที่เอนตามโจทย์ก็คงไปอีกทาง
ถ้าใช้ฐานคิดของวิชาสุขศึกษา ก็น่าจะตอบตรงตามที่ผู้ออกข้อสอบคิด

2. เรื่องฐานคิดที่แตกต่าง มีตัวอย่างเกี่ยวกับแนวคิดการรับสมัครนักเรียน
โดยงานรับนักเรียนของโรงเรียนในหมู่บ้าน ว่าเหตุที่นักเรียน .. เลือกเรียนเพราะอะไร
1. คุณครูสอนดี ดังนั้นหน้าที่ทำให้มีนักเรียนเพิ่ม คือ สอนในชั้นเรียนให้ดี เป็นหลัก
2. นักเรียนที่นี่เก่ง ดังนั้นต้องติว สอนพิเศษ ให้ทำข้อสอบเยอะ ส่งแข่งขัน เป็นหลัก
3. ค่าเล่าเรียนถูก หรือมีทุนการศึกษา งั้นก็ลดค่าเล่าเรียน เป็นหลัก
4. ครูรู้จักผู้ปกครอง ดังนั้นก็สนับสนุนให้ครูออกพื้นที่ ตามบ้าน สอนน้อยลง เป็นหลัก
5. ครูรู้จักเยาวชน ดังนั้นก็สนับสนุนให้ครูไปคลุกคลีกับเด็กในหมู่บ้าน
คลุกคลีกับเด็นในชั้นเรียนให้น้อยลง เป็นหลัก
6. โรงเรียนสวย ดังนั้นทุ่มทุนสร้าง เป็นหลัก
7. ใกล้บ้าน ไม่ต้องทำอะไร เสือนอนกิน
8. ครูใหญ่เล่นการเมือง ก็ต้องให้ครูใหญ่ออกสื่อบ่อย ๆ เป็นหลัก
9. ใช้ดีจึงบอกเพื่อน อันนี้ต้องมานั่งคุยกันว่า 5w คืออะไร
อันที่จริงทุกเหตุ มีผล ตรงตามสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าทวนคำถามอีกครั้งว่า “กิจกรรมใดมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักเรียนมากที่สุด
ซึ่งคำตอบย่อมมีอยู่เป็นที่ประจักษ์ .. ???
แต่ถ้าคิดตามฐานคิดของบทบาทที่เป็น
คำตอบก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไป เรียกว่าคำตอบขึ้นกับคนตอบนั่นหละครับ

3. ประเด็นข่าว
ได้จาก http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNek1EQXdNak00TUE9PQ==

จากกรณี สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ “สทศ.” จัดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ “โอเน็ต” ช่วงชั้นที่ 4 หรือระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประจำปีการศึกษา 2554 ระหว่างวันที่ 18-19 ก.พ. ที่ผ่านมา และภายหลังการสอบปรากฏว่ามีกลุ่มนักเรียน ม.6 เข้าไปโพสต์กระทู้ตามเว็บไซต์ชื่อดัง อาทิ เด็กดี และเอ็มไทย ดอต คอม วิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามถึงวิธีออกข้อสอบวิชาสุขศึกษาดังกล่าว เพราะโจทย์และคำตอบค่อนข้างกำกวม ตัดสินใจยากว่าข้อใดถูกข้อใดผิด ตลอดจนโจทย์บางข้ออ่านแล้วเนื้อหาไม่เหมาะสม
โดยคำถามที่ กลุ่มนักเรียนชี้ว่า ไร้หลักการวิชาการและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เช่น “หากเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาต้องทำอย่างไร” ตอบ ก.ชวนเพื่อนไปเตะบอล ข.ปรึกษาครอบครัว ค.พยายามนอนให้หลับ ง.ไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศ จ.ชวนเพื่อนสนิทไปดูหนัง หรือ “เป็นแฟนกันต้องแสดงออกยังไงให้ถูกประเพณีไทย” ตอบ ก.เดินโอบไหล่ซื้อของ ข.ชวนไปทานข้าวดูหนัง ค.นอนหนุนตักในที่สาธารณะ ง.ชวนกันไปทะเลค้างคืน จ.ป้อนข้าวกันในร้านอาหาร และ “อาการลักเพศจะมีพฤติกรรมแสดงออกมาอย่างไร” ก.สะสมชั้นในเพศตรงข้าม ข.แต่งกายเลียนแบบเพศตรงข้าม ค.รักกับเพศเดียวกัน ง.โชว์อวัยวะเพศ จ.แอบดูเพื่อนต่างเพศในห้องน้ำ ตามที่ “ข่าวสด” เสนอมาตามลำดับนั้น
ล่าสุด นายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. และนายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สทศ. ก็ได้ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงข้อกังขากระหึ่มเน็ตวัยโจ๋ว่า ได้เรียกผู้ออกข้อสอบวิชาสุขศึกษา มาชี้แจงแล้ว พบว่า
เนื้อหาข้อสอบเป็นไปตามหลักสูตรที่เคยประกาศลงเว็บไซ ต์ สทศ. ตั้งแต่ก่อนจัดสอบ เนื้อหาเป็นการวัดความจำเนื้อหาที่อยู่ในตำรา
“คนอาจมองว่าข้อสอบไม่เหมาะสม ซึ่งสทศ.ก็ยอมรับว่าข้อความที่ไปเขียนเป็นโจทย์อาจรุนแรงเกินไป แต่ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เบื้องต้นจึงให้เจ้าหน้าที่รวบรวมความเห็นของเด็กในเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อนำไปวิเคราะห์ปรับรูปแบบการออกข้อสอบในปีหน้า ขอชี้แจงว่าข้อสอบโอเน็ตที่ถูกนำโพสต์ไว้ที่เว็บไซต์ มีเนื้อหาไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด..
“อย่างโจทย์ข้างต้น จริงๆ แล้ว สทศ.ถามว่า ′ในค่านิยมที่ดีจะปฏิบัติตนอย่างไรหากเกิดอารมณ์ทางเพศ′ ซึ่งก็อยู่ในหลักสูตรวิชาสุขศึกษา สาระที่ 2 เรื่องชีวิตและครอบครัว ในมาตรฐานเรื่องค่านิยมที่ดีเรื่องเพศ และเข้าใจธรรมชาติของการเกิดอารมณ์ทางเพศ โดยใจความเนื้อหาได้เขียนวิธีแก้ไว้ว่า ให้แสดงการปลดปล่อยอารมณ์ด้วยการออกกำลังกายและเล่นกีฬา ฉะนั้นคำตอบที่ถูกจะเป็นข้อ ก.ชวนเพื่อนไปเตะบอล ซึ่งเป็นการให้เด็กได้คิดวิเคราะห์แทนการท่องจำตรงตามวัตถุประสงค์ของ สทศ.” ผอ. สทศ.กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากคำตอบของ ผอ.สทศ. แล้วก็ยังถือว่า “ไม่เคลียร์ไ อยู่นั่นเอง เนื่องจากถ้าฟันธงว่า คำตอบที่ถูกต้อง คือ “ก.ชวนเพื่อนไปเตะบอล” ก็มีข้อโต้แย้งจากน.ส.เพชรไพริน ทองพหุสัจจะ นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนสตรีวิทยา ผู้ทำข้อสอบมาหมาดๆ ที่ให้สัมภาษณ์ “ข่าวสด” เอาไว้ว่า
“ข้อสอบโอเน็ตในส่วนของคำถามนั้นไม่ยาก แต่ตัวเลือกคำตอบทั้ง 5 ข้อกำกวมมาก เช่นถามว่าเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาต้องทำอย่างไร ตัวเลือกคำตอบ ได้แก่ ชวนเพื่อนไปเตะบอล ปรึกษาครอบครัว พยายามนอนให้หลับ ไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศ หรือชวนเพื่อนสนิทไปดูหนัง ซึ่งตอบไปว่าพยายามนอนให้หลับ เนื่องจากเป็นผู้หญิงคงไม่ตอบข้อที่ชวนเพื่อนไปเตะบอล และไม่รู้ว่าตัวเลือกใดเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เพราะนักเรียนหญิงและชายอาจตอบไม่เหมือนกัน จึงไม่แน่ใจว่าผู้ออกข้อสอบต้องการวัดอะไรในตัวเด็กกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือข้อสอบสักษณะนี้ทำให้ผู้สอบงงและสับสนมาก”
ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อมีบทเรียนหลายครั้งหลายครา สอบ “โอเน็ต” ครั้งหน้าคงไม่มีคำถามพิสดารพันลึก โผล่ออกมาให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ต้องร้อง “จ๊ากส์” กันอีกรอบ!

ฟุตบอลอียิปต์ แฟนบอลเสียชีวิตอย่างน้อย 73 คน

http://www.youtube.com/watch?v=ozh7P1exxXQ

2 ก.พ.55 สหพันธ์ฟุตบอลอียิปต์ ประกาศระงับการแข่งขันลีกทุกระดับอย่างไม่มีกำหนด หลังเหตุการณ์รุนแรงใน พอร์ต ซาอิด ในแมตช์ที่ อัล มาสรี พลิกเอาชนะ อัล-อาห์ลี 3-1 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยถึง 73 คน ตามรายงานเมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
ภาพจากกล้องวีดีโอเห็นได้ว่าหลังสิ้นเสียงนกหวีด แฟนบอลกรูกันเข้ามาในสนามและวิ่งไล่กวดนักเตะ อัล-อาห์ลี โดย โมฮาเหม็ด อาโบ ไทรกา นักเตะของถึงกับบรรยายว่า นี่ไม่ใช่ฟุตบอล แต่เปรียบเสมือนสงคราม “นี่ไม่ใช่ฟุตบอลแล้ว มันเป็นสงครามและมีคนตายต่อหน้าเรา มันไม่มีการรักษาความปลอดภัย ไม่มีรถพยาบาล นี่เป็นสถานการณ์เลวร้ายที่จะไม่มีวันลืม”
แถลงการณ์ของสหพันธ์ฯ ระบุถึงการประกาศระงับการแข่งขันทั้ง 4 ดิวิชั่น หลังเหตุการณ์ที่สร้างความตกตะลึงและเศร้าเสียใจ ขณะเดียวกันก็ประกาศไว้อาลัยเป็นเวลา 3 วันแก่เหยื่อเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิต ด้าน เซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานฟีฟ่าก็ไม่รีรอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกรายเช่นกัน
http://www.dailynews.co.th/sports/10483

[อีกข่าวมีรายละเอียดว่า]
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 74 คน และบาดเจ็บ 248 คน จากการที่แฟนบอลเลือดร้อน พากันกรูลงไปในสนามแข่งขันที่พอร์ต ซาอิด เมืองท่าติดชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อวันพุธ หลังจากทีมมาสรี ซึ่งเป็นทีมเจ้าบ้านเอาชนะทีมเยือน อัล อาห์ลี จากไคโร ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความนิยมสูงสุดของอิยิปต์ ด้วยสกอร์ 3-1
เหตุสลดใจในวางการลูกหนังครั้งนี้ เกิดขึ้นในทันทีที่จบการแข่งขัน เมื่อแฟนบอลของทีมอัล มาสรี ที่กรูลงไปในสนามบางส่วน เข้าไปล้อมกรอบนักเตะของทีม อัล อาห์ ลี จนกระทั่งเหตุการณ์บานปลาย เมื่อแฟนบอลทั้งสองฝ่ายได้ตะลุมบอนเข้าใส่กัน
ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากขาดอากาศหายใจ และมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะ ขณะที่ตำรวจปราจลาจลไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ จนกลายเป็นเหตุเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังอิยิปต์และนอง เลือดที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา
เหตุจลาจลครั้งนี้ ยังเตือนให้ตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยที่เสื่อมสภาพในประเทศ ที่ได้ชื่อว่ามีประชากรมากที่สุดในโลกอาหรับ ท่ามกลางภาวะไร้เสถียรภาพอย่างต่อเนื่องมาเกือบปี หลังจากอดีตประธานาธิบดีฮอสนีย์ มูบารัค ถูกโค่นอำนาจในเหตุลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านเขา อันเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ “อาหรับสปริง ”
จากการสันนิษฐานในเบื้องต้น คาดว่าสาเหตุของการจลาจลมาจากการที่ทั้งสองทีม ต่างก็เป็นทีมดังของอิยิปต์และแฟนบอลต่างก็เป็นศัตรูคู่อริกันมายาวนาน รวมถึงกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามมีน้อยเกินไป ไม่อาจรับมือกับแฟนบอลที่บุกลงไปในสนาม ขว้างปาก้อนหินพลุไฟและขวดเข้าใส่กัน
มีรายงานด้วยว่า การแข่งขันของคู่สุดท้าย ระหว่างทีม อัล อิสไมย์ลี กับทีมซามาเล็ค ถูกระงับไป เพื่อไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ทำให้แฟนบอลในกรุงไคโร ซึ่งเป็นสถานที่จัดการแข่งขัน เกิดความไม่พอใจ และก่อเหตุรุนแรงด้วยการจุดไฟเผาสนามหญ้า ภายในสนามกีฬา เพื่อประท้วง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้ดับไฟได้ก่อนจะเกิดความเสียหายมากขึ้น
เหตุจลาจลที่เกิดจึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความผันผวนทางการเมือง แต่ก็นำมาซึ่งความวิตกต่อศักยภาพของตำรวจ ในการรับมือกับฝูงชน ตำรวจปราบจลาจลในเครื่องแบบสีดำ พร้อมโล่ห์และหมวกส่วนใหญ่ในจำนวนหลายร้อยนายที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ ไม่ได้ทำอะไรตอนที่แฟนบอลเข้าปะทะกันซึ่งบางคงกวัดแกว่งของมีคมเข้าใส่กัน ที่เหลือขว้างปาไม้และก้อนหิน
ภาพที่เผยแพร่ทางโทรทัศน์ ได้แสดงให้เห็นนักเตะของทีม อัลอาห์ลี ต้องวิ่งหนีตายเข้าไปยังห้องพักนักกีฬา ในขณะที่แฟนบอลหลายร้อยคนวิ่งเข้าตะลุมบอนแลกหมัดกัน มีผู้ชายหลายคน ได้เข้าไปช่วยผู้จัดการทีมที่กำลังโดยรุมสกรัม โดยที่ตำรวจไม่ได้ทำอะไร สถานีโทรทัศน์ของทางการได้ขอรับบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ กองทัพส่งเครื่องบินไปอพยพคนที่อาการหนักไปรักษาที่กรุงไคโร
นายโมฮัมเหม็ด อิบราฮิม รัฐมนตรีมหาดไทย เปิดเผยว่า แฟนบอลของทีม อัล มารีย์ ที่กรูลงไปในสนามมีมากถึง 13,000 คน พวกเขากระโดดข้ามแนวกั้น และทำร้ายแฟนบอลของทีมอัล อาห์ลี ที่มีราว 1,200 คน
ชารีฟ อิครามี ผู้รักษาประตูของทีมอัล อาห์ลี ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุรุนแรงครั้งนี้ เปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์  โอเอ็นทีวี ของเอกชนว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บถูกพาเข้าไปในห้องพักนักกีฬา นักเตะต่างเห็นคนกำลังจะตายต่อหน้าต่อตา หลายคนตัดสินใจที่จะเลิกเล่นฟุตบอล พวกเขาไม่มีกำลังใจที่จะเล่นอีกต่อไปเมื่อพบว่ามีคนเสียชีวิตถึง 70 คน
ส่วนโมฮัมหมัด อาบู ไทรก้า นักเตะของทีมอัล อาห์ลี ระบุว่า ตำรวจได้ยืนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เข้าแทรกแซง ผู้คนกำลังจะตาย โดยมีใครทำอะไรเลย มันเหมือนสงครามไม่มีผิด ชีวิตคนราคาถูกขนาดนี้เลยหรือ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอ้างว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่งไม่ให้ตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพลเรือนอีก หลังจากเกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ประท้วงเมื่อเดือนพฤศจิกายน ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 คน
นอกจากนี้ เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น ยังได้เน้นถึงบทบาทของแฟนบอลในอิยิปต์ต่อการประท้วงทางการเมือง จากการที่กลุ่มที่รู้จักกันในชื่อ อุลทรัส มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติและชุมนุมต่อต้านการปกครองของทหาร บทเพลงร้องต่อต้านตำรวจ ถ้อยคำสาปแช่ง เป็นตัวแทนแห่งความเกลียดชังของชาวอิยิปต์ที่มีต่อกองกำลังรักษาความมั่นคง ที่พวกเขามองว่าใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบและแพร่หลายอย่างมากในยุค ของอดีตประธานาธิบดีมูบารัค
อิยิปต์ ได้ชื่อว่า ไม่มีภูมิคุ้มกันเหตุรุนแรงในกีฬาฟุตบอล เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์อัปยศ เมื่อตำรวจที่ไร้ประสิทธิภาพ ยืนรักษาการณ์อยู่ในสนามไคโร อินเตอร์ เนชั่นแนล สเตเดี้ยม ไม่ได้เข้าระงับเหตุตอนที่แฟนบอลชาวอิยิปต์กรูลงไปในสนาม และทำร้ายแฟนบอลชาวตูนิเซีย ระหว่างเกมการแข่งขันคู่ของทีมซามาเล็ค และทีมจากตูนิเซีย ในศึกฟุตบอลแอฟริกัน แชมเปี้ยนลีค ที่กรุงไคโร
ส่วนเหตุรุนแรงล่าสุด ได้มีนักเคลื่อนไหวจำนวนมากเตรียมจะไปชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงมหาดไทยในกรุงไคโร เพื่อประท้วงที่ตำรวจไร้ความสามารถ ไม่อาจยับยั้งเหตุนองเลือดได้ รายงานระบุว่า ในจำนวนผู้บาดเจ็บมีผู้ที่อาการสาหัส 40 คน
นายเซปป์ บลัตเตอร์ ประธานฟีฟ่า กล่าวว่า เขารู้สึกช็อคและสลดใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับเป็นวันที่มืดมนของวงการฟุตบอล นับเป็นหายนะที่ยากจะจินตนาการและไม่ควรจะเกิดขึ้น
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/world/20120202/433628/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B270%E0%B8%A8%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9F%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B9%8C.html

ฟังพระครูวินัยธรวิเชียร บรรยายธรรมเรื่องจิตอาสา

พระครูวินัยธรวิเชียร วชิรธมโม
พระครูวินัยธรวิเชียร วชิรธมโม

ฟังพระครูวินัยธรวิเชียร บรรยายธรรมเรื่องจิตอาสา
ห้อง 4204 อาคารนิเทศศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยเนชั่น จังหวัดลำปาง
ช่วงบ่ายของวันที่ 27 ม.ค.55
โดยเฉพาะช่วยเปิดคลิ๊ป อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ให้สัมภาษณ์วู้ดดี้
ประทับใจ หลักการใช้ชีวิต ที่เป็นบทเรียนของชีวิตอีกบทหนึ่ง

ชื่อ-ฉายา พระครูวินัยธรวิเชียร วชิรธมโม
พรรษา 27
วัน / เดือน / ปีเกิด 14 พฤษภาคม 2507
บรรพชา 13 มีนาคม 2519
อุปสมบท 14 กรกฎาคม 2528
การศึกษา
– นักธรรมเอก
– เปรียญธรรม 5 ประโยค
– ปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาศาสนา
– ปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขา ไทยศึกษา

ประสบการณ์
– ประธานพระพุทธสาสตรบัณฑิต รุ่น 41
– ประธานคณะกรรมการนิสิต
– ประธานบริหารคณะกรรมการนิสิต
– ครูใหญ่โรงเรียนกุศลจมาครวิทยาลัย
– เลขานุการองค์การเผยแผ่วัดประยุรวงศาวาส
– หัวหน้าแผนกวิชาการองค์การแผยแผ่วัดประยุวรงศาวาส

งานปัจจุบัน
– รองประธานองค์การเผยแผ่วัดประยุวรงศาวาส
– เจ้าคณะ 10 วัดประยุรวงศาวาส
– ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดประยุรวงศาวาส
– ที่ปรึกษาครูใหญ่ โรงเรียนกุศลสมาครวิทยาลัย

สถานที่ติดต่อ วัดประยุวรวงศาวาส แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กทม ๑๐๖๐๐
เบอร์โทรมือถือ ๐-๑๘๔๐–๗๗๔๑
เบอร์โทรที่อยู่ ๐-๒๔๖๖–๑๖๘๕
โทรสาร ๐-๒๔๖๖–๑๖๘๕
อีเมล์ wichian14@hotmail.com
https://sites.google.com/site/prakrusophon/prapkruwichai

สมัครเฟซบุ๊ควันละหลายหมื่น แล้วหนังสือดาราอ้าล้นแผง

meditation of time magazine
meditation of time magazine

13 ม.ค.55 สำลักสื่อคนไทยติดเฟซบุ๊ควันละ 2.3 หมื่น

รายงานโดย ผกามาศ ใจฉลาด

ครึ่งชีวิตยามตื่นของเด็กผูกติดอยู่กับสื่อ และมีนักวิชาการฟันธง “ไม่มีวันปราบสื่อร้าย” ได้ ที่สถาบันรามจิตติ เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนาในโครงการ “เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม 2” โดยการสนับสนุนของสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้หัวข้อ “สื่อและวัฒนธรรมการเรียนรู้ของเด็กไทย” ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันรามจิตติ ได้เสนอนำภาพรวมเกี่ยวกับสภาวการณ์ “สื่อและวัฒนธรรมการเรียนรู้ของเด็กไทย” โดยสรุปว่า ปัจจุบันเด็กไทยอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่า “สื่อครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันของเด็ก” คือ 1 ใน 3 ของชีวิตใช้เวลาหมดไปกับสื่อทุกรูปแบบ

เห็นได้จากสถานการณ์สื่อสิ่งพิมพ์ได้รับความนิยมลดลง แต่หนังสือดารา “อ้า” ล้นแผง แฝงโลกีย์กลับขายดี ผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในช่วงปี 2551 เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่อ่านหนังสือซึ่งไม่ใช่ตำราเรียนมีเพียงร้อยละ 36 ของเด็กทั้งหมด ส่วนผู้อ่านหนังสือที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป พบว่า ใช้เวลาอ่านหนังสือนอกเหนือจากตำราเรียนและงานเฉลี่ยเพียง 39 นาทีต่อวัน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ จึงมีแนวโน้มของการสื่อสารที่ขาดสติและเหตุผลได้ง่าย

ส่วนสื่อโทรทัศน์และวิทยุยังได้รับความนิยม (เด็กและเยาวชนแชมป์รายการบันเทิง) พร้อมๆ กับเปิดรับสื่อใหม่ (New Media) ในยุคเว็บขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการสำรวจในช่วงปี 2552 พบว่า เด็กวัยมัธยมศึกษา-อุดมศึกษา มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้ถึงประมาณร้อยละ 45 และมีโทรศัพท์มือถือใช้ถึงร้อยละ 85 ใช้เวลาคุยโทรศัพท์ถึงวันละประมาณ 92 นาที เล่นอินเทอร์เน็ตประมาณ 134 นาที หากรวมสื่อโทรทัศน์ที่เด็กไทยให้เวลาอีกเกือบ 3 ชั่วโมงต่อวัน เท่ากับว่าเด็กไทยใช้เวลากับสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ไปถึง 6-7 ชั่วโมงต่อวัน

ทุกวันนี้มีคนใช้ชีวิตอยู่กับสังคมออนไลน์มากขึ้นทุกวัน และมีการใช้โซเชียลมีเดีย สื่อสาร หรือเขียนเล่า เนื้อหา เรื่องราว ประสบการณ์ บทความ รูปภาพ และวิดีโอที่ผู้ใช้เขียนขึ้นเอง ทำขึ้นเองหรือพบเจอจากสื่ออื่นๆ แล้วนำมาแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตน ผ่านทางเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network Website) ที่ให้บริการบนออนไลน์ ดังนั้นปรากฏการณ์เด็กยุคใหม่กับสื่อและเทคโนโลยีเป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลของโครงการไชลด์วอทช์ (Child Watch) พบแนวโน้มที่ชัดเจนของการที่สื่อต่างๆ เข้ามาครอบครองพื้นที่ในชีวิตเด็กไทยมากขึ้น

เด็กและเยาวชนในปัจจุบันได้รับเอาสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ขณะที่เว็บไซต์เฟซบุ๊กมาแรงที่สุด สถิติของคนใช้ทั่วโลกพบว่า ไทยมีคนใช้งานมากเป็นอันดับที่ 21 ปี 2551 มีคนไทยใช้เฟซบุ๊ก 1.6 แสนราย ปี 2552 มีคนไทยใช้เฟซบุ๊ก 1.9 ล้านราย ในปี 2553 มีคนไทยใช้เฟซบุ๊ก 6.7 ล้านราย มีสถิติคนสมัครใช้บริการประมาณ 2.3 หมื่นต่อวัน ช่วงอายุของผู้ใช้งานสูงสุดคือ 18-24 ปี (ร้อยละ 36.3) รองลงมาคือ 25-34ปี (ร้อยละ 31.7)

สัญญาณอันตรายชีวิตยุคไฮสปีดเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงในการเล่นพนันออนไลน์เป็นธุรกิจที่มีความเติบโตอย่างรวดเร็วมากทั่วโลก ในช่วงปี 2549 มีเว็บไซต์เกิดขึ้น 2,300-2,500 เว็บไซต์ และพบอัตราการเติบโตร้อยละ 20 ต่อปี รายได้ของธุรกิจทั่วโลกมีการประมาณไว้อยู่ระหว่างกว่า 31,750 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านล้านบาท ในปี 2558 เด็กติดเกม มั่วสุมร้านเกม ปี 2550-2551 เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 9-15 ปี จำนวน 2,452 คน ใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ราชบุรี สุรินทร์ และสุราษฎร์ธานี พบว่าร้อยละ 13.3 เป็นกลุ่มที่กำลังติดเกมมีอายุเฉลี่ย 11 ปี และมีภาวะติดเกมมากขึ้น โดยเกมที่นิยมเล่นมากที่สุดคือ เกมบู๊ล้างผลาญ เกมเกี่ยวกับเพศ (Dojin) นุ่งน้อยห่มน้อย โดยเฉพาะเกม SF หรือ Special force ยังเป็นที่นิยม

ยังไม่รวมผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ค่านิยมและพฤติกรรมทางเพศ การเรียนรู้ทางเพศแบบผิดๆ ผ่านคลิปโป๊ ปัญหาเพศสัมพันธ์เสรี แม่วัยรุ่น ทำแท้งเถื่อน ปัญหาการเบี่ยงเบนทางเพศ ปัจจุบันเด็กมัธยมระบุว่า ในชั้นเรียนของตนเฉลี่ยมีกลุ่มรักเพศเดียวกันประมาณ 3 คน และตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระดับอาชีวะและอุดมศึกษา เด็กเกิดพฤติกรรมเลียนแบบดารา ค่านิยมสวยไม่ผ่าน อย. “อกฟู รูฟิต, ขาวอมชมพู, ผอมเพรียวภายใน 1 สัปดาห์ สวยใสสไตล์ เกาหลี”

อย่างไรก็ตาม การที่เด็กชอบใช้ชีวิตแบบสังคมออนไลน์ โซเชียลเน็ตเวิร์ก มีทั้งผลดีอยู่บ้าง เช่น การเกิดเครือข่ายจิตอาสาของเยาวชน ดังนั้นภาพรวมความเคลื่อนไหวทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างมีนโยบายและยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ “สื่อสร้างสรรค์” ที่หลากหลาย รวมถึงมาตรการจัดระเบียบและควบคุมสื่อบางประเภท นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้มีโครงการและกิจกรรมส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดียในมิติดีๆ อาทิ Cyber Parents โครงการรักไอที รักษ์โลก (IT Green Project) เครือข่ายพลเมืองจิตอาสา อาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย

นานาทัศนะ

พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล “การแก้ไขเร่งด่วนคือ ระบบ rating รายการโทรทัศน์ ที่ยังขาดเรื่องการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังเสนอให้มียุทธศาสตร์การจัดการความรู้เพื่อการพัฒนาและผลิตสื่อ เพื่อสร้างองค์ความรู้ของการใช้สื่อเพื่อสังคม ทั้งการลงทุนกับการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาสื่อ สร้างฐานงานวิชาการด้านสื่อเพื่อเด็กที่เข้มแข็ง”

อิทธิพล ปรีดีประสงค์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล “การสร้างวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในการใช้สื่อ ICT เพื่อการพัฒนาเด็ก ที่สำคัญคือการใช้ยุทธศาสตร์การสร้างพื้นที่ให้เด็กสร้างสื่อด้วยตนเอง เช่น การสร้างและใช้ประโยชน์อี-เลิร์นนิ่ง การเข้าพัฒนาสร้างซอฟต์แวร์ ส่งเสริมการเรียนรู้กันเอง การสร้างเครือข่ายจิตอาสาและขับเคลื่อนสังคมอย่างเครือข่ายนักข่าวเยาวชน เป็นต้น ตลอดจนการเข้ามาริเริ่มธุรกิจค้าขายสินค้าทำเองของเยาวชนจำนวนมากผ่านเว็บต่างๆ ทำให้เห็นมุมบวกของสื่อไอซีที ที่น่าสนับสนุนให้ขยายตัวไปถึงเยาวชนจำนวนมากขึ้น

ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล กล่าวว่า หากบังคับการใช้สื่อกับเด็กไม่ได้การแก้ไข คือ “การสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก มุ่งขยาย Good Practice แล้วหนุนการทำงานเป็นเครือข่าย” ปัจจุบันไม่ต้องรอพื้นที่รอคนให้โอกาส ทำสื่อเองหาพื้นที่เอง หาช่องทางการนำเสนอสื่อเอง สิ่งสำคัญของมุมมองด้านสื่อ คือ การให้ความสำคัญด้านกระบวนการศึกษาของดีที่ทำมาแล้ว และมองหาโอกาสใหม่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้เกิด “สื่อทางเลือกใหม่ๆ” ให้มากยิ่งขึ้น

หมายเหตุ :
ข้อมูลจากสถาบันรามจิตติและสำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม
http://www.komchadluek.net/detail/20110727/104052/%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94FB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B02.3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99.html

ตรวจข้อมูลในจดหมายเวียนของพรรคท้องถิ่น

สมมติว่า รับจดหมายเวียน หรืออีเมลที่ขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลที่จะใช้ประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ซึ่งเกิดในชุมชนขนาดใหญ่ เพราะมีผู้รับเอกสารถึง 120 คน ทีแรกก็คิดว่าจดหมายเวียนฉบับนี้ผิดเยอะอยู่สักหน่อย ก็เม้นไปนิดหน่อย เพราะหวังว่าอีก 120 คนจะช่วยกันตรวจสอบ จึงส่งข้อเสนอที่ตนเองก็ไม่ทราบรายละเอียดไปถึงผู้ที่ส่งมาเพียงคนเดียว เพราะเป็นต้นเรื่อง

แต่เหตุเกิดตรงที่ เพื่อนคนหนึ่งอยู่ในกลุ่ม ตอบว่า “ภาษาไทยยังผิดเลย” แล้วส่งไปถึงเพื่อนทั้ง 120 คน ทำผมได้รับด้วย ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ถ้าตรวจคนละจุดแล้วส่งออกไป เฉพาะแค่ตรวจเอกสารหนึ่งฉบับ จะได้รับอีเมลถึง 120 ฉบับ แล้วถ้ามีคำถามผุดขึ้นมาหนึ่งคำถาม ก็จะได้รับถึง 240 ฉบับ .. ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติในขั้นตอนนี้แน่

การตรวจหนังสือระหว่างกลุ่มคนจำนวนมาก  มีหลายระดับ
1. การตรวจ ระดับที่หนึ่ง ความถูกต้องเชิงนโยบาย
เช่น นโยบายของพรรคการเมืองก่อนหาเสียง ควรมีกลไก และขั้นตอนอย่างไร
2. การตรวจ ระดับที่สอง ความถูกต้องด้านภาษา และข้อมูลพื้นฐาน
เช่น ที่อยู่เบอร์ โทร ชื่อสถานที่ กำหนดการ การเรียงพิมพ์ สีและสัญลักษณ์ ควรมีกลไก และขั้นตอนอย่างไร
3. การตรวจ ระดับที่สาม ความสมบูรณ์ และการรับทราบในภาพรวม
เพื่อสร้างการรับรู้ และยอมรับ และความชอบธรรม ควรมีกลไก และขั้นตอนอย่างไร

ยินดีกับ นาเดีย ได้ลูกชายคนแรก

http://www.youtube.com/watch?v=pNmsK78O8qw
ม.ล.อภิมงคล โสณกุล ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของฉายาหล่อจิ๋ว แต่งงานกับ นาเดีย และคลอดลูกคนแรก 9 ม.ค.2555 ที่โรงพยาบาลบีเอ็นเอช เป็นผู้ชาย น้ำหนัก 2,850 กรัม

วิจัยชี้ พ่อกินอะไร ลูกเป็นอย่างนั้น

burning food
burning food

พ่อกินอะไร ลูกเป็นอย่างนั้น

มีประโยคยอดฮิตในโลกตะวันตกว่า เรากินอะไร เราก็เป็นแบบนั้น (You are what you eat) แต่ตอนนี้ต้องเพิ่มประโยคใหม่เข้าไปด้วยว่า พ่อเรากินอะไร (ก่อนที่เราจะเกิด) เราก็เป็นแบบนั้น

ข้างต้นคืนผลการวิจัยชิ้นใหม่ที่บ่งชี้ว่า สิ่งที่พ่อของเรากินกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมานั้นสามารถกระทบถึงสุขภาพของเราใน อนาคตด้วย ไม่น่าก็ต้องเชื่อ นักวิจัยได้ค้นพบว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้เป็นพ่อนั้นสามารถส่งผ่านมายังลูกๆ เพราะสิ่งนั้นได้ “แก้โปรแกรม” ยีนของเขา

การศึกษาเผยให้เห็นว่า ผลกระทบทางพันธุกรรมของกระบวนการ “เหนือพันธุกรรม” (epigenetics) ที่ซึ่งสภาพแวดล้อมและรูปแบบการใช้ชีวิตสามารถเปลี่ยนแปรยีนของเราได้อย่าง ถาวรเมื่อเราเติบโตขึ้น การผันแปรของยีนที่ว่านี้ยังสามารถส่งผ่านไปยังลูกหลานได้ด้วย นักวิทยา ศาสตร์ได้ทำการเจาะจงศึกษาผลกระทบจากการกินอาหารของฝ่ายพ่อ โดยดูว่าจะมีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการพัฒนาโรคซับซ้อน เช่น เบาหวานและโรคหัวใจของลูกๆ หรือไม่

ศาสตราจารย์โอลิเวอร์ แรนโด จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ กล่าวว่า งานวิจัยของเขาจะช่วยระบุได้ว่าบุคคลใดมีความเสี่ยงสูงต่อโรค เช่น หัวใจและเบาหวาน “การได้รู้ว่าพ่อแม่ของคุณทำอะไรก่อนที่คุณจะปฏิสนธิกลายเป็นเรื่องสำคัญที่ จะตัดสินว่าคุณอาจมีปัจจัยเสี่ยงของโรคชนิดใด”

เขากล่าวว่า ที่ผ่านมาแพทย์มักมองพฤติกรรมของผู้ป่วยและยีนของพวกเขาเพื่อประเมินความ เสี่ยง ถ้าผู้ป่วยสูบบุหรี่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นมะเร็ง หรือถ้าครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหัวใจ คนคนนั้นก็อาจได้ยีนที่เพิ่มความอ่อนไหวต่อโรคนี้ “แต่คนเราเป็นมากกว่ายีนและพฤติกรรมของเรา” ศาสตราจารย์แรนโดกล่าว “การ รับรู้ว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมชนิดใดที่พ่อแม่ของเราผ่านพ้นมาก็มีความสำคัญ เช่นกัน”

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าการสืบทอดเหนือพันธุกรรม ที่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของยีนซึ่งไม่ได้เกิดจากการการเปลี่ยน แปลงของลำดับดีเอ็นเอที่ซ่อนเร้นอยู่ ได้ถูกส่งผ่านจากพ่อหรือแม่มายังลูกด้วย และอาจเกี่ยวพันไปถึงโรคภัยไข้เจ็บของลูก

นักวิจัยทดลองด้วยการให้อาหารหนูตัวผู้ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้รับอาหารตามเกณฑ์มาตรฐานทั่วไป ส่วนกลุ่มที่สองได้อาหารโปรตีนต่ำ ขณะที่หนูตัวเมียทุกตัวถูกเลี้ยงด้วยอาหารตามมาตรฐานเหมือนกันหมด พวกเขาสังเกตเห็นว่า ลูกของหนูที่กินอาหารโปรตีนต่ำมียีนที่รับหน้าที่สังเคราะห์คอเลสเตอรอลและ ลิพิดเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อเทียบกับลูกหนูในกลุ่มควบคุมที่เลี้ยงด้วย อาหารตามมาตรฐาน ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเป็นโรคหัวใจ

การศึกษาหลายชิ้นก่อนหน้านี้ชี้แนะว่า ครรลองชีวิตของผู้เป็นพ่อสามารถส่งผลด้านพันธุกรรมกับลูกๆ แต่เราก็ไม่อาจตัดปัจจัยด้านเศรษฐกิจสังคมเช่นกัน  “การศึกษาของเริ่มด้วยการตัดความเป็นไปได้ที่ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ หรือความแตกต่างในลำดับดีเอ็นเอ อาจส่งผลต่อสิ่งที่เป็นอยู่” ศาสตราจารย์แรนโดร่ายต่อ “และมันทำให้การสืบทอดเหนือพันธุกรรมกลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยน แปลงหน้าที่ของยีนอย่างชัดเจน”

กระนั้นก็ดี ศาสตราจารย์แรนโดบอกว่า เรายังไม่รู้แน่ว่าทำไมยีนเหล่านี้จึงถูกปรับแก้ หรือข้อมูลเหล่านี้ส่งผ่านมายังรุ่นต่อไปได้อย่างไร “มันสอดคล้อง กับความคิดที่ว่า เมื่อพ่อแม่หิว สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกคือกักตุนแคลอรีไว้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นประโยชน์ในบริบทของการกินอาหาร โปรตีนต่ำหรือไม่”

http://www.thaipost.net/x-cite/301210/32158

http://women.kapook.com/view20135.html

http://www.phrases.org.uk/meanings/you%20are%20what%20you%20eat.html

สวดมนต์ข้ามปี

31 ธ.ค. 54 สวดมนต์ข้ามปี
วัดป่าชัยมงคล ต.ไหล่หิน อ.เกาะคา จ.ลำปาง ร่วมจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ในวันส่งท้ายปีเก่า สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ตามที่ มหาเถรสมาคม(มส.) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ร่วมกับรัฐบาลจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ในวัดทั้งในและต่างประเทศ วัดนี้จัดกิจกรรมเดินจงกลม และปล่อยโคมลอย ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวภาคเหนือว่า การปล่อยโคมลอยจะเป็นการปล่อยเคราะห์ และจะประสบแต่โชคดีหลังปล่อยโคมลอยไปแล้ว ครอบครัวในหมู่บ้าน จะพากันนำบุตรหลานไปทำกิจกรรมร่วมกันที่วัด ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน

ตามข่าวจากส่วนกลางพบว่า นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสำรวจอย่างไม่เป็นทางการ พบว่า มีพุทธศาสนิกชนเข้าวัดสวดมนต์ข้ามปี ทั่วประเทศมากกว่า 1 ล้านคน เฉลี่ย 1 จังหวัด 20 วัดมีประชาชนไปสวดมนต์วัดละ 10,000 คน แค่เพียงที่วัดสระเกศ ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ก็ไม่ต่ำกว่า 30,000 คนแล้ว

เด็กชายปลาบู่

คลิปวิดีโอ เด็กชายปลาบู่ คำพยากรณ์ภัยพิบัติ ค.ศ.2012 เมื่อ 38 ปีที่แล้ว คำทำนายอนาคตของเด็กชายปลาบู่ ลูกชายเพียงคนเดียวของ นายทอง ใบคำสี ชาวจังหวัดจันทบุรี ตามคำบอกเล่าของนายทอง เด็กชายปลาบู่ ได้ไถ่ถามตนในเรื่องราวต่าง ๆ ของอนาคต และเล่าถึง คำทำนายที่เด็กชายปลาบู่รู้เห็นด้วยญาณทิพย์ เป็นคำพยากรณ์ภัยพิบัติ 2012 ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับ สึนามิในญี่ปุ่น น้ำท่วมครั้งใหญ่ของไทย รวมถึง สงครามโลกครั้งที่ 3 แต่ละเรื่องน่ากลัวมาก .. โปรดใช้วิจารณญานในการรับชมด้วย