ครบหนึ่งปีการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ (itinlife 363)

steve jobs : passionate pitch man
steve jobs : passionate pitch man

5 ต.ค.55 จากบทความเชิงข่าวของ CNN โดย Brandon Griggs ที่ระลึกการจากไปของสตีเวน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) หรือสตีฟ จ็อบส์ ในวาระครบรอบ 1 ปีการเสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งตับอ่อนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 เขามอบของขวัญให้กับชาวโลก ได้สร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่ทุกคนรู้จักทั้ง macintosh, imac, ipod, itunes, iphone และ ipad เป็นต้น ภายหลังการเสียชีวิตมีการเปรียบเทียบว่าเขาเป็นนักประดิษฐ์ระดับโลกที่จะถูกจดจำไปตลอดกาลเช่นเดียวกับ Thomas Edison และ Henry Ford

เพียง 19 วันหลังสตีฟ จ็อบส์เสียชีวิต ก็มีการจำหน่ายหนังสือชีวประวัติที่เขียนโดย Walter Isaacson ที่เป็นความต้องการของสตีฟเองในการจัดทำหนังสือ โดยมีลอรีน ผู้เป็นภรรยาทำหน้าที่ประสานงานอำนวยความสะดวกจนหนังสือเล่มนี้เสร็จได้ในเวลาที่เหมาะสม มีการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกว่า 100 คน เฉพาะตัวสตีฟสัมภาษณ์ไปกว่า 40 ครั้ง เป็นการเล่าเรื่องได้ทุกรสเกี่ยวกับชีวิตของคนหนึ่งคน ทั้งการกำเนิด ครอบครัว ประวัติส่วนตัว ผลงาน ความเจ็บป่วย ความคิดเห็นของผู้คนรอบข้าง ญาติ คู่แข่งทางธุรกิจ ศัตรู และเพื่อน

สตีฟจากไปหลังเปิดตัว iPhone 4s ได้เพียงวันเดียว และหลังจากนั้นหนึ่งปีก็มีการเปิดตัว iPhone 5 หากวัดความสำเร็จจากยอดขายรุ่นแรก พบว่า จำหน่ายได้ 270,000 เครื่อง ในช่วง 30 ชั่วโมงแรกที่เปิดจำหน่าย สำหรับ iPhone 5 ที่มาพร้อม iOS6 เปิดจำหน่ายกลุ่มแรกใน 9 ประเทศ ช่วง ระหว่าง 21 – 23 ก.ย.2555 พบว่ายอดขายมากกว่า 5 ล้านเครื่องไปแล้ว ถ้าสตีฟยังอยู่แล้วทราบข่าวนี้ก็คงนอนยิ้มไปอีกหลายสัปดาห์ ส่วน iOS6 ก็มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 100 ล้านครั้ง ส่วนคู่แข่งอย่าง Android ซึ่งเป็นคู่แข่งของระบบปฏิบัติการก็เปิดใช้งานบนอุปกรณ์หลายประเภทก็เปิดให้อัพเกรดระบบปฏิบัติการเป็น ICS 4.0.4 จาก samfirmware.com ราวเดือนสิงหาคม 2555 แต่ก็ไม่น่ากระทบความแรงของ iPhone ซึ่งผมก็เป็นสาวกของแอปเปิลเหมือนกันตอนนี้ใช้ i-Mobile ถ้าอุปกรณ์หมดอายุเมื่อใดก็คงพิจารณาให้ iPhone มาอยู่ในรายการที่ถูกเลือกแน่นอน แต่ก็ต้องทำตารางการตัดสินใจคิดสะระตะก่อนควักกระเป๋าจ่ายไปและรับของมาเป็นขั้นตอนเช่นนั้นเอง

——————–

http://takato.exteen.com/20120801/android-ics-4-0-4-official-firmware-galaxy-tab-10-1-p7500-do

http://edition.cnn.com/2012/10/04/tech/innovation/steve-jobs-quotes/index.html

http://edition.cnn.com/2012/10/05/tech/innovation/steve-jobs-legacy/index.html?hpt=hp_bn5

สร้างอีบุ๊คด้วย Flipalbum (362)

ebook by flipalbum for mcu students
ebook by flipalbum for mcu students

29 ก.ย. 2555 มีการอบรมการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) แก่พระนิสิต คณะครุศาสตร์สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตแพร่ ห้องเรียนวัดบุญวาทย์ ซึ่งเนื้อหาหลักสูตรเสริมบทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไปสู่นักเรียน เพื่อนพุทธศาสนิกชน และผู้สนใจทั่วไปได้อย่างน่าสนใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใดมาก่อน

กลุ่มอาชีพครูพระ คือ กลุ่มอริยบุคคลที่มีโอกาสสร้างอีบุ๊คได้มากกว่าหลายอาชีพ เพราะมีเนื้อหามากมาย ลักษณะของเนื้อหาเป็นได้ทั้งภาพ เสียง หรือคลิ๊ปวีดีโอ ผู้เรียนที่เข้าถึงสื่อมีได้ทุกกลุ่มอายุทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ไปถึงคนชรา เนื้อหาที่นำเสนอจะไม่หมดอายุเหมือนศาสตร์ด้านอื่น อาทิ คอมพิวเตอร์ก็จะเปลี่ยนไปตามพัฒนา การแพทย์ที่เคยใช้ยาต้มก็เปลี่ยนเป็นยาเม็ดหรือยาฉีด แต่คำสอนทางศาสนาเป็นเรื่องที่เป็นอมตะ และเป็นจริงเช่นนั้นมาแต่พุทธกาล โดยมีการสนับสนุนจากหน่วยงานทุกสาย ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นตำบล อำเภอ จังหวัดหรือประเทศ รวมถึงภาครัฐ และเอกชนก็เข้าไปมีส่วนร่วมชัดเจน เดิมนั้นบทบาทของการศึกษามีอยู่แต่ในโรงเรียนแต่ปัจจุบันมีการบูรณาการที่เรียกว่า “บวร” ซึ่งประกอบด้วย บ้าน วัด และโรงเรียน ต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเยาวชนของชาติ ตามเงื่อนไขของหลักสูตรที่พัฒนาตลอดเวลาโดยกระทรวงศึกษาธิการ

การจัดทำอีบุ๊คมีหลายเทคนิค ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และอุปกรณ์ที่จะใช้เปิดอ่าน ซึ่งผู้จัดทำสามารถสร้างต้นฉบับในสื่อหนึ่ง แล้วเผยแพร่ในสื่ออื่นได้อีกหลายประเภท อาทิ PDF, Flash View, Video หรือแบบที่ต้องใช้โปรแกรมเฉพาะของบริษัท อาทิ Flip Album, Desktop Author, Plakat e-book, Diji Album ซึ่งแสดงผลแบบภาพสามมิติ ทำให้น่าอ่านกว่าสื่อดั้งเดิม ทำสำเนาได้ง่าย สามารถแสดงผลผ่านสื่อมัลติมีเดีย และเชื่อมโยงไปยังสื่ออื่นผ่านการคลิ๊กได้อย่างยืดหยุ่น ดังนั้นเนื้อหาก็จะไม่หยุดอยู่บนหนังสือเพียงเล่มเดียวเหมือนในอดีตอีกต่อไป


http://www.youtube.com/watch?v=eB85vHyRi_U

http://www.thaiall.com/flip/indexo.html

http://www.facebook.com/groups/thaiebook/

iphone5 คาดว่าออกตัวแรงตามเคย

iphone5 ขำขำ
iphone5 ขำขำ

21 ก.ย.55 เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทแอปเปิล ที่เคยมีบุรุษในตำนานที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนวัตกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา Steve Jobs เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และพลิกสถานการณ์จากบริษัทที่กำลังมีปัญหาสู่บริษัทเข้มแข็งที่สุดบริษัทหนึ่งของโลกในต้นศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันโทรศัพท์เป็นมากกว่าใช้รับสายและโทรออก ถูกเรียกใหม่ว่าสมาร์ทโฟน (Smart Phone) ในปีนี้ได้ออกสมาร์ทโฟน iPhone 5 สู่ตลาด เปิดตัวในสหรัฐ 4 ตุลาคม 2555 หลังจากนั้นก็จะมีสถิติมาให้เราได้เรียนรู้กันต่อไป

ในอดีตโทรศัพท์รุ่นพี่อย่าง iPhone4 ประสบความสำเร็จจนเป็นตำนานด้วยยอดขาย 3 วันแรกได้มากกว่า 1.7 ล้านเครื่อง กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้รางวัลมือถือยอดเยี่ยมจาก Global Mobile Awards ในงาน Mobile World Congress 2011 ที่ บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ปัจจุบัน iPhone ครองส่วนแบ่งตลาด 5% จากตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลก หากรวมทั้ง iPhone, iPod และ iPad ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS ได้ขายไปแล้วมากกว่า 250 ล้านเครื่อง

สมาร์ทโฟนและ Social Media ต่างสนับสนุนกันและกัน เพราะผู้ใช้ที่มีเครื่องมือ และเว็บไซต์เครือข่ายสังคมต่างเชื่อมโยงกันอย่างลงตัว ผู้คนเชื่อมต่อเข้าสู่โลกเสมือนจริงได้ง่าย จากทุกที่ทุกเวลา และทุกวัย แต่ที่น่าเป็นห่วง คือความสัมพันธ์ในครอบครัวจะหลวมไปกว่าเดิม จากโฆษณาของ DTAC  เรื่อง Disconnect to connect ที่แสดงความห่วงใยต่อการใช้อุปกรณ์เหล่านี้จนเกินพอดี ซึ่งสื่อว่าความสัมพันธ์กับคนรอบตัวอาจบกพร่องได้ อาทิ การชมนกชมไม้ร่วมกัน การประชุม การร่วมกันทำอาหาร การเล่นกับสัตว์เลี้ยง การทำงานศิลปะ หรือการพูดคุยหยอกล้อในครอบครัวหายไป แต่การทัดทานกระแสของเทคโนโลยีที่มีเพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อก็คงเป็นไปได้ยาก การทำความเข้าใจ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตระหนักว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรในโลกมนุษย์และโลกเสมือนจริงให้สมดุล

จอผ้า จอแอล และจอแท็บ (itinlife 360)

multi monitor
multi monitor

8 ก.ย.55 จอผ้า หมายถึง จอภาพแบบแขวนขนาดใหญ่ (Screen) ประมาณ 100 นิ้วที่ใช้เป็นฉากให้เครื่องโปรเจคเตอร์ (Projector) ฉายแสงออกไปกระทบ นิยมใช้งานในสถาบันการศึกษา งานประชุม  บริษัท หรืองานนำเสนอขายสินค้าแบบเคลื่อนที่ ส่วนจอแอล หมายถึง จอแอลซีดี (LCD = Liquid Crystal Display) หรือจอเลด (LED = Light-Emitting Diode) ที่นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโน๊ตบุ๊ค หรือทีวี ปัจจุบันจอแอลเป็นที่นิยมที่สุด แต่กำลังจะถูกท้าทายด้วยจอแทบ หมายถึง จอแท็บเล็ตพีซี รวมถึงอุปกรณ์กลุ่มสมาร์ทโฟน ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน และเป็นไปได้ว่าในอนาคตยอดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์จะต่ำกว่าแท็บเล็ตพีซี

โดยปกติการใช้จอภาพในการประชุมสัมมนามักใช้แบบจอผ้าขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาที่มีจำนวนมากมองเห็น และรับรู้ข้อมูลข่าวสารตามหัวข้อประกอบการบรรยายพร้อมกัน ส่วนผู้นำเสนอจะใช้จอแอลซีดีของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ หรือโน๊ตบุ๊ค ซึ่งปกติภาพที่ปรากฎในจอทั้ง 2 แบบนี้จะเป็นภาพเดียวกัน และโปรแกรมที่นิยมใช้ที่สุดสำหรับการนำเสนอคือโปรแกรม Powerpoint จากการพัฒนาเทคโนโลยีและความต้องการในการสื่อสาร ทำให้เกิดการสื่อสารแบบประชุมทางไกล (Conference) ที่มีกลุ่มผู้ฟัง 2 กลุ่มสื่อสารกัน แต่อยู่ในพื้นที่แยกกัน

ปัจจุบันผู้ใช้เทคโนโลยีไม่จำกัดด้วยวัยวุฒิ หรือคุณวุฒิ ทุกคนมีสิทธิพกพาเครื่องแท็บเล็ตพีซีติดตัว ในประเทศไทยเด็กนักเรียนเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 เมื่อกลางปีพ.ศ. 2555  ดังนั้นหากมีการประชุมทางไกลทั้งผู้ร่วมสัมมนา ผู้ดูแลการสื่อสาร หรือผู้นำเสนอข้อมูล ย่อมสามารถมีจอภาพที่ใช้สื่อสารกับอีกกลุ่มหนึ่งได้หลายจอภาพพร้อมกันโดยง่าย เหมือนศูนย์รวมกล้องวงจรปิดในภาพยนตร์หรือของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของอาคารขนาดใหญ่ ที่ช่วยสนับสนุนให้การสื่อสาร และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การพัฒนาต้องควบคู่ไปกับความเข้าใจของผู้เกี่ยวข้อง แต่ดูทีท่าว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะมุ่งไปข้างหน้าแซงการพัฒนาทางจิตใจไปหลายก้าวแล้ว

http://www.fxrebategurus.com/blog/

พออ่านน้อยยอดซื้อแท็บเล็ตก็น้อย (itinlife 359)

library
library

6 ก.ย.55 จากสถิติข้อมูลการอ่านหนังสือของคนไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าคนไทยอ่านหนังสือประมาณ 2 – 5 เล่มต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสิงคโปร์ที่อ่านหนังสือ 50 – 60 เล่มต่อปี ซึ่งมากกว่าประเทศไทยสิบเท่าทำให้ก็อดใจหายไม่ได้ เมื่อสังเกตพฤติกรรมของชาวลำปางก็พบว่าร้านหนังสือหลายแห่งปิดตัวไป ส่วนที่มีอยู่ก็มีคนเข้าไปใช้บริการไม่หนาแน่น รายการหนังสือก็ลดลงเปลี่ยนเป็นสินค้าประเภทอื่นเข้าไปแทน ส่วนนักวิชาการระดับประเทศได้ให้ความเห็นว่าประเทศไทยลงทุนทางการศึกษามาก (ปีละกว่า 4 แสนล้านบาท หรือ 25% ของงบทั้งหมด) แต่ล้มเหลวในด้านการจัดการศึกษาให้ทั่วถึง ครูอาจารย์คุณภาพปานกลาง สอนและสอบแบบท่องตามตำรา ทั้งครู อาจารย์ และนักเรียน นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่รักการอ่าน อ่านจับใจความไม่เก่ง คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ไม่ค่อยเป็น

มาร์ค ไอนสไตน์ ผู้จัดการฝ่ายอุตสาหกรรม เอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน มีความเห็นว่า นิสัยการอ่านของคนไทยรั้งการเติบโตของแท็บเล็ต หมายความว่า คนไทยไม่นิยมซื้อแท็บเล็ตเนื่องจากอ่านน้อย เพราะเชื่อว่าแท็บเล็ตที่คนไทยตัดสินใจซื้อก็เพื่อใช้อ่านหนังสือโดยเลือกซื้ออีบุ๊ค (e-book) ที่มีขายอยู่ในอินเทอร์เน็ต แทนการซื้อหนังสือในรูปของสิ่งพิมพ์ แต่ปลายปี 2555 สถิติการอ่านหนังสือจากอีบุ๊คจะเพิ่มขึ้น เพราะนักเรียน ป.1 กำลังจะมีแท็บเล็ตถ้วนทั่ว และรัฐบาลกำลังพัฒนาสื่อการสอนที่ใช้สนับสนุนการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนให้มีประสิทธิภาพ

เคยฟังกูรูท่านหนึ่งให้ทัศนะต่อการพัฒนาของเทคโนโลยีที่มีผลต่อการศึกษาว่า ยุคสื่อสิ่งพิมพ์จะเปลี่ยนเป็นยุคคลิ๊ก (Click) เพราะอะไรก็เข้าถึงได้ง่ายเพียงผ่านปลายนิ้วสัมผัสด้วยการคลิ๊ก ต้องการอะไรก็เพียงแต่คลิ๊ก ต่อไปเวลาถามนักเรียน เขาก็คงจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาใช้หาข้อมูลมาตอบคำถามเป็นแน่ ซึ่งบางคนคิดว่าเรากำลังข้ามผ่านจากยุค Read เป็นยุค Click เพราะนักเรียนบางคนทำรายงานด้วย 3 ขั้นตอน คือ Click, Copy และ Paste ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ต้องเข้าห้องสมุด ไปค้นบัตรรายการ ไปหยิบหนังสือมาอ่านหลายเล่มกว่าจะวิเคราะห์ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นต่อการทำรายงาน แล้วต้องสังเคราะห์เนื้อหาไปเขียนด้วยมือลงกระดาษรายงาน รวบรวมนำไปเข้าเล่มส่งครู แต่ปัจจุบันทุกอย่างเสร็จได้ด้วยการคลิ๊กไม่กี่ครั้ง

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413359489

http://www.m-culture.go.th/it/detail_page.php?sub_id=266

http://witayakornclub.wordpress.com/

การรวมศูนย์กับกระจายศูนย์ในปัจจุบัน (itinlife 358)

eniac 1946
eniac 1946

31 ส.ค.55 คอมพิวเตอร์เครื่องแรกมีชื่อว่า ENIAC พัฒนาในปีค.ศ.1946 แล้วอีกหลายสิบปีต่อมา จึงเริ่มมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ในช่วงแรกนั้นระบบคอมพิวเตอร์ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดของการรวมศูนย์ เพราะง่ายต่อการควบคุม ดูแล และแก้ปัญหา เหตุที่ต้องรวมศูนย์เพราะอุปกรณ์ยังไม่มีมาตรฐาน ผลิตได้น้อย ราคาจึงสูง ยังใช้ไม่แพร่หลาย ผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้บริการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ดูแล และผู้ใช้ยังมีน้อย ทำให้การเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายมีขั้นตอนที่ซับซ้อน นำมาใช้งานน้อย ดังนั้นการรวมศูนย์จึงกลายเป็นทางเลือกที่จะทำให้การเชื่อมโยงระบบทั้งหมดเกิดขึ้นได้ในทางปฏิบัติ และใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เกิดแนวคิดเรื่องการกระจายศูนย์ และถูกนำไปใช้ในองค์กรเอกชนเพิ่มขึ้น ประกอบกับสามารถลดขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลง และราคาถูกลดลง  จึงนำไปสู่การสร้างเครือข่ายในองค์กร เกิดการแบ่งปันเครื่องพิมพ์ และหน่วยเก็บข้อมูล ในปีค.ศ.1969 เริ่มโครงการเชื่อมระหว่างมหาวิทยาลัยจำนวน 4 แห่ง แล้วขยายสู่การเชื่อมกับภาคธุรกิจ จนขยายที่เชื่อมโยงทั้งโลกเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน  แล้วใช้ชื่อว่าเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)

เมื่อโลกได้กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จนเป็นที่ยอมรับ ก็เริ่มคิดใหม่ว่าแนวคิดแบบกระจายอาจเหมาะกับองค์กรที่ต้องการความคล่องตัว แต่ปัญหาที่ตามมาคือการขาดประสิทธิภาพในการควบคุม และใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า อาทิ องค์กรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับเครื่องพิมพ์ ซึ่งทุกคนมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หากจะจัดหาเครื่องพิมพ์พร้อมหมึกให้รองรับทุกคนได้ จะมีประเด็นเรื่องความคุ้มค่า หากเลือกการเช่าเครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชันก็จะแบ่งปันและควบคุมให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันพบคำว่า Convergent แปลว่า ซึ่งมาบรรจบกัน ถูกใช้ขยายคำนามหลายคำ เมื่อนำมาใช้ในภาคธุรกิจจะหมายถึงการมาบรรจบของหน่วยงานที่เคยกระจัดกระจาย สามารถพิจารณาว่าทรัพยากรใดใช้ร่วมกันได้ ทำให้เกิดการควบคุม ตัดลด และแบ่งปันทรัพยากรให้เกิดการใช้ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วเหลือทรัพยากรส่วนเกินที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก

Astrophytum asterias .. convergent evolution
Astrophytum asterias .. convergent evolution

อิทธิพลของการกดไลค์

press like by NineBU

การกดไลค์ หมายถึง การแสดงความชื่นชอบ หรือตอบว่าใช่ ต่อเนื้อหาที่ปรากฎ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความ รูปภาพ หรือคลิ๊ปวีดีโอ การกดไลค์เป็นที่แพร่หลายพร้อมกับความนิยมที่มีต่อเว็บไซต์เครือข่ายสังคมที่เพิ่มขึ้น แล้วส่งผลถึงการนำไปใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการประชาสัมพันธ์กิจกรรม ยี่ห้อ องค์กร หรือสินค้า จนปรากฎภาพสัญลักษณ์ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นให้เห็นในสื่ออย่างหลากหลาย รวมถึงการนำผลกา
รกดไลค์ไปใช้ประกอบการตัดสินความนิยมในการแข่งขันมากมาย อาทิ ประกวดภาพเดี่ยว ภาพครอบครัว หนังสั้น หรือเพลง

การปรากฎในสื่อ พบว่า มีการใช้คำว่า กดไลค์ มาเป็นชื่อภาพยนตร์ คือ “ชอบกดไลค์ใช่กดเลิฟ” เป็นชื่อภาพยนตร์ มีนักแสดงนำคือ มอส ปฏิภาณ และ ออม สุชาร์ และ อัทธ์ อังค์กูณฑ์ หรือเพลงที่ชื่อ กดเลิฟ ของ so cool ที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับ status หรือ comment มีข้อความในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า “ได้แต่คอยกด like อีกเมื่อไรไม่รู้จะได้กด love เธอ” ก็ล้วนมีอิทธิพลมาจาก social media ซึ่งแสดงในมุมของคนที่มีความรักให้กันฉันท์ชู้สาว แต่การกดไลค์ในชีวิตจริงมีวัตถุประสงค์กว้างกว่านั้น เพราะการกดไลค์เริ่มต้นจากการมีความรู้สึกดี ชื่นชอบ หรืออยากบอกต่อ อาจพบปุ่มกดไลค์ในเว็บไซต์ด้านข่าว หรือร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บไซต์ของหน่วยงานราชการ ที่เชื่อมโยงกับบัญชีผู้ใช้ใน social media ก็ได้

อิทธิพลของการกดไลค์
เป็นเครื่องแสดงจุดยืนว่าเรายืนอยู่ที่ใด ชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ถ้าไม่กด หมายถึง การไม่แสดงความเห็น หรือ เฉย ๆ หรือเจตนาละเว้น หากสนใจประสิทธิผลการกระจายข่าวสารพบว่าจำนวนการกดไลค์ หรือแสดงความเห็น มีผลต่อค่าสถิติการบอกต่อ (Viral) บางเรื่องที่ถูกกดไลค์ หรือแสดงความเห็นเป็นจำนวนมากก็จะมีค่า viral ที่สูง ซึ่งค่า Virality คือ เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้สร้างเนื้อหาเพิ่มหลังมองเห็นต่อจำนวนผู้มองเห็นเนื้อหา แล้วค่านี้มีผลต่ออันดับการนำเนื้อหาไปแสดงในเพจของเพื่อนในเครือข่ายสังคม เกิดจำนวนการรับรู้ต่อข่าวสารนั้นสูง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายของผู้ส่งข่าวสารนั้น

นี่เป็น post แรก ที่ทดสอบใช้ภาพจาก fb page

ยาฮูโดนแฮ็กสี่แสนห้าหมื่นบัญชี (itinlife 351)

บางมุมก็น่ากลัว gijoe scarlett
บางมุมก็น่ากลัว gijoe scarlett

เว็บท่า (Portal Website) ที่อยู่ในอันดับต้นของโลก ที่รวมข้อมูล ข่าวสาร และบริการไว้ด้วยกัน สรุปว่าเข้าเว็บท่าแล้วได้ทุกอย่าง ราวปี 2540 ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทุกคนรู้จักเว็บไซต์ยาฮูดอทคอม (Yahoo.com) เพราะเป็นเบอร์หนึ่ง ต่อมาได้ซื้อเว็บไซต์จีโอซิตี้ (Geocities.com) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการฟรีโฮมเพจเบอร์หนึ่งในขณะนั้น แต่เหตุการณ์พลิกผันไม่แน่นอน เมื่อ google.com เริ่มเข้าแย่งลูกค้า ประกอบกับความนิยมในการใช้ฟรีเว็บโฮสติ้งลดลง ผู้ใช้เปลี่ยนไปเช่ากันเองเพราะราคาลดลงมาก ใช้บริการของเว็บบล็อกมากขึ้น เริ่มเข้าสู่ยุคของสคลิ๊ปประเภทซีเอ็มเอส (Content Management System) แล้วจีโอซิตี้ก็ถูกปิดไปเมื่อปลายปี 2552

ศุกร์ที่ 13 ก.ค.55 เป็นวันฝันร้ายของยาฮูดอทคอม มีข่าวออกมาว่าแฮ็กเกอร์ (Hacker) ได้เผยแพร่ข้อมูลรหัสผู้ใช้ และรหัสผ่านกว่า 450,000 บัญชี โดยแสดงความเห็นว่าเว็บไซต์ของยาฮูมีช่องโหว่มาก แล้วยาฮูก็ออกมายอมรับแต่โดยดีว่าความผิดพลาดเรื่องความปลอดภัยในเครื่องบริการของตนนั้นเกิดขึ้นจริง และได้ดำเนินการแก้ไขไปแล้ว ยาฮูรายงานว่าการโจมตีครั้งนี้ใช้เทคนิค SQL Injections เหมือนกับที่เคยโจมตีโซนี่พิกเจอร์ (Sonypictures.com) ได้ถึง  1 ล้านบัญชีเมื่อกลางปี 2554

ข่าวการโจมตีของแฮกเกอร์ต่อเว็บไซต์ขนาดใหญ่แบบนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการทบทวนนโยบายด้านความปลอดภัยของเว็บไซต์ทั่วโลก และผู้ใช้ก็ต้องทบทวนรหัสผ่านของตนว่าปลอดภัยหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดของผู้ให้บริการ คือ การเก็บรหัสผ่านแบบเข้ารหัสครั้งเดียว และถอดกลับไม่ได้ หมายความว่าจะเข้ารหัสผ่านของผู้ใช้ก่อนจัดเก็บ แม้แต่ผู้ให้บริการก็ไม่อาจทราบว่ารหัสผ่านนั้นคืออะไร เพราะจะตรวจสอบได้ด้วยการเปรียบเทียบกับรหัสผ่านที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนรหัสผ่านก็ควรมีนโยบายกำหนดให้ซับซ้อน อาทิ เป็นตัวอักษรรวมกันไม่ต่ำกว่า 8 ตัวที่ประกอบด้วยพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ ถ้าผู้ให้บริการใส่ใจกับเรื่องความปลอดภัย ถึงแม้แฮกเกอร์ได้สิ่งที่เก็บอยู่ในเครื่องบริการไป แต่ก็ไม่สามารถถอดรหัสผ่านออกมาได้ เพราะที่เก็บไว้นั้นไม่สามารถถอดรหัสได้ ซึ่งเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้ได้มาก

http://www.forbes.com/sites/adriankingsleyhughes/2012/07/12/yahoo-voices-website-hacked-450000-compromised/

สัญลักษณ์ในพิธีไหว้ครู (itinlife 350)

พิธีไหว้ครู (guru ceremony)
พิธีไหว้ครู (guru ceremony)
5 ก.ค.55 มีโอกาสร่วมพิธีไหว้ครู (Wai Khru Ceremony หรือ Guru Ceremony) ที่นักศึกษาแต่งพานดอก พานธูป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พบในพิธีไหว้ครู การไหว้ครูเป็นพิธีที่จะมีนักศึกษาพร้อมใจตระเตรียมพานมาแสดงความเคารพคุณครูในวันพฤหัสบดีหลังเปิดภาคเรียนแรกของทุกปีการศึกษา เป็นหนึ่งในประเพณีอันทรงเกียรติของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ
ในทุกปีการศึกษานักเรียนรวมกลุ่มกันแต่งพานธูป และพานดอกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีพิธีเจิมหนังสือ ซึ่งนำอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน อาทิ ตำราเรียน เครื่องเขียน วัสดุอุปกรณ์ หุ่นจำลอง สื่อการสอน มาให้ผู้บริหารสถาบันได้เจิม เพื่อความเป็นศิริมงคล เมื่อนักเรียนนำพานธูป และพานดอกที่มักประกอบด้วย หญ้าแพรก ดอกเข็ม ดอกมะเขือ และข้าวตอก ที่ล้วนแต่มีความหมาย มอบแด่คุณครูผู้ประสิทธิประสาทวิชา ก็พบว่าอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนที่ตั้งอยู่บนเวทีเริ่มมีการเปลี่ยนไปตามกระแสโลก เช่นเดียวกับคุณครูที่ในอดีตพบเห็นในละครช่อง 7 ยามเช้าวันเสาร์ ว่าครูยุคแรกเป็นฤษีที่อาศัยในป่า ถ้าจะเรียนก็ดั้นด้นเข้าป่าไปร่ำเรียนกัน ต่อมาก็มีวัดเกิดขึ้นแล้วคุณครูก็คือพระสงฆ์สอนด้วยการบรรยาย ต่อมาทางราชการให้ความสำคัญ จึงปรับวัดให้เป็นโรงเรียนวัด แล้ววิวัฒต่อเนื่องจนปัจจุบันเรามีโรงเรียน และมหาวิทยาลัยจำนวนมาก จนมากเกินความต้องการ และมีการพิจารณาปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนน้อย พบเห็นในหมู่บ้านขนาดเล็กหลายแห่ง
สัญลักษณ์บนเวทีนอกจากคุณครู ก็จะมีอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ซึ่งปีนี้บนโต๊ะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นคือแท็บเล็ตพีซี (Tablet PC) ทำให้นึกถึงนโยบายของรัฐที่มอบแท็บเล็ตพีซีให้นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1 ได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เปิดโลกทัศน์ให้เข้าถึงสารสนเทศ มีกิจกรรมการเรียนรู้ ติดต่อสื่อสาร และพัฒนาการเรียนรู้ สรุปว่าเป็นปีแห่งนวัตกรรมของการจัดการเรียนการสอน เพราะทั้งครู และนักเรียนต้องปรับกิจกรรมในชั้นเรียนให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ไม่แน่ว่าในปีการศึกษาต่อไป อาจลดจำนวนคุณครูบนเวที และเพิ่มจำนวนแท็บเล็ตพีซี ให้นักเรียนได้สักการะก็เป็นได้ เพราะรุ่น และยี่ห้อของอุปกรณ์เหล่านี้มีหลากหลายขึ้นทุกวัน จนอาจเหลือที่ยืนให้คุณครู และหนังสือน้อยลงก็เป็นได้
ภาพในปีการศึกษา 2554
ภาพในปีการศึกษา 2554

http://it.nation.ac.th/news/new_view.php?id=267

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=338519052891853&set=a.338518826225209.76418.228245437252549

มหาวิทยาลัยเนชั่น จัดพิธีไหว้ครู .. นักศึกษา รุ่น 1 ประจำปี 2554

“สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามให้อยู่คู่สังคมไทย”

มหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือ (โยนก) จังหวัดลำปาง จัดพิธีไหว้ครู  นักศึกษา รุ่นที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2554  เพื่อเป็นการระลึกและตอบแทนพระคุณของครู-อาจารย์  และให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ทุกคนได้ แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครู-อาจารย์ อีกทั้งยังเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพิธีการไหว้ครู ในวันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม 2554 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเนชั่นฯ

นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายกสภามหาวิทยาลัยเนชั่น วิทยาเขตภาคเหนือ (โยนก) จังหวัดลำปาง กล่าวว่า ในอดีตมีความเชื่อว่า  การสักการะ บูชาเทพ ถือว่าเทพเป็นองค์ที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ความสามารถและคุ้มครองป้องกันภัยให้แก่ศิษย์ โดยมุ่งให้ศิษย์มีความเคารพและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ อีกทั้งยังเป็นที่สักการะแก่ศิษย์ที่ทำกิจกรรมอันเกี่ยวข้องกับงาน การเรียน เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเคารพครู อาจารย์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและชีวิต ซึ่งผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้นจะเป็นผู้ที่มีความอดทน ขยัน ซื่อสัตย์  และที่สำคัญจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในหลายๆ ด้าน  ความรู้ที่ได้มานั้นนอกจากจะค้นคว้าด้วยตนเองแล้วอีกประการหนึ่งได้จากครูผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ ดังนั้นคำว่า “ครู” ชึ่งมีความหมายที่แปลว่า ผู้สั่งสอนศิษย์หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์

พระคุณของครู-อาจารย์  จึงมีมากเกินคำบรรยาย ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกและตอบแทนพระคุณของครู-อาจารย์  มหาวิทยาลัยเนชั่น จึงได้จัดพิธีไหว้ครู นักศึกษา รุ่นที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2554 ขึ้น โดยนักศึกษา มหาวิทยาลัยเนชั่น จะได้นำ หญ้าแพรก สื่อถึง ขอให้เรียนได้เร็วเหมือนหญ้าแพรก ที่โตได้เร็วและทนต่อสภาพดินฟ้า อากาศ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งเปรียบเสมือน คำดุด่าของครูบาอาจารย์ ดอกเข็ม สื่อถึง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เหมือนชื่อของดอกเข็ม ดอกมะเขือ สื่อถึง การเปรียบเทียบว่า มะเขือนั้น จะคว่ำดอกลงเสมอเมื่อจะออกลูก แสดงถึง นักเรียน นักศึกษาที่จะเรียนให้ได้ผลดีนั้นต้องรู้จักอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เหมือนมะเขือที่โน้มลง ข้าวตอก เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่างๆได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก  นำมาประดิษฐ์เป็นพาน เข้าร่วมในพิธีไหว้ครู ประจำปีการศึกษา 2554 ขึ้น เพื่อให้นักศึกษามหาวิทยาลัยเนชั่น ทุกคนได้ แสดงความกตัญญูต่อครู-อาจารย์ อีกทั้งยังเป็นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมประเพณีพิธีการไหว้ครูให้ดำรงสืบต่อไป

นิเวศน์ อินติ๊บ (ภาพ/ข่าว)

ผู้ผลิตแบล็คเบอร์รี่ปลดห้าพัน

heavyweight กับ lightweight ศึกสมาร์ทโฟน
heavyweight กับ lightweight ศึกสมาร์ทโฟน

ศึกสมาร์ทโฟน

30 มิ.ย.55 สองปีก่อนมีลูกศิษย์นำโทรศัทพ์รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ประธานาธิบดีสหรัฐใช้ คือ โทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่ (BB = Black Berry) ของบริษัทริม (RIM = Research in motion) มีความสามารถเด่นกว่าทุกรุ่นในขณะนั้น และตอนนั้นผู้เขียนก็ตอบไปว่ามีโทรศัพท์เครื่องละพันอยู่ในกระเป๋ากางเกงยังใช้ไม่คุ้มพันเลย ส่วนในใจก็แอบคิดว่า ถ้าโทรศัพท์ที่มีอยู่เสียเมื่อใดจะนำแบล็คเบอร์รี่เข้าไปอยู่ในตัวเลือก แล้วเข้าตารางการตัดสินใจ (Decision Table) เพื่อพิจารณาว่าจะซื้อแบบใด แต่ถึงวันนี้โทรศัพท์เครื่องละพันก็ยังไม่เสีย แต่ผู้ผลิตโทรศัพท์แบล็คเบอร์รี่กลับส่งสัญญาณการปราชัยในสงครามโทรศัพท์ซะแล้ว

มีข่าวปลายเดือนมิถุนายน 2555 ว่า Thorsten Heins ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทริมให้ข่าวเลื่อนเปิดตัวแบล็คเบอร์รี่ 10 ไปต้นปี 2556 เนื่องจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามแผน และคาดว่าจะขาดทุนสูงกว่าที่ทำนายไว้ ทำให้มีแผนปลดพนักงานเพิ่มอีก 5000 ตำแหน่งหรือร้อยละ 30 ของที่มีอยู่ หลังจากกลางปีที่แล้วเคยปลดไปแล้ว 2000 ตำแหน่ง แล้วข่าวเชิงลบเช่นนี้ก็ทำให้หุ้นของบริษัทลดลงทันทีร้อยละ 14 โดยแนวทางแก้ปัญหาด้วยการลดพนักงานนั้น เป็นกลไกที่ทรงประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน ซึ่งบริษัทโนเกียก็ประสบปัญหาคล้ายกัน แล้วมีแผนจะปลดคนงานกว่า 10000 คนเช่นกัน

การร่วมมือกับบริษัทไมโครซอฟท์เป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหา ตามข่าวพบว่าจะเปลี่ยนบริการสืบค้นข้อมูลในบีบี (BB) จาก google.com ไปเป็น bing.com ซึ่งเป็นอีกความพยายามของไมโครซอฟท์ที่จะเข้าสู่ตลาดโมบายล์เสิร์ช ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญคือ google.com นั้นเอง ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับบริษัทโนเกีย และลงทุนไปกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็ต้องมาติดตามกันต่อไปว่า ทั้งบริษัทโนเกีย และบริษัทริม จะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างไร หลังประกาศปลดพนักงานหลายพันคน แล้วจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่พอจะเข้ามาแข่งขันในตลาดโทรศัพท์ระดับสมาร์ทโฟนได้หรือไม่ รายงานต้นปี 2555 พบว่า บริษัทซัมซุงเป็นผู้นำตลาดอันดับหนึ่ง เมื่อรวมยอดขายกับบริษัทแอ็พเปิ้ลกินส่วนแบ่งตลาดไปมากกว่า 50% และ 2 ค่ายนี้รวมกันก็มีกำไรกว่า 90% ของตลาดแล้ว ถ้าเปรียบเทียบกับการชกมวยก็เหมือนกับนำนักมวยรุ่น heavy weight ไปชกกับ light weight ที่ผลการชกไม่น่าเปลี่ยนไปจากที่ทำนายไว้ ก็หวังแต่ปาฎิหาริย์ของนวัตกรรมเท่านั้นที่จะช่วยกู้วิกฤตของทั้งสองบริษัทไว้ได้