สงครามของ 2 สียุติด้วยสีที่สาม หรือเรามีสีประจำตัวทุกคน

protect the future
protect the future
หัวหน้าแชร์การ์ตูนมาให้เป็นข้อคิดสะกิดใจ
ไม่ว่ามนุษย์เราจะแบ่งเป็นกี่ฝ่ายก็ล้วนแต่มีเหตุผลทุกฝ่าย
จากภาพนี้เห็นว่าแบ่งเป็น 2 ฝ่าย
1. ฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนอนาคต
Change the future
2. ฝ่ายที่ต้องการปกป้องอนาคต
Protect the future

เป็นข้อคิดจากเรื่อง Civic War II ถึงเวลาแบ่งข้าง
เหมือนสงครามการเมืองของประเทศไทย
ที่แบ่งเป็นเสื้อเหลือง กับเสื้อแดง ที่ต้องแบ่งข้างกันแล้ว
แต่ก็ต้องยุติลง เมื่อทั้งสองสีพ่ายแพ้ให้กับเสื้อลายพราง
เพราะไม่ชอบคำว่า Change หรือ Protect
แต่มาพร้อมกับคำว่า Have the future คือ มีอนาคตร่วมกัน
change the future
change the future

ผลโพลล์สวนทางกับผลเลือกตั้งได้เหมือนกัน

vote
vote
ปัญหาของ Poll หรือ Exit poll คือ คนตอบโพลล์ตอบไม่ตรงกับที่ตัวเองกากบาท
หรืออีก 7 เหตุผลที่ทำให้ผลโพลล์เพี้ยน
Exit poll เลือกตั้งในกรุงเทพฯ ไม่ตรงกับผลเลือกตั้ง ดังนี้
1. เลือกตั้งส.ส. 2554 ในกรุงเทพฯ
พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.จำนวน 23 ราย
พรรคเพื่อไทย จำนวน 10 คน จาก 33 เขตเลือกตั้ง
ผลโพลล์ครั้งแรก พรรคเพื่อไทยนำ 19 เขต  พรรคประชาธิปัตย์มีนำ 5 เขต
ผลโพลล์ครั้งที่สอง พรรคเพื่อไทยนำ 18  เขต  พรรคประชาธิปัตย์นำ 6 เขต
2. เลือกตั้งผู้ว่ากทม. 2556
ผลสำรวจออกมาว่า พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ จาก พรรคเพื่อไทย มีคะแนนนำ
แต่ผลการเลือกตั้ง หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร จาก พรรคประชาธิปัตย์ ชนะ
ด้วย 47.75% ต่อ 40.97%
สำนักโพลล์ = สถาบันสำรวจความคิดเห็น
เอ็กซิท โพล (Exit Poll) คือ การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งลงคะแนน
หลังจากที่ออกจากคูหามาแล้ว โดยผู้สำรวจจะไปสอบถามหลังจากลงคะแนนเสียงว่าเลือกใคร
ซึ่งบางครั้งมีทั้งผู้ที่ตอบออกมาแบบตรง ๆ  หรือบางครั้งอาจไม่ตอบเนื่องจากเป็นสิทธิแต่ละบุคคล หรือบางคนอาจจะตอบตรงกันข้าม
ในส่วนขั้นตอนการดำเนินงานและวางแผน เอ็กซิท โพลนั้น
รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล ระบุว่า การวางแผนต้องรอบคอบ
โดยคำถามที่จะถามผู้ที่ลงคะแนนเสียงจากคูหาจะมีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้นที่ถามว่า  “เลือกใคร”
จากนั้นผู้สำรวจจะต้องส่งข้อมูลกลับมาโดยรวดเร็ว ซึ่งสวนดุสิตโพลจะใช้ในระบบออนไลน์
ทั้งโทรศัพท์ ทั้งในส่วนที่เป็นศูนย์การศึกษาที่มีอยู่ทั้งประเทศ
ที่ส่งในลักษณะที่เป็นจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา
เอ็กซิทโพลล์” จึงนับได้ว่า เป็นการสะท้อนผลสำรวจความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการอย่างรวดเร็วที่สุด
และยังต้องคลาดเคลื่อนกับผลคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการให้น้อยที่สุดด้วย
ถ้าสำนักโพลแห่งใดนำเสนอผลสำรวจเอ็กซิท โพลได้แม่นยำที่สุด
ความน่าเชื่อถือของสาธารณชนที่มีให้ต่อสำนักโพลแห่งนั้นย่อมมีมาก
ดังนั้น การแข่งขันนำเสนอผลสำรวจจะดุเดือดอีกครั้งในการเลือกตั้งปลายปีนี้ด้วย
โพลล์ (Poll) คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสาร (Information) จากประชาชน
และโพลล์กับงานวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) คือ สิ่งเดียวกัน
เพียงแต่ว่า โพลล์ถูกใช้โดยองค์กรสื่อมวลชน แต่งานวิจัยเชิงสำรวจถูกทำขึ้นโดยนักวิจัยของสถาบันการศึกษา
และนี่เองที่เอแบคโพลล์ได้ใช้คำว่า “งานวิจัยเชิงสำรวจ” ในการทำโพลล์มาโดยตลอด

ฝรั่งเชื่อว่า “การเปลี่ยนผู้บริหาร แล้วจะมีการเปลี่ยนนโยบาย”

Mobility of TOP Management
Mobility of TOP Management

เคยอ่านเรื่อง “7 โรคร้าย ที่ระรานการจัดการองค์กร
ที่คุณ vimonmass แปลจาก หนังสือ OUT OF THE CRISIS (1986)
ที่เขียนโดย W. Edwards Deming โพสต์เป็นไทยเมื่อ September 8, 2014
http://goo.gl/E3Qcoq
ผมสนใจข้อ 4 Mobility of TOP Management
อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่า
เมื่อเปลี่ยนผู้บริหาร แล้วจะมีการเปลี่ยนนโยบาย” .. เป็นเรื่องธรรมดาจริงหรือ
ก็ทำไมไม่เหมือนเดิมล่ะ มีเหตุผลอะไรดี ๆ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง
ผมรู้สึกอีกว่าผิดไปจาก “หลักธรรมาภิบาล เป็นแนวทางในการบริหารจัดการที่ดี”
จำนวน 2 ข้อคือ หลักประสิทธิผล (Effectiveness) และ หลักประสิทธิภาพ (Efficiency)
เพราะการเปลี่ยนแปลง กับการไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมต้องแตกต่างกันอย่างมีเหตุมีผล
ถ้าเปลี่ยนก็ต้องมีสารสนเทศมาสนับสนุน วิเคราะห์สภาพแวดล้อม และประเมินความเป็นไปได้
.. ผมคิดว่างั้นนะ ไม่ใช่เอะอะก็เปลี่ยน และเปลี่ยนแบบไม้อ้างอิงข้อมูล ดูขัดกับหลักธรรมาภิบาล
สอดคล้องกับที่กล่าวในหนังสือ โศกนาฏกรรมองค์กรหลงทิศ
บทที่ 1 บริหารจัดการโดยไม่ใช้ข้อมูลจริง .. แล้วใช้อะไรล่ะ สงสัยจะไม่ใช้ข้อมูลมาเป็นฐานคิด

http://www.thaiall.com/blogacla/admin/1490/

เพลง : ขอให้เหมือนเดิม
ศิลปิน : BUDOKAN
คำร้อง : กมลศักดิ์ สุนทานนท์
ทำนอง : เทียนชัย เกียรติปรุงเวช
เรียบเรียง : BUDOKAN[เทียนชัย]

แลกเปลี่ยนเรื่องมะเร็ง กับวิตกจริตจนเกินปกติ

หลอดขาดเปลี่ยนได้ มีอะไหล่เพียบ แต่ร่างกายบางชิ้นส่วนก็เปลี่ยนไม่ได้
หลอดขาดเปลี่ยนได้ มีอะไหล่เพียบ แต่ร่างกายบางชิ้นส่วนก็เปลี่ยนไม่ได้

22 ส.ค.58 มีโอกาสไปทำงานที่แจ้ห่ม ระหว่างทางก็นั่งคุยกับโซเฟอร์
ครั้งนี้โซเฟอร์เป็นหญิงสาว ชื่อ จ. ขาไปเราก็คุยเรื่องสุนัขที่บ้าน
ของผมประสบการณ์น้อย เพราะเป็นตัวแรก แต่ของ จ. เลี้ยงมาหลายตัวแล้ว
จากไปก็หลายตัวแล้ว ผมคุยแบบหาข้อมูล เผื่อต้องประสบเหตุแบบเดียวกัน

ขากลับคุยไปในแนวสุขภาพ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไรบ้าง
จนเข้าเรื่องสุขภาพของตนเอง ที่เฉลยเหตุผลว่าทำไมผมปฏิเสธช่วยงาน ตจว.
ทั้งที่ยังหนุ่มยังน้อย
จากนั้นก็ต่อด้วยการแบ่งปันเรื่องของสุขภาพในครอบครัว
เพราะคนที่บ้านผมก็มีปัญหา .. คุณพ่อก็มะเร็งลำใส้ คุณยายก็มะเร็งตับ
แต่ของคุณ จ. มีประสบการณ์ เรื่องมะเร็งเยอะกว่าผมมาก
ผมห่วงเรื่องมะเร็งลำใส้ ในแบบวิตกจริต
ส่วนคุณ จ. ก็ห่วงแบบ Angelina Jolie
แต่ไม่หนักเท่าดาราสาวสวยคนนั้นนะครับ แลกเปลี่ยนจนถึงบ้านเลย
ซึ่งไม่บ่อยที่จะได้พูดคุยเรื่องโรคภัยใกล้เจ็บ และแลกเปลี่ยนเรื่องมะเร็งกับเพื่อน
สรุปว่า .. เพื่อน ๆ ควรไปตรวจสุขภาพละเอียดปีละครั้งนะครับ
.. ถ้ายังปกติอยู่
ถ้าเพื่อน ๆ ติดตามข่าวดาราสาวคนนี้ ก็คงจะรู้ว่า
เธอรับการผ่าตัดเอารังไข่และท่อนำรังไข่ออกป้องกันมะเร็งรังไข่
http://www.voathai.com/content/angelina-surgery-nm-25mar15/2694933.html
และผ่าตัดเต้านมออกทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง แม้ขณะนี้เธอจะยังปลอดจากโรคร้ายนี้
http://www.voathai.com/content/health-jolie-breast-cancer-nm/1662760.html

บางทีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดูไม่ออก เห็นอยู่กับตาแต่ไม่รู้
อย่างเช่นหลอดไฟเบรคท้ายด้านซ้ายของผมไม่ออก
หยิบหลอดออกมาดูตั้งนานก็ไม่รู้ว่าขาดรึเปล่า
แต่เห็นว่าหลอดดำ ๆ แสดงว่าเสียแล้ว ไปซื้อของใหม่มาเปลี่ยน 30 บาท
อย่างหลอดไฟขาดเราเปลี่ยนได้ไม่ยาก แต่ร่างกายเราจะเปลี่ยนแต่ละชิ้นไม่ง่ายเลย
มีหลายชิ้นส่วนในร่างกายเราที่เปลี่ยนไม่ได้นะครับ


เพลง ซ่อมได้ ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์

พฤติกรรมเจ้านาย ที่ไม่ดี แต่ปรับปรุงได้

boss in some organization
boss in some organization

พบ slide ของ  San Santipong Jan 22,2009
เนื้อหาท่อนแรก .. เล่าเปรียบเทียบ พฤติกรรมการทำงาน กับ ผลตอบรับ
เนื้อหาท่อนที่สอง .. เล่าว่าลักษณะเจ้านายเป็นอย่างไร
ที่ http://www.slideshare.net/hellleek/boss-management-presentation

ผมว่านะ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ และมีข้อบกพร่องอยู่
ถ้าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เขาจะมีคุณธรรมจริยธรรม และอื่น ๆ อีกมากมายที่ดี เช่น

เร็ว ก็ชมว่ายอด
ช้า ก็เข้าช่วยเหลือ
โง่ ก็ส่งอบรม
ฉลาด ก็วางใจให้ทำงาน
ทำก่อน ก็เป็นนวัตกรรม
ทำทีหลัง ก็ slow but sure
คนดี เรียกมาใกล้ ๆ
คนชั่น เก็บไว้ให้ใกล้กว่า
เกลียด คนคด
หลง คนซื่อ
ชอบกิน มะระ
แต่ให้ มะยม
หัวตัวเอง ยกให้ลูกน้อง
ชอบหาหัวใหม่ นอกองค์กรมาสวม
คนดี จึงวิ่งเข้าหา
คนที่เดินหน้าจึงมีแต่ คนทำงาน

.. อ่านขำ ๆ ครับ เพราะผมก็โดนบ่อย ๆ
.. โดยที่บ้านเขเอาขี้เฮะไปขว้าง พอช้า ก็ว่าอืดอาด บ่อยเลย

อำนาจที่แสนหอมหวาน .. น่าแย่งชิง และเลือกข้าง

อำนาจที่แสนหอมหวาน .. น่าแย่งชิง และเลือกข้าง

พลังของการเจรจา ของศัลยแพทย์ negotiation
พลังของการเจรจา ของศัลยแพทย์ negotiation

ดูหนัง เป็นเรื่องของคนมีอำนาจ ชิงอำนาจกัน
พอชิงอำนาจมาได้ ก็หันมาชิงอำนาจกันเอง #goverment
เป็นบทเรียนเรื่องของอำนาจ ต้องเลือกข้างที่จะชนะเหมือนทหารชิง
1. ดอกเตอร์ซุน รวมสมัครพรรคพวก พยายามโค่นล้มราชวงศ์ชิง
2. พยายามแล้ว แต่สู้ไม่ได้ ต้องหาพวกเพิ่ม
3. ทหารชิง แปรพรรค สมคบกับดอกเตอร์ซุน #change
4. ในที่สุดก็ล้มราชวงศ์ชิงได้สำเร็จ จะตั้งเป็นสาธารณรัฐ #state
5. ในที่สุดก็มีดอกเตอร์เป็นประธานาธิบดีได้แป๊ปนึง #president
6. และแล้วทหารชิง ก็กลับมาหักหลักดอกเตอร์ซุน เพราะอยากใหญ่
7. ทหารชิงคนนั้น ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิใหม่ แต่ก็ต้องจากโลกไปในเวลาอันสั้น #king
8. บ้านเมืองขาดผู้นำ ก๊กต่าง ๆ พร้อมใจรบกันเอง เพื่อชิงอำนาจอันหอมหวาน
9. ในที่สุดก็รวมชาติได้ ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ถึงปัจจุบัน

รายละเอียดผมอาจคลาดเคลื่อน โปรดใช้วิจารณญาณและหาข้อมูลเพิ่มเติม

ปล.ผมชอบฉาก พูดคุยกับนายธนาคาร เป็นผลตัดกำลังราชวงค์ชิง ต้องยอดแพ้ในที่สุด
http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538787083&Ntype=3

ข้อเสนอแนะทางออกการศึกษาไทย โดย นายอรรถพล จันทร์ชีวะ

need to change in Thailand Education System
need to change in Thailand Education System

ไปอ่านพบเรื่อง ข้อเสนอแนะทางออกการศึกษาไทย
โดย นายอรรถพล จันทร์ชีวะ ผู้จัดการเคมบริดจ์ เอ็ดยูเคชั่น
ที่ http://www.grandassess.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=1&No=1551926

อ่านดูแล้ว ผมว่าคุณอรรถพล สนับสนุนให้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่มีแผนอยู่แล้ว แต่เราไม่ทำตามแผน ทิศทางการพัฒนาก็เลยรวนอย่างทุกวันนี้ .. เห็นว่าน่าสนใจ จึงคัดลอกเก็บไว้ โดยมีเนื้อหาดังนี้

เรียน ท่านผู้จัดการหน่วยประเมินแกรนด์ แอสเซสเมนท์ ที่เคารพ

ผมนายอรรถพล จันทร์ชีวะ  ผู้จัดการเคมบริดจ์ เอ็ดยูเคชั่น  ขอรบกวนใช้กระดานสนทนาของท่าน ในการแสดงความคิดเห็นด้านการศึกษาไทยสักนิดนะครับ

สืบเนื่องจากผลการจัดอันดับการศึกษาไทยจาก WEF ระบุว่าไทยอยู่ อันดับ 8 (สุดท้าย) แย่กว่าเขมรและเวียดนาม ทำให้ผมมีความเป็นห่วงในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงอยากให้ข้อเสนอแนะไว้สักหน่อย ดังนี้

๑. ผมเคยเสนอแนะในเวปไซต์เคมบริดจ์ฯ ไว้ว่า ถ้าเอาการเมืองออกจากการศึกษาไทยได้ ก็น่าจะทำให้การศึกษาไทยมีความชัดเจน ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เกิดจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาให้สับสนกันบ่อย ๆ ซึ่งในความเป็นจริงผมว่าประเด็นนี้ เป็นไปได้ยากไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ฉะนั้นผมจึงไม่อยากให้นักการศึกษาไทย คิดวนไปวนมาเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เสียเวลา แต่ผมพบว่าจริง ๆ แล้ว สมศ. รู้ดีว่า ทางออกของการศึกษาไทยในประเทศนี้ คือ การใช้แนวทางการปฏิรูปการศึกษานั่นเอง  เรียนว่า เรามีการประกาศปฏิรูปการศึกษาไทยมา ๒ ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีใครให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง ซึ่งนั่นแหล่ะครับ จะมีใครทราบสักกี่ท่าน ว่านี่คือทางออกของความก้าวหน้าในการศึกษาไทยที่ดีขึ้นได้

ด้วยปัจจัยสำคัญที่กว่าจะได้ประเด็นข้อสรุปจากการปฏิรูปการศึกษาไทย จะปฏิรูปต้องใช้ข้อมูลและผลวิจัย รวมทั้งประเด็นที่ได้จากการจัดเวทีระดมความคิดเห็นกันมากกมาย ฉะนั้น ข้อสรุปที่เป็นประเด็นในการปฏิรูป ในรอบที่สองนี้แหล่ะคือ ทางออกที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าการศึกษาไทยอย่างถูกทิศทาง

โดยสังเกตกันดี ๆ ว่า สมศ. ชี้ประเด็นให้คนในวงการศึกษาไทยรับรู้ว่า การปฏิรูปการศึกษาไทยสำคัญและมีคุณค่ามาก ๆ โดยบรรจุไว้ในตัวบ่งชี้ที่ 12 ในการประเมินรอบที่สามนี้ใช่ไหมครับ

๒. สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องให้เปลี่ยนระบบการศึกษาไทย หรือ เปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ  หากแต่เราควร รณรงค์ให้การปฏิรูปการศึกษามีความศักดิ์สิทธิ์และนำประเด็นทั้ง 4 แนวทางที่ได้จากการสรุปประเด็นการปฏิรูปนี้ กล่าวคือ

1. การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
2. การพัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่
3. การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่
4. การพัฒนาคุณภาพการบริหารใหม่

ซึ่งมีรายละเอียดเป็นแนวทางเพิ่มเติมในแต่ละข้อนี้ให้ท่านพิจารณาได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก  โดยผมคิดว่า เค้าทำมาดีมีแนวทางที่ดีและอิงผลการวิจัย ใช้งบประมาณมากมายไปแล้ว เราจึงควรเชื่อมั่นและยึดถือ รวมทั้งหากรัฐมนตรีคนใดมารับหน้าที่ ต้องมีหน้าที่หลักคือการผลักดันให้กระบวนการปฏิรูปเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จะออกกฎ จะเปลี่ยนแปลง หรือ  สร้างนโยบายใด ๆ ใหม่ ๆ ควรจะสอดคล้องหรืออาจเปลี่ยนเเปลงเชิงยุทธวิธีมากกว่า ออกนโยบายมาให้ซ้ำซ้อนหรือสร้างความสับสน หรือ ทำเพียงเพื่อล้มล้างสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ทำไว้ ซึ่งผมเห็นด้วยกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาคนล่าสุด ที่เน้นการสร้างนโยบายตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษารอบที่สอง เพียงแต่ผมว่า ท่านควรศึกษารายละเอียดประเด็นการปฏิรูปให้ดีอีกนิด จะได้ไม่เกิดการตกหล่น เป็นต้น

๓. ผมฝากประเด็นสุดท้าย คือ เราควรทบทวนการมีสถานศึกษาจำนวนมาก แต่ครูไม่ครบห้องครบชั้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยแห่งความล้มเหลวที่สุด ที่ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม และอื่น ๆ เค้าให้ความสำคัญและกำลังแก้ไข มีกฎเหล็กว่าคุณภาพการจัดการศึกษาต้องเน้นครูครบชั้น นำคนคุณภาพมาเป็นครู  ซึ่งปัญหานี้บ้านเรายังคงเป็นอยู่ ซึ่งบางโรงเรียน มีครู ๑ คนแต่ต้องสอนทั้ง ๓ หรือ ๔ ชั้นเรียน ซึ่งควรเลิกคิดกันได้แล้วว่า สัดส่วนจำนวนครูกับเด็กก็เหมาะสมแล้ว ผมว่าอย่างนี้ก็ไปไม่ถึงไหน ธรรมชาติของคนเป็นครูไม่ได้เก่งหรือรอบรู้ทุกเรื่อง ฉะนั้นเมื่อครูต้องสอนในสิ่งที่ตนไม่รู้ ยังไงก็สู้เขมรไม่ได้ เพราะเค้าเน้นครูต้องตรงวิชาเอก โท ถ้าไม่มีก็ยุบไปเรียนรวมกัน เน้นคุณภาพไม่เน้นปริมาณ เป็นต้น

ผมเรียนว่า ระบบการศึกษาไทยเรามีปัญหาหลายอย่าง แต่เราก็พยายามแก้ไขกันมาหลายอย่างแล้ว ทางที่ดีคือ เราควรทบทวนและพิจารณาจากสิ่งที่เรา  ทำมาแล้วว่าใช้ประโยชน์มันอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง ไม่ควรมองแต่ว่า เราจะหานวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรมาเสริมเพียงเท่านั้น และควรเคารพผู้ทรงคุณวุฒิที่พยายามร่างเเนวทางการปฏิรูปและยึดถือร่วมกัน เมื่อพัฒนาการึกษาไทยให้ก้าวหน้า แก้วิกฤตนี้ให้สำเร็จร่วมกันนะครับ

ผู้ตั้งกระทู้ ผจก.เคมบริดจ์ฯ :: วันที่ลงประกาศ 2013-09-08 14:14:12

ข้อมูลเพิ่มเติม
สมศ. = สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน)
ตัวบ่งชี้ที่ 12 ผลการส่งเสริมพัฒนาสถานศึกษาเพื่อยกระดับมาตรฐาน รักษามาตรฐาน และพัฒนาสู่ความเป็นเลิศเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษา

อัตราเงินเฟ้อกับการปรับค่าจ้าง 2553 และ 2554

inflation and salary
inflation and salary

5 มี.ค.54 การปรับค่าจ้างแรงงาน มีการนำอัตราเงินเฟ้อมาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณา แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งข้อมูลและข่าวแสดงให้เห็นว่าถ้าอัตราเงินเฟ้อสูง การปรับค่าจ้างแรงงานก็ควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  ดังข่าว “ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเทียบเฟ้อย้อนหลัง10ปี” หรือจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้วิเคราะห์และเขียนรายงานไว้อย่างละเอียดถึงที่มาของอัตราเงินเฟ้อในแต่ละไตรมาส โดยมีข้อมูลย้อนหลังมากกว่า 10 ปี ซึ่งสรุปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อต.ค.53 และทำนายต.ค.54 อยู่ที่ประมาณ 3.5 ดังภาพ

เงินเฟ้อ (Inflation) หมายถึง สถานการณ์ที่ระดับราคาหรือดัชนีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าเกิดภาวะนี้แสดงว่า ไม่มีเสถียรภาพทางด้านราคา เป็นตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่ใช้วัดภาวะค่าครองชีพของประชาชน กล่าวคือ ถ้าเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น แสดงว่า อำนาจซื้อของเงินจะลดลง หรือกล่าวอีกนัยคือ รายได้ของประชาชนเท่าเดิมจะซื้อสินค้าหรือบริการได้น้อยลง
อัตราเงินเฟ้อ (Inflation rate) หมายถึง อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาของปีปัจจุบันเปรียบเทียบกับดัชนีราคาของปีก่อน หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงที่เปรียบเทียบระหว่างช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกัน การวัดอัตราเงินเฟ้ออาจวัดด้วยด้วยดัชนีราคาผู้ผลิต (producer price index: PPI หรือ ดัชนีราคาผู้บริโภค (consumer price index: CPI) หรือ GDP deflator แต่โดยทั่วไป รวมทั้งของประเทศไทยใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค เป็นตัววัดภาวะเงินเฟ้อ
http://www.eco.ru.ac.th/tawin/education/edu2.htm

สรุปง่าย ๆ ได้ว่า ถ้าอัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 10 หมายความว่าของชิ้นหนึ่ง เคยถูกซื้อด้วยเงิน 100 บาท แต่ถ้าเกิดเงินเฟ้อขึ้นก็ต้องใช้เงินถึง 110 บาท
ถ้าต้องการรักษาความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคให้เท่าเดิม ก็ต้องเพิ่มเงินให้อีกร้อยละ 10 เพื่อให้เงินที่เขามีอยู่มีค่าเท่าเดิม

ตัวอย่างเช่น เมื่อ 30 ปีก่อน ผู้เขียนซื้อก๋วยเตี๋ยวถ้วยละ 3 บาท เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อปีละเล็กละน้อย ปัจจุบันต้องใช้เงิน 30 บาทซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ปริมาณเท่ากับที่เคยซื้อเมื่อ 30 ปีก่อน .. ถ้าใช้เงิน 3 บาทที่มีเมื่อ 30 ปีก่อนและไม่มีการเพิ่มเงินตามอัตราเงินเฟ้อ นำเงิน 3 บาทมาซื้อก๋วยเตี๋ยวในปัจจุบัน อาจได้ลูกชิ้นเพียงครึ่งลูกเท่านั้น
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Inflation/Pages/index.aspx
http://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/Inflation/Documents/0IR_281010.pdf

มหาวิทยาลัยเนชั่น (Nation University)

เนชั่นกรุ๊ปรุกตลาดการศึกษา

21 ก.พ.54 นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นของ NMG ที่จะเผยแพร่ข่าวสาร ความรู้ และความบันเทิง อย่างสร้างสรรค์ ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจเป็นบริษัทย่อยเพื่อพัฒนา ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อตอบสนองความต้องการด้านข่าวสาร

บริษัท ได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายสายธุรกิจด้านความรู้ จึงได้พิจารณากรณีศึกษาจากต่างประเทศในด้านความร่วมมือระหว่างบริษัทสื่อกับ สถานศึกษา เช่น ผู้พิมพ์จำหน่ายนิตยสารรายใหญ่ที่สุดของยุโรป Gruner + Jahr GmbH ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Bertelsmann ได้ร่วมกับ Henri-Nannen School เปิดสอนหลักสูตรนิเทศศาสตร์   ในสหรัฐอเมริกา Washington Post ได้ขยายกิจการด้านการศึกษาผ่าน Kaplan ซึ่งเป็นบริษัทลูก ปัจจุบันมีเครือข่ายมหาวิทยาลัยและศูนย์การศึกษามากกว่า 500 แห่ง ใน 30 ประเทศ และมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องมาตลอด 10 ปี

ล่าสุด NMG จึงได้ร่วมทุนกับมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) ซึ่งมีประสบการณ์ด้านบริหารการศึกษากว่า 30 ปี และมีจำนวนนักศึกษาปัจจุบันกว่า 7,000 คน  เพื่อจัดตั้งบริษัท เนชั่น ยู จำกัด ผนึกกับความแข็งแกร่งด้านสื่อและการตลาดของเนชั่นก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยเนชั่น” (Nation University)   โดยได้ซื้อใบอนุญาตประกอบกิจการสถานศึกษา จาก มหาวิทยาลัยโยนก  จังหวัดลำปาง   และเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยเนชั่น โดยจะเริ่มเปิดการเรียนการสอนในภาคการศึกษาที่ 1 เดือน พ.ค.2554

นายธนาชัย กล่าวต่อว่ามหาวิทยาลัย เนชั่น มีแผนที่จะขยายเครือข่ายการศึกษาไปทั่วทุกภูมิภาค โดยเริ่มจากวิทยาเขตภาคเหนือ และวิทยาเขตกรุงเทพภายในปี พ.ศ.2554 โดยมหาวิทยาลัยจะเข้าทำการบริหาร ปรับโครงสร้าง พัฒนาศักยภาพ และเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยโยนก (Yonok University) จังหวัดลำปาง เป็น มหาวิทยาลัย เนชั่น (Nation University) วิทยาเขตโยนก ส่วนวิทยาเขตกรุงเทพจะใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัย เนชั่น วิทยาเขตกรุงเทพ

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัย เนชั่น วิทยาเขตโยนก มีพื้นที่รวมกว่า 164 ไร่ และมีพื้นที่ส่วนอาคาร 14,000 ตร.ม. โดยจะมุ่งเน้นการสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ ศิลปศาสตร์ (ภาษาอังกฤษและจีน) และวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยมีเป้าหมายจำนวนนักศึกษารวม 1,300 คนภายใน 4 ปี และ 1,800 คนภายใน 10 ปี

พร้อมกันนี้ ได้เปิดมหาวิทยาลัย เนชั่น วิทยาเขตกรุงเทพ ในรูปแบบ Downtown Campus หรือ Campus บนตึกสูงโดยใช้พื้นที่อาคาร i-Tower ถนนวิภาวดี ใกล้ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่อความสะดวกในการเดินทางของนักศึกษาที่ทำงานในเมืองช่วงกลางวัน โดยจะเปิดสอนสาขาวิชานิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ และ MBA โดยมีเป้าหมายจำนวนนักศึกษารวม 1,000 คนภายใน 4 ปี และ 2,000 คนภายใน 10 ปี บริษัทได้วางงบลงทุน 250 ล้านบาทเพื่อพัฒนา 2 วิทยาเขตแรก

ในส่วนของ แผนการตลาด NMG จะใช้สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และออนไลน์ เพื่อประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งการทำการตลาดร่วมกับพันธมิตร เช่น โครงการทบทวนความรู้สู่มหาวิทยาลัยกับ มาม่า ซึ่งมีนักเรียนมัธยมปลายลงทะเบียนปีละกว่า 8 หมื่นคน และงาน U-Expo ซึ่งจัดร่วมกับ Eduzones.com คาดว่าจะมีนักเรียนมัธยมปลายเข้าชมงานประมาณ 5 หมื่นคน

NMG เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ในการเปิดมหาวิทยาลัย เนชั่น จะมีส่วนในการพัฒนาประเทศไทยด้วยการร่วมสร้างผู้นำด้านสื่อสารมวลชน โฆษณาประชาสัมพันธ์ ธุรกิจ และบริการสาธารณสุข มหาวิทยาลัย เนชั่น พร้อมขยายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพด้วยโครงการที่จะพัฒนาวิทยาเขตภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคในอนาคต รวมทั้งการต่อยอดบริการการศึกษาไปทางด้านการสอนหลักสูตรระยะสั้นประเภท Non-Degree Program, e-Learning เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นต่อไป

ด้านนายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการ กล่าวว่ามหาวิทยาลัย เนชั่น จะสร้างจุดต่างด้วยความได้เปรียบในการ “เรียนกับมืออาชีพ” โดยนักศึกษามีโอกาสพัฒนาทักษะและประสบการณ์นอกเหนือจากภาคทฤษฎี ด้วยการเรียนกับอุปกรณ์ปฏิบัติการของจริง ในสภาพการทำงานจริง และกับมืออาชีพในสายงานหนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ วิทยุ New Media การโฆษณา และบริหารธุรกิจ ส่วนในสายงานอื่น ๆ เช่น เอเจนซีโฆษณา ธุรกิจบันเทิง ผู้ผลิตภาพยนตร์/ ละคร นักศึกษาสามารถเรียนรู้และฝึกงานกับบริษัทพันธมิตร ทำให้นักศึกษาที่จบมามีโอกาสในการหางานทำได้สูงกว่า โดยสามารถเลือกทำงานกับบริษัทในกลุ่มและพันธมิตรของ NMG ได้หากผ่านเกณฑ์ที่กำหนด

นอกจากนี้ หลักสูตรนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัย เนชั่น จะมุ่งเน้นด้าน New Media เพื่อรองรับสื่อยุคดิจิตอลและ Social Media ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วน NMG จะได้ประโยชน์ร่วมกับมหาวิทยาลัยจากการคัดเลือกบุคลากรจากนักศึกษาฝึกงานที่ มีผลงานดีเข้าทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งแรงงานนักศึกษาฝึกงานที่มีต้นทุนไม่สูงมาก นอกจากนี้บริษัทยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือของสายธุรกิจต่าง ๆ กับมหาวิทยาลัย เนชั่น เช่น NINE และ NBC ในการผลิต Content จากผลงานนักศึกษา หรือ NINE สามารถขยายธุรกิจสิ่งพิมพ์ด้านวิชาการเพิ่มเติมเพื่อผลิต คู่มือ ตำราเรียน หนังสือความรู้ด้านธุรกิจหรือด้านสื่อ ผลงานวิชาการของคณาจารย์มหาวิทยาลัย เนชั่น คล้ายกับ Harvard Business Publishing ของ Harvard Business School

executive of nation university
ผู้บริหารในพิธีแถลงข่าวประกาศเปิดตัวมหาวิทยาลัยเนชั่น

+ http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=136881
+ http://www.bangkokbiznews.com
+ http://www.suthichaiyoon.com/detail/8553
+ http://www.ryt9.com/s/prg/1093392
+ http://www.nation-u.com

เนชั่นกรุ๊ป ผุด บริษัทร่วมทุน “ เนชั่น ยู” ทุ่ม 250 ล้านบาท
http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000023556

เนชั่นกรุ๊ป .. เทคโอเวอร์ มหาวิทยาลัยโยนก พร้อมผุดวิทยาเขตในกทม. อนาคตเล็งเปิดเพิ่มอีกในภาคอีสานและใต้ มองนิวมีเดียและสิ่งพิมพ์ช่องทางสำคัญผลักดันรายได้

นายธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน ) หรือ NMG เปิดเผยว่า ล่าสุดเล็งเห็นโอกาสที่จะเข้ามาต่อยอดธุรกิจทางด้านการศึกษา จึงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) ก่อตั้งบริษัท เนชั่น ยู จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท โดยทางเนชั่น กรุ๊ป ถือหุ้น 55% และทางSAU และ นายเสริมสิน สมะลาภา ถือหุ้นรวมกันอีก 45% ในการก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนชั่น เบื้องต้นใช้งบลงทุนราว 250 ล้านบาท แบ่งเป็น 175 ล้านบาท ในการขอถ่ายโอนใบอนุญาตประกอบการสถานศึกษา (เทคโอเวอร์) จากทาง นาย ศิริธัช โรจนพฤกษ์ เจ้าของมหาวิทยาลัยโยนก จังหวัด ลำปาง มาเป็น มหาวิทยาลัย เนชั่น พร้อมเปิดภาคเรียนแรกในเดือนพ.ค.นี้ ภายใต้หลักสูตรการเรียนการสอน เฉพาะทาง คือ ทางด้านนิเทศศาสตร์ และบริหารธุรกิจ

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยโยนกมีนักศึกษาราว 300 คน ใน 3 คณะ คือ คณะบริหารธุรกิจ คณะ สังคมและมนุษยศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์สุขภาพและเทคโนโลยี ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับโครงสร้างคณะผู้บริหาร และวางระบบหลักสูตรใหม่ ตั้งเป้าใน 4 ปี จะมีจำนวนนักศึกษาประมาณ 1,300 คน เพิ่มเป็น 1,800 คน ใน 10 ปี

นอกจากนี้ ยังมีวิทยาเขตอีก 1 ที่ คือ ในกรุงเทพฯ ตั้งอยู่ที่ ตึก ไอ ทาวเวอร์ ถนนวิภาวดีรังสิต เปิดสอนภาคเรียนการศึกษาปี 2554 ในเดือนพ.ค. นี้เช่นเดียวกัน หลักสูตร นิเทศศาสตร์ บริหารธุรกิจ และMBA ตั้งเป้ามีนักศึกษาไม่ต่ำกว่า 1,000 คนใน 4 ปี เพิ่มเป็น 2,000 คนใน 10 ปี และหลังจากทั้ง 2 แห่งแข็งแกร่ง จะขยายวิทยาเขตอีก 2 แห่ง คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหลือ และภาคใต้ คาดว่าไม่เกิน 5 ปีนี้

นายธนาชัย กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมรายได้ ของเนชั่น กรุ๊ปในปีที่ผ่านมานั้น มีการเติบโตขึ้น 15% หรือราว 3,000 ล้านบาท ซึ่งในกลุ่มสิ่งพิมพ์ และนิวมีเดีย เป็นกลุ่มหลักที่ผลักดันรายได้ และมีแนวโน้มการเติบโตสูง จากแผนการตลาดที่ขายเป็นแพกเกจ เชื่อว่าจะส่งผลให้ปีนี้ จะมีรายได้รวมเติบโต 15%

+ http://www.facebook.com/video/video.php?v=115773685170144
+ http://77.nationchannel.com/playvideo.php?id=137532
+ http://www.nation-u.com
+ http://www.nationubangkok.com
+ http://www.facebook.com/nationuniversity
+ http://www.facebook.com/nationuclub

ผู้รับใบอนุญาตพบบุคลากรมหาวิทยาลัยโยนก

change
change

15 ก.พ.54 อ.ดร.อติชาต หาญชาญชัย และ อ.ศศิวิมล แรงสิงห์ และผม ไม่มีคำถามหลังการรับฟัง ดร.ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งมหาวิทยาลัย พบปะพูดคุยกับบุคลากรของมหาวิทยาลัย เรื่องการเปลี่ยนแปลง (Change) พร้อมทีมผู้บริหารชุดใหม่ ที่จะเข้ามาร่วมในการบริหารมหาวิทยาลัยยุคต่อไป ได้แก่ คุณธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ จากเครือเนชั่น และคุณเสริมสิน สมะลาภา นายกสภามหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ และคุณสุทธิชัย หยุ่น ที่ยินดีเข้ามาพัฒนามหาวิทยาลัยโยนกให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น หลังการประชุมได้ทานข้าวร่วมกับบุคลากร อย่างพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งมหาวิทยาลัย

ช่วงบ่ายโมงทีมผู้บริหาร ได้พบปะพูดคุยกับกลุ่มนักศึกษาปัจจุบัน เพื่อชี้แจง และทำความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงในด้านการบริหารและอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาต่อไป หลังจากนั้นได้เดินไปยังห้องต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย พบปะบุคลากรในหน่วยงานต่าง ๆ

+ มหาวิทยาลัยเนชั่น