ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่เหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา

กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้
กูว่าแล้ว ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์-ขึ้น ต้นเป็นลำไม้ไผ่.. แต่สุดท้ายเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาจนได้ สำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่อุตส่าห์ตีฆ้องร้องป่าว ระดมคนให้แห่แหนออกมาชุมนุมต่อต้านการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนใครๆก็คิดว่าพรรคการเมืองเก่าแก่ที่แฝงกายในสภาหินอ่อนมากว่า 80 ปี จะเป็นดั่งกอไผ่ที่ผนึกรวมแต่ละต้นแต่ละลำให้แข็งแกร่งยืนหยัดต่อสู้มรสุม นิรโทษกรรมอย่างมิหวั่นไหว ที่ไหนได้สุดท้ายเป็นแค่บ้องกัญชาที่พ่นควันมอมเมาชาวบ้านให้หลงเคลิบเคลิ้ม กับวาทกรรม “จะเดินนำประชาชน”

ตั้งแต่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แกนนำพรรคประชาธิปัต ย์ ประกาศกร้าวบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่สวนเบญจสิริ เมื่อปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า “ เมื่อเสียงนกหวีดของประชาชนดังพร้อมกันเซ็งแซ่ จะออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลกับพี่น้อง”

ประชาชนผู้รักชาติก็พากันฮึกเหิม คิดว่างานนี้จะเดินหน้าท้าชน ต้านคนโกงชาติที่บังอาจจะออกกฎหมายเพื่อใช้ฟอกผิดนักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” !!

แม้ไม่กี่วันต่อมา “เทพเทือก” จะปากกล้าขาสั่น ชักเข้าชักออกโดยบอกว่าจะสู้ในสภาก่อน หากกฎหมายผ่านการพิจารณา 3 วาระรวด ก็จะออกมาสู้นอกสภากับประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ทั้งที่งานนี้รู้ผลตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้วว่ายังไงประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่าย ค้านก็ต้องแพ้โหวตในสภา เพราะมีเสียงน้อยกว่าพรรคเพื่อไทย มิเช่นนั้น “จอมหลักการ” อย่างประชาธิปัตย์ที่เคยประกาศว่า “การเมืองต้องสู้ในสภา” ก็คงไม่เต้นเร่าออกหน้าถึงขั้นบอกว่าจะนำมวลชนออกมาชุมนุม แต่ด้วยคำปฏิญาณเป็นมั่นเหมาะของ “จรกาหน้าดำ” นามเทพเทือก ที่ย้ำบนเวทีเดินหน้าผ่าความจริงหลายครั้งว่าจะขัดขวาง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ถึงที่สุด ทำให้มวลชนเทใจพากันเก็บเสื้อผ้าตบเท้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมชุมนุมกับประชาธิปัตย์ชนิด “เต็มออก…เต็มออก…”

“หากประชาชนถูกทำร้ายจนบาดเจ็บล้มตาย ผมนี่แหละจะล้มรัฐบาลเอง ถ้าประชาชนตาย ขอให้นายกฯ เตรียมตัวเก็บกระเป๋าไปอยู่ต่างประเทศ ผมจะสู้ในสภาจนถึงที่สุด แต่หากมีผู้บาดเจ็บล้มตายผมจะหยุดการต่อสู้ในสภาฯ และออกมาต่อสู้บนถนนทันที” นายสุเทพกล่าวเมื่อวันที่ 4 ส.ค.2556

“ พรรคประชาธิปัตย์จะลุกขึ้นอภิปรายกฎหมายดังกล่าวทุกคน และแปรญัตติทุกมาตราทุกบรรทัด แต่ถ้ากฎหมายผ่านวาระ 3 จะออกจากสภาฯ มาเดินร่วมสู้กับประชาชน และหากรัฐบาลยังไม่ฟังเสียงคัดค้านจะลุกขึ้นมาล้มรัฐบาล ผมจะสู้กับกฎหมายนิรโทษกรรมฯด้วยชีวิต ไม่มีวันยอมแพ้ ถ้าประชาชนมาร่วมชุมนุมมีผู้บาดเจ็บ ไม่ต้องรอถึงวาระ 3 ส.ส.จะออกมาสู้นอกสภาฯ ” นายสุเทพกล่าวปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา

นอกจากนั้นนายสุเทพยังตะโกนเสียงดัง 3 ครั้งกับประชาชนที่มาร่วมฟังการปราศรัยว่า “เราจะรวมกันสู้ เราไม่ยอม” นี่จึงเป็นดังสัญญาที่ประชาธิปัตย์ให้ไว้กับประชาชน

โดยประชาธิปัตย์เลือกที่จะปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณลานกีฬา ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีเพราะอยู่นอกเขตที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ทำให้รวมตัวได้สะดวก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงการชุมนุมได้ และยังอยู่ไม่ไกลจากรัฐสภามากนัก โดยได้มีการตั้งเวทีเดินหน้าผ่าความจริง เพื่อปราศรัยดึงความสนใจของผู้คน ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. จนถึงเช้าวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเป็นวันเปิดประชุมสภา และมีการนำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทย เข้าสู่การพิจารณาในวาระแรก

ในเช้าวันที่ 7 ส.ค.นั้น ประชาธิปัตย์ส่งระดับแกนนำพรรคอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี เป็นหัวขบวนเดินนำมวลชนเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ โดยเดินจากแยกอุรุพงษ์ ไปตามถนนพระราม 6 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชวิถี ตรงแยกตึกชัย เดินไปสู่รัฐสภา พร้อมส่ง 10 ส.ส.ของพรรค เป็นทัพหน้าไปเจรจากับตำรวจก่อนที่จะนำมวลชนเข้าพื้นที่บริเวณสภา ขณะที่กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณนั้นมีมติที่จะปักหลักชุมนุมรอดู สถานการณ์อยู่ที่สวนลุมพินีเนื่องจากไม่ต้องการพามวลชนเข้าไปในพื้นที่ เสี่ยง

เมื่อหัวขบวนของประชาธิปัตย์มาถึงแยกราชวิถี-พระราม 5 เขตประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ส่ง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และ นายชวน เป็นตัวแทนไปเจรจากับ พ.ต.อ.วิศาล พันธุ์มณี รองผบก.น.8 เพื่อชี้แจงถึงเหตุผลพาผู้สนับสนุนพา ส.ส.เข้าไปพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยนายชวน กล่าวว่า ขอให้เขาและมวลชนเดินทางเข้าไปในพื้นที่รัฐสถา เมื่อเสร็จภารกิจก็จะขอร้องให้มวลชนเดินทางกลับ ด้านนายสาทิตย์ แจ้งว่าจะเจรจากับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดียวเท่านั้น แต่สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าอนุญาตให้เฉพาะ ส.ส.เข้าไปภายในพื้นที่รัฐสภาได้เท่านั้น

หลังแกนนำประชาธิปัตย์หารือกันชั่วครู่ นายสุเทพก็ออกมาประกาศมติว่าจะขอเดินเข้าไปภายในรัฐสภาเฉพาะ ส.ส. เท่านั้น โดยจะให้มวลชนแยกย้ายกลับบ้าน !!

ทำเอาพี่น้องประชาชายืนงงเป็นไก่ตาแตก !! วิจารณ์กันให้แซ่ดว่าถ้าจะแค่ให้มวลชนเดินมาส่ง ส.ส.เข้าสภา เพื่อ ร่วมพิจารณากฎหมายที่ฝ่ายค้านไม่มีวันโหวตชนะ แล้วจะให้พี่น้องประชาชนหยุดทำมาหากิน ระหกระเหินเดินทางมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวหาพระแสงของ้าวอันใดฤา?

ด้านกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณเห็นกลยุทธ์อันหน่อมแน้มเช่นนั้น ของประชาธิปัตย์ จึงหารือกันในระดับเสนาธิการ และได้ข้อสรุปว่า 1.ให้ติดตามการประชุมสภาอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์ต่อไป 2.จะยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่สวนลุมพินี เพื่อเตรียมกำลังต่อไป และ3.เหตุผลที่ไม่เคลื่อนไหวมวลชนเข้าพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะเจ้าหน้าที่ๆ อยู่ในนั้นไม่ใช่ตำรวจทั้งหมด แต่กลับมีแกนนำเสื้อแดงบางคน เช่นนายขวัญชัย ไพรพนา แต่งกายชุดตำรวจปะปนอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายแก่มวลชนได้

ทั้งนี้ ความล้มเหลวของประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถสกัด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไม่ให้เข้าสู่การพิจารณาได้นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เกินความ คาดหมายของหลายๆคน เพราะเมื่อมวลชนที่เข้าร่วมไม่มากพอ ขณะที่แกนนำก็ไม่มียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อน การจะฝ่าด่านตำรวจนับหมื่นนายเข้าไปปิดล้อมกดดันไม่ให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีกว่าเหตุผลที่มวลชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจไม่เข้าร่วมเคลื่อน ไหวกับพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ก็มีเพียงเหตุผลเดียวคือ “ความไม่ไว้วางใจ” ที่มีต่อพรรคการเมืองระดับปลาไหลเรียกพ่อพรรคนี้ พรรคที่เคยหักหลังสหายร่วมรบถึงขั้นที่สั่งให้ตำรวจออกหมายจับแกนนำพันธมิตร ฯ พร้อมพวก รวม 96 คน ในข้อหา “ก่อการร้าย” เพื่อบล็อก ไม่ให้พันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวในช่วงที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ข้อหาดังกล่าวได้กลายเป็นเครื่องพันธนาการที่ทำให้แกนนำพันธมิตรฯ ไม่สามารถออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ เพราะจะนำไปสู่เงื่อนไขให้ถูก “ถอนประกัน” ดังนั้นแม้เวลานี้ลิ่วล้อแมลงสาบจะออกมาตีโพยตีพายแค้นเคืองที่พันธมิตรฯไม่ ออกมาร่วมชุมนุม ถึงขั้นให้ร้ายว่าพันธมิตรฯหันไปสนับสนุนทักษิณ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะประชาธิปัตย์ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าบัดนี้ “กุญแจมือ” ที่ประธิปัตย์เอามาใส่ข้อมือพันธมิตรฯนั้นมันได้ย้อนกลับไปกระแทกหน้าประชา ธิปัตย์แล้ว

เหนืออื่นใดที่พันธมิตรฯไม่ไว้วางใจคือ หากอำนาจเปลี่ยนขั้วไปอยู่ในมือประชาธิปัตย์แล้ว จะรับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปในทางที่ใสสะอาด รับประกันได้อย่างไรว่าการเมืองไทยจะหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” ที่มีนักการเมืองชั่วกัดกินประเทศอยู่เหมือนทุกวันนี้ เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าแม้พันธมิตรฯจะเอาเลือดเนื้อและชีวิตเข้า แลกเพื่อขับไล่คนของทักษิณลงจากอำนาจ และเปิดโอกาสให้ประชาธิปัตย์ขึ้นมาบริหารแทน แต่ประชาธิปัตย์กลับตอบแทนประชาชนผู้เสียสละด้วยการคอร์รัปชั่นไม่ต่างจาก พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้จัดการกับระบอบทักษิณเหมือนเช่นที่รับปากไว้ แต่กลับปล่อยคนเหล่านี้ให้ขยายเครือข่ายและกลับมาทำร้ายประเทศหนักกว่าเดิม

ดังนั้นการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ พันธมิตรฯจึงตั้งเงื่อนไขว่ากลุ่มพันธมิตรฯจะออกไปร่วมชุมนุมก็ต่อเมื่อประ ชาธิปัตย์แสดงความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมือง ด้วยการประกาศลาออกจาก ส.ส. เพื่อออกมาร่วมเคลื่อนไหวนอกสภาด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าหากประชาธิปัตย์แสดงความจริงใจด้วยการลาออกย่อมสามารถเรียก ศรัทธาจากประชาชนได้อย่างมืดฟ้ามัวดิน ประกอบกับการที่พันธมิตรฯประกาศเข้าร่วมชุมนุมจะทำให้เกิดพลังมวลชนมหาศาล ที่หลั่งไหลออกมาชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พร้อมกับขับไล่รัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเงื่อนไขนี้เป็นเงือนไขที่ “ง่ายมาก” แต่ประชาธิปัตย์ก็ไม่คิดจะทำ เพียงเพราะยังหวงแหนตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง แม้จะอยู่ในฐานะฝ่ายค้านที่แทบจะไม่มีโอกาสสวาปามอะไรก็ตาม

ทั้งนี้ การเดินเกมแบบกล้าๆ กลัว ๆ ชักเข้าชักออกของพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งผลให้การเคลื่อนไหวต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งนี้ “เหลวไม่เป็นท่า” ทำให้หลายคนเริ่มเข้าใจความหมายของสโลแกนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่า “ ประชาชนต้องมาก่อน ” ว่าแท้จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์จะยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็น ที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใด แต่หมายถึงว่าหากจะขับเคลื่อนอะไรก็ต้องรอให้ประชาชนตบเท้ามากันอย่างอุ่น หนาฝาคั่งและเดินหน้าลงมือทำกันไปก่อน หากมีทีท่าว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ประชาธิปัตย์จึงจะกระโดดเข้าไปเล่น เพราะอย่างไรก็ไม่เปลืองตัว

ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์กลัว “การถูกยุบพรรค” เป็นชีวิตจิตใจ หวงแหนความเป็นพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าห่วงชาติบ้านเมือง ดังนั้น จึงไม่กล้าที่จะทำให้พรรคตั้งอยู่บนความเสี่ยง ซึ่งในวันที่ประชาธิปัตย์เคลื่อนขบวนจากใต้ทางด่วนอุรุพงษ์เพื่อไปส่ง สส.เข้าสภาไปพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าสังเกตให้ดีก็น่าจะจับสัญญาณดังกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะการที่นายชวน หลีกภัยตัดสินใจมาเดินถนนด้วยนั้น ย่อมเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่า ม็อบแมลงสาบไม่ต่างอะไรจากขบวนขันหมากที่แห่แหนกันมาส่งเจ้าบ่าวเพื่อให้ไป เข้าห้องหอกับเจ้าสาว เนื่องจากนายหัวจากเมืองตรังรักพรรคยิ่งชีพ

แต่ความจริงเรื่องนี้ก็ใช่ว่าไม่มีทางออก ถ้าหากกลัว ก.ก.ต.หาเหตุยุบพรรค นั่นคือแก้ปัญหาด้วยการให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจาก ส.ส.และทำการเมืองภาคประชาชนจริงๆ จังๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ใช้ว่าจะไม่เกิดขึ้น

ขณะเดียวกันก็มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักการเมืองเก๋า เกมอย่าง “เทพเทือก” เดินเกมแบบชักเข้าชักออก และกำหนดยุทธศาสตร์แบบ “แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง” นั้นเป็นเพราะความไม่เอาไหนของเทพเทือกจริงหรือ ?

หรือเป็นเพียง “มวยล้มต้มคนดู” ที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ทำเป็นสู้แต่สู้ไม่ไหว เพราะ “ผลประโยชน์จากคนแดนไกล” ที่ได้มานั้นมากพอที่จะแลกกับการเป็นฝ่ายค้าน แล้วนั่งดูรัฐบาล “พาทักษิณกลับบ้านแบบเท่ๆ” เพราะที่ผ่านมาก็เป็นที่รู้กันดีกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง “เทพเทือก” กับ “คนแดนไกล” นั้นอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา !!

แถมสุดท้ายแล้ว นอกจากคนเผาบ้านเผาเมืองจะได้ประโยชน์จาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพ่อรูปหล่อมาร์คและจรกาหน้าดำก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

Author: บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

I am Lecturer, Developer, Researcher, Columnist, Writer, Photographer, and Webmaster - L@mpang man

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.